HUGO
"เหมือนจะเด็กๆ"
ภาพยนตร์ 3 มิติ (3D) เรื่องแรกของผู้กำกับชื่อดัง มาร์ทิน สกอร์เซซี หลังจากที่เขาฝากฝีมือทำหนังเรื่อง THE DEPARTED จนฮือฮาบนเวทีออสการ์เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปี 2007 แม้ว่าหลายเสียงจะครหาว่าที่เขาได้รางวัลก็เพราะพลาดมาหลายปีแล้ว และครั้งนั้นที่ได้ก็เป็นการ REMAKE ภาพยนตร์สืบสวนสไตล์สายลับฮ่องกงจากเรื่อง INFERNAL AFFAIRS
แฟนพันธุ์แท้ของหนังฮ่องกงเรื่องนี้เสียดายเส้นเรื่องของหนัง ถึงกับปรามาสลามปามไปถึงนักแสดงนำระดับแม่เหล็กอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, แมทท์ เดมอน และสุดท้ายก็ลงที่ผู้กำกับอย่าง มาร์ทิน สกอร์เซซี
2 ปีต่อมา หลังจาก สกอร์เซซี ได้รับรางวัล (พร้อมเสียงนินทา) เขาก็กลับมากำกับหนังปวดจิตอย่าง SHUTTER ISLAND ภาพยนตร์ประเภทดูแล้วเมื่อยก้านสมอง เพราะต้องขบคิดติดตามตลอดเวลา คราวนี้ทำออกมาได้ดี มีคนกล่าวถึงค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นเสียงตอบรับทางบวกที่เขามักจะได้รับจากการกำกับหนังหลายๆ เรื่อง
จนมาถึงคราวนี้ สกอร์เซซี ฉีกแนวของหนังที่ตนเองเคยกำกับ มาทำหนังเด็กๆ เรื่อง HUGO ซึ่งสร้างมาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง THE INVENTION OF HUGO CABRET ว่าด้วยชีวิตของผู้กำกับภาพยนตร์ยุคตั้งต้นเริ่มแรกอันยิ่งใหญ่ แต่ครั้งหนึ่งเคยพ่ายแพ้ให้กับสภาวะถดถอย อันเนื่องมาจากสงครามโลก จนตนเองต้องเผาทุกสิ่ง ทิ้งฟีล์มหนังที่มีให้กับอุตสาหกรรมรองเท้า
ว่าง่ายๆ ให้เขาเอาฟีล์มหนังของตนเอง ไปหลอมรวมทำเป็นส้นรองเท้าแทน !
อันนี้ คือ ประวัติศาสตร์แท้จริง เป็นเรื่องจริงๆ ของคนทำหนังสมัยนั้น คือ คุณปู่ จอร์จส์ เมลิส เนี่ยเขาเป็นนักมายากลผู้โด่งดัง ชอบประดิษฐ์คิดค้นโน่นนี่ หากลวิธีมาหลอกล่อคนดูได้อย่างน่าสนใจ แต่พอตนเองเดินมาเจอกับการฉายภาพยนตร์ ก็เลยตกหลุมรัก เพราะมันสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้มากกว่า ปู่แกว่า มันสร้างฝันให้เป็นจริงได้เชียวละ
ในนวนิยายดังกล่าวนั้น เขาก็เขียนพาดพิงถึงแก แต่เรื่องมันเริ่มจากเด็กคนหนึ่งอาศัยอยู่ในสถานีรถไฟปารีส มีหน้าที่ซ่อมนาฬิกาทุกเรือนในนั้น พร้อมกับพยายามซ่อมหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง โดยไม่ให้มีใครรู้ว่าตนเองแอบอยู่บนหอนาฬิกา เรื่องมันประจวบเหมาะที่ ปู่จอร์จ แกไปเปิดร้านอยู่ที่สถานีนี้ ไอ้เด็กนี่ก็แวะเวียนไปขโมยของแกบ่อยๆ เพื่อเสาะหาเศษชิ้นส่วนต่างๆ มาซ่อมแซมหุ่นยนต์ ตามแบบแพลนในสมุดโนท ทีนี้พอปู่แกจับได้ มันก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมาให้เราติดตาม
ถามว่าน่าดูไหม อยากให้ลองคิดตามก่อนว่า...คนอย่าง สกอร์เซซี มากำกับหนังเด็กมันจะเป็นอย่างไร ? ข้อที่ 2 หนังที่สร้างจากนวนิยายเด็กแต่อิงประวัติศาสตร์ และค่อนข้างดรามา จะเป็นอย่างไร ? และสุดท้าย ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงกวาดรางวัลออสการ์ถึง 5 ตัว พร้อมรางวัลอื่นๆ อีกเพียบ ที่สำคัญ หนังเรื่องนี้ทำให้ สกอร์เซซี ได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำ ไปครองด้วยอีกตัว !
