ระเบียงรถใหม่
MERCEDES-BENZ A-CLASS
ได้รับจดหมายอีเลคทรอนิคจากผู้อ่านท่านหนึ่ง อยากทราบความหมายที่ชัดเจนของคำว่า "รถขนาดเล็กกะทัดรัด" ที่พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ ใน "ระเบียงรถใหม่" นี้ รวมทั้งขอให้ระบุด้วยว่า รถสารพัดขนาด สารพัดสี สารพัดรุ่น สารพัดยี่ห้อที่วิ่งกันอยู่กลาดเกลื่อนตามท้องถนนในบ้านเรา มีรถอะไรบ้างที่จัดว่าเป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัด ?
เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะตอบได้ง่าย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรในการค้นหาข้อมูลจากเวบไซท์ต่างๆ ก็ยังไม่พบคำอธิบายที่โดนใจ แต่พอจะสรุปได้ว่า "รถขนาดเล็กกะทัดรัด" มีความหมายแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในแต่ละภูมิภาค
ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเคยเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนเสียตำแหน่งให้แก่เศรษฐีใหม่ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีกฏหมายกำหนดประเภทของรถยนต์ซึ่งระบุว่า รถขนาดเล็กกะทัดรัด หรือ COMPACT CAR คือ รถที่ห้องโดยสารและห้องบรรทุกสัมภาระมีปริมาตรความจุรวมกันระหว่าง 100-109.9 ลูกบาศก์ฟุต หรือเท่ากับประมาณ 2,832-3,114 ลิตร
ในญี่ปุ่นซึ่งจัดประเภทรถยนต์ตามความยาว ความกว้าง ความสูง ของตัวถัง และขนาดความจุของเครื่องยนต์ รถขนาดเล็กกะทัดรัด หรือ 5 NUMBER CAR คือ รถที่มีตัวถังยาว 3.40-4.70 ม. กว้าง 1.48-1.70 ม. สูงไม่เกิน 2.00 ม. และติดตั้งเครื่องยนต์ไม่โตกว่า 2,000 ซีซี
ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างเพียง 2 ชาติคงพอ มากกว่านี้เกรงจะเวียนหัว หากถามว่าผู้เขียนคอลัมน์นี้ยึดของชาติไหนเป็นหลัก ? ก็ต้องตอบกันตรงๆ ว่า ไม่ได้ยึดชาติไหนทั้งนั้นแหละ แต่จะเรียกตามที่บริษัทผู้ผลิตเขาเรียก ในกรณีที่ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง ก็จะพิจารณาจากมิติความยาวของตัวรถเพียงอย่างเดียว โดยยึดหลักว่า กรณีเป็นรถแฮทช์แบค รถขนาดเล็กกะทัดรัด คือ รถที่มีตัวถังยาวระหว่าง 4.10-4.50 ม. แต่ในกรณีเป็นรถซีดาน รถคูเป หรือรถตรวจการณ์ รถขนาดเล็กกะทัดรัด คือ รถที่มีตัวถังยาวระหว่าง 4.40-4.70 ม. ว่ากันง่ายๆ อย่างนี้แหละ
คุยเรื่องรถขนาดเล็กกะทัดรัดยืดยาวหน่อย เพราะรถที่นำมาเสนอใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้เป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัดล้วนๆ มีทั้งรถสัญชาติยุโรป รถสัญชาติอเมริกัน และรถสัญชาติญี่ปุ่นที่ไม่มีขายในญี่ปุ่น เริ่มกันที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่สุดในสายการผลิตของค่าย "ดาวสามแฉก" ซึ่งรู้จักกันดีทั่วโลกในชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ A-CLASS)
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ เริ่มนำรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ ออกสู่ตลาดเมื่อปี 1997 และ 8 ปีหลังจากนั้น คือ ในปี 2005 ก็เปลี่ยนรุ่นรถอนุกรมนี้เป็นครั้งแรก ส่วนรุ่นที่กำลังอวดตัวอยู่ในขณะนี้ เป็นรถรุ่นที่ 3 เพิ่งเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมปีงูใหญ่และเริ่มการผลิตที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเมือง ราชตัทท์ (RASTATT) ของเยอรมนีไปแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคมปีเดียวกัน
