หลังเหตุการณ์บ้านเมืองสงบสุข ด้านการเมืองก็ค่อนข้างนิ่ง เพราะมัวแต่ดูคลิพโป๊กันอยู่ ยอดการขายรถยนต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนล่าสุดก็โตขึ้นไปถึง 18.3 % ทำเอานักการตลาดแต่ละค่าย ยิ้มแย้มแจ่มใสกันเป็นพิเศษ แถมยังพากันยิ้มกว้าง เพราะนับเป็นสถิติการขายใหม่ของประเทศไทย ที่ขายเกินเดือนละ 1 แสนคันเข้าไปแล้วแต่ที่ยิ้มไม่ค่อยออก ก็เห็นจะเป็นผู้บริโภค ที่มีรถใช้กันอยู่แล้ว เพราะข่าวคราวมากันแต่ละที ไม่ค่อยรื่นเริงบันเทิงใจเท่าใดนัก ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มองไม่เห็นหนทาง ว่าจะลดลงมาได้อย่างไร จนมีแบนเนอร์ตัวหนังสือสีแดง ระบุว่า แพง ติดว่อนทั่วจังหวัดหัวเมืองใหญ่แล้ว ที่จริงติดมันทั่วทั้งประเทศ ก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกแต่ประการใด เพราะมันเป็นเรื่องจริง เวลาขึ้นราคา ก็ขึ้นเสียถี่ ทีละเยอะๆ ด้วย แต่กว่าจะลดลงมาได้ ทีละจิ๊บจ้อย นี่ยังไม่นับเรื่องผลกระทบจากต้นทุนแรงงาน ที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กำลังเล็งปรับราคาอะไหล่รถยนต์ทดแทนขึ้นอีก 5-10 % เพราะต้นทุนพลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบมันเพิ่ม ส่วน โออีเอม หรือที่ใช้สำหรับการผลิต จะยังไม่มีการปรับในปีนี้ แต่ปีหน้าน่ะ ยังไม่แน่จ้า ถ้าสภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในลักษณะนี้ ก็จะยังพออยู่กันได้ ขอแต่อย่าให้มีอะไรมากระทบแรงมากไปกว่านี้ เพราะมันก็แทบจะสุดทนกันแล้ว เป็นต้นว่า น้ำจะเท่ากับปีที่แล้วไหม นี่แค่ยกเป็นตัวอย่าง แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าออกมาตอบให้ชัดเจนไปเลย ว่าปีนี้จะเป็นอย่างไรกัน ก็อยู่กันแบบไทยๆ ต่อไปอย่างนี้ก็แล้วกัน มาคุยเรื่องอื่นกันบ้าง เพราะใช้รถ ใช้ถนน ต้องวิ่งผ่านถนนประเสริฐมนูกิจ มานมนาน เห็นเสาตอม่อกลางถนน สร้างกันมาตั้งแต่สร้างถนน เตรียมเอาไว้ทำทางด่วน จนแล้วจนรอด เพิ่งจะมีการทบทวนโครงการ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั้งที่ตอนสร้างถนน ตอนสร้างตอม่อ ไม่เห็นมีใครออกมาพูดอะไร อยากจะสร้างก็สร้าง เสร็จแล้วก็ทิ้งคาไว้อย่างนั้น ก็เอาเป็นว่า ท่านเกิดอารมณ์อยากทำขึ้นมา เป็นโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 ตอน เอน 2-เอน 3 มีแนวสายทางเริ่มต้นจากสี่แยกเกษตร บริเวณถนนประเสริฐมนูกิจ (ถนนเกษตร-นวมินทร์) ของกรมทางหลวง ถึงถนนนวมินทร์ และตัดผ่านถนนเสรีไทย และถนนรามคำแหง สิ้นสุดโครงการถนนกรุงเทพ ฯ-ชลบุรี สายใหม่ บริเวณถนนศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นจุดบรรจบระหว่างทางพิเศษศรีรัช ส่วน D กับถนนกรุงเทพ ฯ-ชลบุรี สายใหม่ รวมระยะทางประมาณ 23.1 กิโลเมตร ท่านว่า ในการคัดเลือกแนวเส้นทางเบื้องต้นนั้น พิจารณาจากองค์ประกอบหลายประการ เช่น จุดต้นทาง-ปลายทาง สภาพภูมิประเทศ โครงสร้างสาธารณูปโภค สถานที่สาธารณประโยชน์ สถานศึกษา เช่น วัด โรงเรียน พื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย สถานที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม โบราณคดี พื้นที่ชุมชน เป็นต้น ท่านอยากจะพูดอะไรก็ได้ ขอแต่ว่า ทำเสียทีเถอะ จะให้เสียสตางค์เพื่อใช้ทางก็ยอม เพราะทุกวันนี้ ปริมาณรถมันเยอะเสียจนถนนเส้นนี้ มีรถวิ่งเต็มถนนทั้งวัน ตลอดเวลาแล้วละขอรับ หนนี้ขอเรื่องของคนเมือง อีกสักเรื่อง อันนี้เป็นเรื่องของผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่ต้องใช้บัตรโดยสารกันคนละแบบ ทั้งที่มีความจำเป็นต้องใช้งานในการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ต้องมีบัตรโดยสาร 2 ใบ ต้องคอยจำให้ดีด้วย ว่าใบไหนเป็นของรถไฟฟ้า ใบไหนเป็นของรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็เกิดปรากฏการณ์ใหม่ให้ได้แปลกใจกันเล่น เมื่ออยู่ๆ ก็มีการประกาศใช้บัตรชนิดใหม่ เรียกชื่อว่า บัตรกระต่าย หรือ บัตรแรบบิท เพื่อช่วยให้ชีวิตคนเมืองของคุณสะดวกสบาย และง่ายดายยิ่งขึ้น เจ้าบัตรใบนี้ จะสามารถชำระเงินในระบบอีเลคทรอนิคส์ ได้ทั้งรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดิน แถมยังสามารถชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้าต่างๆ ได้อีกด้วย แต่เรื่องลึกที่แอบๆ เอาไว้ ก็คือ เจ้ากระต่ายตัวนี้ สามารถประยุกต์ใช้ในการระบุตัวบุคคล เพื่อความปลอดภัย และการควบคุมการเข้า-ออกอาคารและสถานที่ได้อีกด้วย จะเอาอะไรมาให้คนเมืองใช้ ก็ยินดีครับ ที่จะช่วยให้ชีวิตเกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องพกบัตรนานาชนิดไว้ในกระเป๋าให้มากเกินเหตุ เรียกว่า กระเป๋าหายทีหนึ่งละก็ วิ่งแจ้งความทำบัตรใหม่กันสนุกทีเดียวเชียว แต่ที่น่าจะพัฒนาให้มีเสียที เห็นจะเป็นบัตรอีเลคทรอนิคส์ สำหรับโดยสารรถโดยสารประจำทาง ไม่ว่าจะเป็นรถร้อน หรือรถแอร์ ทำกันเสียทีก็ดีนะครับ นี่เห็นว่าท่านจะชุมนุมกัน ยื่นข้อเรียกร้องขอปรับค่าโดยสาร อย่างน้อยก็ขอสัก 1 บาท ก็ยังดี เพราะต้นทุนค่า แกส ซีเอนจี ที่ปรับขึ้น แถมปรับค่าแรงเป็น 300 บาท ค่าอะไหล่ซ่อมบำรุงก็สูงกว่ารถที่ใช้ดีเซลเป็นชื้อเพลิง ท่านว่า ถ้าหลวงไม่ให้ตามที่ร้องขอ ก็อาจมีการหยุดเดินรถกันบ้างละนะ ก็ว่ากันไป เรื่องสุดท้ายนี่ เกี่ยวข้องกันทั่วประเทศ เพราะมาตรการของรัฐบาลในการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน 2555 ท่านก็บอกว่า โดยที่ขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีราคาสูง ซึ่งหากมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันดีเซลในระยะนี้ จะทำให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอีก ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและลดค่าใช้จ่ายของประชาชน จึงให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.01 โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี 0.01 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมธิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ในอัตราภาษี 0.01 บาท/ลิตร ออกไปอีก 1 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 จะว่าประชานิยม ก็เอาเถอะขอรับ แต่พวกกระผมอยากได้ประชานิยมแบบ ยันราคาน้ำมันดีเซลเอาไว้ไม่ให้เกิน ลิตรละ 30 บาท น่าจะดีกว่าไหมขอรับ จะได้ไม่ต้องขวนขวาย เปลี่ยนไปหารถใช้แกสมาใช้แทน เพราะค่าโสหุ้ยมันผิดกันเทียบ/กิโลเมตรแล้ว มันหดไปครึ่งกว่าเชียวนาขอรับ นี่เรียกว่าเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันไปใช้พลังงานทดแทนหรือเปล่าเนี่ยขอรับ