UNDERWORLD: AWAKENING
"สงครามยืดเยื้อ เงื่อง้าหา...?"
หนังภาคต่อตอนล่าสุด ของมหาศึกแวมไพร์ กับไลแคน (ผีดูดเลือด กับมนุษย์หมาป่า) โดยมีมนุษย์เดินดินอย่างเราคอยเฝ้าดูภาคแล้วภาคเล่า...เท้าความไปยังภาคแรก หนังเปิดตัวด้วยการให้นางเอกสาวสวย (เคท เบคคินเซล) นั่งเท้าเข่าอย่างเท่อยู่บนยอดตึก ก่อนจะกระโจนลงมาให้คนดูได้หวาดเสียว ทว่าเมื่อถึงพื้นเธอกลับปรับสมดุลร่างกายให้ตั้งฉากกับพื้นโลกอย่างง่ายดาย โอ้แม่เจ้า เธอทำได้อย่างไร ? ถ้าไม่ใช่แวมไพร์ระดับขุนศึก !
เรื่องต่อจากนั้น เป็นการเข้าห้ำหั่นกันระหว่างอมนุษย์ 2 เผ่าพันธุ์ ด้วยเงื่อนงำที่มีเพียงแค่เป็นอริราชต่อกันมาแต่ปางก่อน โครงเรื่องว่าด้วยการระเบิดสงครามทับซ้อน ด้วยการสืบสาวแผนการของกันและกัน และมีความรักระหว่างแวมไพร์สาว กับมนุษย์หนุ่มซ่อนอยู่ หนังน่าติดตามทั้งเนื้อหาที่ดัดแปลงมาจาก โรเมโอ กับจูเลียต ให้ 2 ตระกูลคู่แค้นกลายมาเป็น 2 เผ่าพันธุ์คู่เวรเมื่อบวกกับการออกแบบฉากต่อสู้ เครื่องแต่งกาย ดนตรีประกอบ และเอฟเฟคท์ที่ทำได้ดีเยี่ยม หนังเรื่องนี้จึงมีภาค 2 และ 3 ออกมาตามลำดับ
ภาค 2 เป็นการย้อนไปตามหาความจริงแห่งต้นกำเนิดของแวมไพร์สาว เรื่องราวยิ่งเข้าท่ากว่าเดิม เพราะหนังสร้างที่มาเพื่อรองรับมหาสงครามดังกล่าวได้ลงตัว มีรักต้องห้าม และการข้ามสายพันธุ์ เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ชมตามติดไม่ลดละ แต่พอถึงภาค 3 หนังก็ชักจะกร่อย เมื่อ เคท เบคคินเซล ไม่มาปรากฏกายในชุดหนังรัดติ้วเหมือนเดิม แต่เป็น โรนา มิทรา ที่มารับบท ซอนยา (คนละบทกับที่ เคท เบคคินเซล เล่น) หนังว่ากันไปถึงต้นกำเนิดแห่ง 2 เผ่าพันธุ์ ย้อนกลับไปเมื่อพันปีก่อน ตั้งแต่ตอนที่มนุษย์หมาป่ายังแปลงร่างเป็นคนไม่ได้ดังใจ คือ ก่อนที่จะเป็นไลแคน นั่นแหละ
จริงๆ หนังก็ผูกปมมาดี เขาให้ทั้ง 2 เผ่ามีอันเกี่ยวดองใกล้ชิดสนิทเชื้อ มีทั้งรักทั้งแค้นผสมปนเปอยู่ในนั้น และแม้จะไม่มี เคท เบคคินเซล แต่ โรนา มิทรา ก็เป็นผู้หญิงที่ดูเท่ (โดยเฉพาะใครที่เคยดู DOOMSDAY ก็คงจะชอบผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย)