รถรุ่นนี้มีตัวถังยาว 4.292 ม. กว้าง 1.780 ม. สูง 1.430-1.438 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอยู่ระหว่าง 0.27-0.30 เป็นตัวถังที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดหาง มีหน้าตา และรูปทรงองค์เอวไปกันคนละทิศละทางเลยกับรถรุ่นเดิมซึ่งมีตัวถังยาว 3.883 ม. กว้าง 1.764 ม. และสูง 1.593 ม. หากเทียบกับรถที่คุ้นเคยกันดีในบ้านเรา ก็จะเหมือนกับเปลี่ยนรูปลักษณ์จากรถ ฮอนดา แจซซ์ (HONDA JAZZ) เป็นรถ มาซดา 3 (MAZDA 3) นั่นเอง
ชุดที่ออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ไปแล้วเมื่อต้นเดือนกันยายน มีรถให้เลือกใช้รวม 7 โมเดล แยกเป็นรถเบนซิน 4 โมเดล คือ A 180 BLUEEFFICIENCY (1,595 ซีซี 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า) A 200 BLUEEFFICIENCY (1,595 ซีซี 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า) A 250 BLUEEFFICIENCY (1,991 ซีซี 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า) และ A 250 SPORT (1,991 ซีซี 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า) กับเป็นรถดีเซล 3 โมเดล คือ A 180 CDI BLUEEFFICIENCY (1,461 ซีซี 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า) A 180 CDI BLUEEFFICIENCY (1,796 ซีซี 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า) และ A 200 CDI BLUEEFFICIENCY (1,796 ซีซี 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า)
สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 เริ่มต้นที่ 23,978 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 960,000 บาทไทย ในโมเดลพื้นฐาน คือ MERCEDES-BENZ A 180 BLUEEFFICIENCY
เล็กแต่หรู 3 ประตูแฮทช์แบค
AUDI A3
รถแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัดสายพันธุ์เยอรมันอีกแบบหนึ่ง ที่ใช้เวทีในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนมีนาคมปีงูใหญ่เป็นที่เปิดตัว คือ รถ เอาดี เอ 3 (AUDI A3) รถแฮทช์แบคติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 3 (AUDI A3) เริ่มออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เมื่อปี 1996 รถรุ่นดังกล่าวซึ่งใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มชุดเดียวกับรถร่วมเครือ คือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) เซอัต โตเลโด SEAT TOLEDO) และ สโกดา อคตาวีอา (SKODA OCTAVIA) อยู่ในสายการผลิตจนถึงปี 2003 และมีตัวถังให้เลือกใช้รวม 2 แบบ คือ ตัวถัง 3 กับ 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.152 ม. กว้าง 1.735 ม. และสูง 1.423 ม. รูปทรงองค์เอวของตัวถังเป็นผลงานรังสรรค์ของ พีเทร์ ชเรเยร์ (PETER SCHREYER) นักออกแบบชาวเยอรมันชื่อก้องโลก ซึ่งขณะนี้ทำงานอยู่กับค่าย เกีย (KIA) ของเกาหลีใต้
ปี 2003 ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ปลดรถรุ่นแรกออกจากสายการผลิต แล้วแทนที่ด้วยรถรุ่นที่ 2 ซึ่งมีขนาดตัวถังโตกว่ารถรุ่นแรกเล็กน้อยในทุกๆ มิติ และยังคงเป็นรถที่ใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มชุดเดียวกับรถร่วมเครือที่กล่าวข้างต้นเช่นเดิม ปรากฏว่าในช่วงเวลาเกือบ 1 ทศวรรษที่อยู่ในสายการผลิต (2003-2012) ค่าย "สี่ห่วง" ผลิตรถรุ่นนี้ให้เลือกใช้ถึง 3 ตัวถัง คือ AUDI A3/AUDI S3 ในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค AUDI A3 SPORTBACK/AUDI S3 SPORTBACK/AUDI RS3 SPORTBACK ในตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค และ AUDI A3 CABRIOLET ในตัวถังเปิดประทุน
ส่วนรถรุ่นที่ 3 ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่กันชนหน้าจรดกันชนท้าย โดยใช้พแลทฟอร์ม MQB ที่ค่ายนี้ออกแบบขึ้นใหม่ และตั้งใจจะใช้เป็นพื้นฐานของรถติดตรา "สี่ห่วง" รุ่นใหม่ๆ หลายอนุกรมที่จะทยอยออกสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้ คือ ตั้งแต่รถขนาดเล็กจิ๋วอย่าง AUDI A1 ไปจนถึงรถขนาดเล็กกะทัดรัดอย่าง AUDI A5 SPORTBACK นั่นเทียว ตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบคของรถรุ่นที่ 3 มีขนาดใกล้เคียงกันมากกับรถรุ่นเดิม คือ ยาว 4.237 ม. กว้าง 1.777 ม. และสูง 1.421 ม. ที่เปลี่ยนไปมาก คือ ช่วงฐานล้อ ที่ขยายจาก 2.578 เป็น 2.601 ม. คือ ยาวขึ้นถึง 2.3 ซม. ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ ห้องโดยสารที่กว้างขวางและนั่งสบายขึ้น พื้นที่วางแข้งวางเข่าที่กว้างขึ้น และเนื้อที่บรรทุกท้ายรถที่เพิ่มจาก 350 เป็น 365 ลิตร ที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน คือ ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ลดจาก 0.33 เป็น 0.31
รถที่ออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 22,500 ยูโร หรือประมาณ 900,000 บาทไทย แบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส ATTRACTION AMBITION AMBIENTE มีกระทะล้อให้เลือกใช้ถึง 13 แบบ และมีสีตัวถังให้เลือกถึง 12 สี เป็นสีทึบ 3 สี คือ สีขาว AMALFIWEISS สีแดง BRILLANTROT สีดำ BRILLANTSCHWARZ เป็นสีเมทัลลิค 7 สี คือ สีเงิน EISSILBER METALLIC สีน้ำตาล BELUGABRAUN METALLIC สีฟ้า SCUBABLAU METALLIC สีเทา MONSUNGRAU METALLIC สีขาว GLETSCHERWEISS METALLIC สีเทา DAKOTAGRAU METALLIC สีแดง SHIRAZROT METALLIC และเป็นสีเคลือบมุก 2 สี คือ สีแดง MISANOROT PERLEFFEKT กับสีดำ PHANTOMSCHWARZ PERLEFFEKT
เช่นเดียวกับรุ่นที่เพิ่งถูกปลดจากสายการผลิต รถรุ่นใหม่นี้มีทั้งแบบขับล้อหน้า และขับทุกล้อ รถขับทุกล้อมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 4 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,395 ซีซี 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,798 ซีซี 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 77 กิโลวัตต์/105 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,968 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ส่วนแบบขับทุกล้อมีเครื่องยนต์ขนาดเดียว คือเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,798 ซีซี 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า
รถหลังคาอ่อนสุดร้อนสุดแรง
VOLKSWAGEN GOLF GTI CABRIOLET
ในบ้านเรา รถเปิดประทุนไม่ได้เป็นอะไรที่เห็นกันได้บ่อยๆ ทุกวี่ทุกวัน แต่ในภูมิภาคตะวันตกอย่างยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา การได้เห็นรถเปิดประทุนหลายคันหลายรุ่นหลายยี่ห้อวิ่งไล่เรียงกันไปตามท้องถนน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เพื่อถ่ายทอดผ่านเฟสบุค ในประเทศตะวันตกที่ว่านี้ บริษัทรถยนต์รายใหญ่แทบทุกรายล้วนมีรถเปิดประทุนอยู่ในสายการผลิตด้วยกันทั้งนั้น