ในที่สุด 9 ปีผ่านไป หลังจากภาคแรกปล่อยออกมา ภาคที่ 4 UNDERWORLD: AWAKENING ก็ออกฉายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เคท เบคคินเซล กลับมารับบทเดิมอีกครั้ง หนังเปิดด้วยการย้อนเล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ กระตุ้นความทรงจำของคนดูสักหน่อย แล้วตามด้วยการหลบหนีของแวมไพร์สาวจากห้องทดลองลึกลับ ซึ่งภายหลังพบว่าเธอนอนไปนาน 12 ปี ระหว่างนั้นมีลูกกับมนุษย์หนุ่ม (ผู้มีส่วนผสมของแวมไพร์ และไลแคน อยู่ในตัว) และก็เป็นผู้ปลดปล่อยเธอให้ตื่นจากการแช่แข็ง ตามชื่อตอนว่า ปลุกให้ตื่น นั่นเอง
หนังไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนความน่าติดตาม แถมฉากต่อสู้ก็ทำได้ไม่ดีเท่าภาคก่อนๆ การตัดภาพก็ไม่รู้จะเร็วไปไหนนักหนา ดูๆ ไปได้ครึ่งเรื่องก็ต้องถามตนเองว่า นี่จะทำอะไรกัน ค่อนข้างผิดหวัง ไม่ใช่สิ ! ผิดหวังเป็นอย่างมากกับหนังภาคต่อตอนนี้ คาดว่าถ้าจะทำภาค 5 เจ้าของเงินคงต้องคิดหนักๆ หน่อย !
ศิลปิน : AIR
อัลบัม : LE VOYAGE DANS LA LUNE
แนวดนตรี : ELECTRIC
"ตีตั๋วไปดวงจันทร์กันหน่อยไหม ?"
AIR เจ้าพ่ออีเลคทรอนิค/แอมเบียนท์ ระดับโลกจากฝรั่งเศส กลับมาพร้อมอัลบัมใหม่ LE VOYAGE DANS LA LUNE หรือ การเดินทางสู่โลกพระจันทร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เงียบในปี 1902 ของผู้กำกับ จอร์จส์ เมลิส ชื่อ A TRIP TO THE MOON โดยคู่หูดูโอ AIR ตั้งใจทำอัลบัมนี้เพื่อเป็นการคารวะผลงานภาพยนตร์อันยอดเยี่ยมเรื่องนี้ รวมถึงต้องการต่อยอดทางดนตรีของตัวเองไปด้วย
แรงบันดาลใจในการทำอัลบัมชุดนี้เริ่มขึ้นเมื่อ นิโคลัส โกแดง และชอง-เบอนอยต์ ดุนเคล 2 สมาชิกต้นตำรับของ AIR ได้รับเลือกให้ทำดนตรีประกอบภาพยนตร์ A TRIP TO THE MOON ฉบับสีสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นการนำเศษซากฟีล์มต้นฉบับที่เหลืออยู่มาปะติดปะต่อ และนำออกฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานน์ส์ ประเทศฝรั่งเศส ปี 2011
A TRIP TO THE MOON จึงเป็นการนำเพลงประกอบในภาพยนตร์มาต่อยอด โดยคงความดั้งเดิมไว้เป็นฐานหลัก และเติมสีสันอื่นๆ พ่วงเข้าไป เพื่อเพิ่มความเป็นสตูดิโออัลบัม หนึ่งในสีสันที่ว่าก็คือ แขกรับเชิญที่มาร่วมร้องในซิงเกิลแรก SEVEN STARS ได้รับเกียรติจาก วิคตอเรีย เลอกรองด์ แห่ง BEACH HOUSE วงดรีมพอพมาร่วมร้อง และในเพลง WHO AM I NOW ? ก็ได้วง 3 สาวสวย AU REVOIR SIMONE มาลงเสียงให้เป็นพิเศษเช่นกัน
LE VOYAGE DANS LA LUNE นับเป็นสตูดิโออัลบัมลำดับที่ 7 ต่อจาก LOVE 2 ที่เคยขึ้นอันดับ 4 ชาร์ทบิลล์บอร์ด อัลบัมแดนศ์/อีเลคทรอนิค ตั้งแต่เมื่อปี 2009
11 เพลงในอัลบัมนี้ให้อารมณ์สนุกสนาน ผสานไปกับซาวน์ดหลอนๆ เหมาะอย่างยิ่งที่จะหามาฟังระหว่างการสังสรรค์ในยามค่ำคืน ไม่งั้นก็เอาไว้เปิดฟังยามบ่ายแก่ๆ รดน้ำต้นไม้ อ่านนิยายเล่มหนา ฟังไปเพลินๆ ไม่เป็นการรบกวนประสาทสมอง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเพลงบรรเลงไร้เสียงร้อง
อีกทั้งยังมีเสียงเครื่องดนตรีน้อยชิ้นเอามากๆ เสียด้วย เรียกได้ว่าเป็นงานอีเลคทรอนิค/แอมเบียนท์ ที่ออกแนวเรทโร คือ เหมือนจะใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่ คล้ายว่าจะเอาคอมพิวเตอร์พกพาท่องเวลาไปยังยุคคลาสสิคอะไรแบบนั้น
สำหรับคนที่เบื่อแนวดนตรีเดิมๆ ไม่พอพ ก็รอค จนอยากจะได้อะไรใหม่ๆ มาเปิดทัศนะ อัลบัมนี้ถือเป็นการนำร่องที่เข้าท่า ว่ากันตามตรง นี่คืออัลบัมที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การฟังเพื่อผ่อนคลาย หรือไม่ก็ใช้สมาธิทำอะไรบางอย่าง แต่อยากได้เสียงเพลงเบิกทางให้ด้วย
ส่วนใครที่ฟังแล้วรู้สึกชอบ หรือว่าสงสัย ทำไมหนังเรื่อง LE VOYAGE DANS LA LUNE หรือ A TRIP TO THE MOON มีดีอะไรนักหนา เขาถึงต้องไปค้นเอาเศษฟีล์มมาปะติดปะต่อปลุกชีพให้มันกลับมาฉายได้อีกครั้ง ก็ลองไปหาดูได้ตามเวบฟรีวีดีโอทั่วไป แล้วจะเข้าใจถึงแก่นแท้ของจินตนาการที่กว้างไกลเกินกว่าเทคนิคในยุคโน้น ยุคที่ภาพยนตร์เริ่มสร้างกันใหม่ๆ แล้วลองกลับมาฟังเพลงอีกที...ทีนี้ล่ะจะยิ่งเคลิ้มถึงกับลอยไปดวงจันทร์เลยทีเดียว !
ศิลปิน : SKRILLEX
อัลบัม : BANGARANG EP
แนวดนตรี : ELECTRO DANCE
"ทะยานไปกับความวูบวาบหวั่นไหว !"
งานอีเลคทรอแดนศ์ของแท้ แบบที่นิยมเปิดกันตามผับ หรือคลับที่มีสาวๆ ยักย้ายส่ายหัวกันหนักๆ ประเภทนี้ถ้าชอบก็จงอ่านต่อ แต่ถ้าไม่...ให้หยุดเสียตั้งแต่บรรทัดนี้ เพราะเพลงแนวนี้บอกตรงๆ ถ้าใจไม่ยอมรับ ฟังยังไงมันก็ไม่เพราะ ออกแนวจะน่ารำคาญเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากจะลองเปิดหูหาอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง ขอได้โปรดจงใช้วิจารณญาณ !
SKRILLEX มีชื่อจริงตามไอดีการ์ด คือ ซันนี จอห์น มัวร์ หนุ่มแอลเอ วัย 24 ปี มีดีกรีเป็นถึงมือรีมิกซ์อันดับต้นๆ ของโลก หลังจากสำแดงเดชแสดงฝีมือในการร่วมงานกับศิลปินรุ่นเธอะ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พร้อมผลลัพธ์ที่มากเกินกว่าหลักล้านแล้ว สุดท้ายก็ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 54 ปีนี้ ซึ่งประกาศผลไปเมื่อวันที่ 12 กพ. ที่ผ่านมา
ในครั้งนี้ SKRILLEX มีชื่อร่วมชิงรางวัลมากถึง 5 สาขาด้วยกัน ได้แก่ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม, BEST DANCE RECORDING (จากเพลง SCARY MONSTERS AND NICE SPRITES), BEST DANCE/ELECTRONICA (จากเพลง SCARY MONSTERS AND NICE SPRITES), BEST REMIX RECORDING (เพลง CINEMA (SKRILLEX REMIX) โดยศิลปิน BENNY BENASSI FEAT. GARY GO) และมิวสิควีดีโอขนาดสั้นยอดเยี่ยม FIRST OF THE YEAR (EQUINOX)
แล้วสุดท้ายก็กวาดไปได้ทั้งสิ้น 3 รางวัลด้วยกัน ได้แก่ BEST DANCE RECORDING, BEST DANCE/ELECTRONICA ALBUM และ BEST REMIX RECORDING, NON CLASSICAL
BANGARANG EP เป็นผลงานล่าสุดกับ 7 เพลงที่ไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน ในระหว่างการออกทัวร์ใหญ่ของเขา THE MOTHERSHIP TOUR ในช่วงปี 2011 ยกเว้นก็แต่เพลง RIGHT ON TIME โดยได้ชื่อมาจากเด็ก 2 คนที่พบกันระหว่างการออกทัวร์ ซึ่งมักจะพูดคำๆ นี้เมื่อมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น...RIGHT ON TIME !
ในอีพียังอุดมไปด้วยแขกรับเชิญมากหน้าหลากตา ตั้งแต่รุ่นเยาว์อย่างสาว เอลลี กูลดิง ในเพลง SUMMIT จนถึงรุ่นใหญ่อย่าง THE DOORS ใน BREAKN' A SWEAT เพลงนี้นอกจากจะเป็นเพลงพโรโมทอีพีแล้ว ยังเป็นเพลงที่ใช้ประกอบโฆษณาภาพยนตร์สารคดีดนตรีสุดเลิศของปีนี้ที่ชื่อ RE: GENERATION ซึ่งถ่ายทอดภาพของพโรดิวเซอร์, มิกเซอร์ และนักทำเพลงรุ่นใหม่ 5 คน (รวมทั้ง SKRILLEX ด้วย)
นอกจากนี้เขายังได้เข้าไปร่วมงานกับนักร้องนักดนตรีรุ่นเก่าในสาขาเพลงประเภทอื่นๆ ที่แตกต่างจากงานที่เคยทำปกติ
BANGARANG คือ ผลผลิตชิ้นใหม่ภายใต้บีทเอกลักษณ์ของ SKRILLEX ด้วยการผสมผสานทรานซ์เข้ากับอีเลคทรอเฮาส์ และดับสเตพ จากศิลปินเบอร์ 1 ที่นักวิจารณ์ยกให้เป็น SOUND OF FUTURE หลายเพลงในอัลบัมจึงออกแนวล้ำเกินใครใน 3 โลก แต่ไม่ใช่ถึงกับฟังไม่เข้าใจ คือ มันมีซาวน์ดที่ดึงลูพเสียงต่ำบ้าง สูงบ้าง แต่ท่วงทำนองก็ยังจัดอยู่ว่าฟังง่าย และสวยงาม
ถ้าอยากลองเปิดหูฟังเพลงแบบที่เขาเปิดในผับบ้าง อัลบัมนี้ถือเป็นบัตรผ่านชั้นดี คุณจะได้ที่นั่งเฟิร์สต์คลาสส์แถวหน้า เสียบ CD ใส่เครื่องเล่น สตาร์ทรถเปิดแอร์ให้เย็นเฉียบ จากนั้นบิดวอลูมให้ดังขึ้นอีกนิด แล้วทะยานไปกับความมืดข้างหน้า พร้อมหัวใจดวงใหม่ที่จะพาคุณก้าวกลับไปสู่วัยเยาว์ที่ยังคงไว้ด้วยความวูบวาบหวั่นไหว เร้าใจตื่นเต้นกับทุกเส้นทางที่จะเจอ !
ABOUT THE AUTHOR
ธ
ธนสาร เสาวมล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2558