เดือนนี้ "ระเบียงรถใหม่" นำเรื่องราวของรถเปิดประทุนมาเล่าสู่กันฟังหนึ่งคัน เป็นรถสัญชาติเยอรมันซึ่งเพิ่งอวดตัวต่อสายตาผู้คนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุด และออกโชว์รูมไปแล้วเมื่อกลางเดือนมิถุนายน
นับแต่การก่อกำเนิดของรถแฮทช์แบค โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) รุ่นแรก เมื่อปี 1974 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเมืองเบียร์ทำรถเปิดประทุน โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ กาบริโอเลต์ (VOLKSWAGEN GOLF CABRIOLET) ออกขายมาแล้วหลายรุ่นหลายโมเดล และขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วนับล้านคัน แต่ไม่มีแม้เพียงคันเดียวในจำนวนรถนับล้านคันนี้ที่ติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ กาบริโอเลต์ (VOLKSWAGEN GOLF GTI CABRIOLET)
การนำรหัส GTI มาใช้เป็นครั้งแรก เป็นประจักษ์พยานยืนยันให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ให้ความสำคัญปานใดแก่รถเปิดประทุนรุ่นนี้ เพราะในประเทศยุโรปตะวันตกโดยเฉพาะในเยอรมนี คนรักรถไม่ว่าหัวหงอกหัวดำ หรือหัวสีทองย่อมทราบกันดีว่า เมื่อนำชื่อรถ VOLKSWAGEN ชื่อรุ่น GOLF และรหัส GTI มารวมไว้ในที่เดียวกัน ผลลัพธ์ที่จะได้ คือ รถขนาดเล็กกะทัดรัดที่มีสมรรถนะการขับขี่ และความเร็ว ยังกะรถสปอร์ทค่าตัวแพง
ตัวถังยาว 4.258 ม. กว้าง 1.782 ม. และสูง 1.414 ม. ของ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ กาบริโอเลต์ พัฒนาจากตัวถังขนาดเดียวกันของรถเปิดประทุน โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ กาบริโอเลต์ รุ่นสามัญ ที่เริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อไตรมาสแรกของปี 2011 ในส่วนของตัวถังทั้งภายนอกและภายในมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและเสริมแต่งในบางจุดเพื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจนในความแตกต่าง ตัวอย่าง คือ แผงกระจังหน้าซึ่งขอบบนและขอบล่างเคลือบสีแดงซึ่งเป็นเครื่อง
หมายการค้าของรถรหัส GTI ท่อไอเสียแบบท่อกลมชุบคโรเมียม ไฟท้ายแอลอีดี ธรณีประตูทั้ง 2 ด้านที่ยื่นมากกว่าปกติ กระทะล้ออัลลอยและเก้าอี้ที่นั่งทั้ง 4 ตัวที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ ฯลฯ
เช่นเดียวกับรถรุ่นสามัญ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ กาบริโอเลต์ ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน ทำจากผ้าแฟบริคและเปิดปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค (ELECTRO-HYDRAULIC) การเปิดประทุนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 9.5 วินาที แต่ตอนปิดจะเพิ่มเป็น 11 วินาที การเปิดหรือปิดประทุนด้วยการกดปุ่มที่ว่านี้จะกระทำได้เมื่อรถยังวิ่งเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม.
เป็นรถขับล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง ความจุ 1,984 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์/210 แรงม้า ที่ 5,300-6,200 รตน.และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร/28.6 กก.-ม. ที่ 1,700-5,200 รตน. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้า เลือกได้ระหว่างเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 237 กม./ชม. เป็นรถร้อนแรงและเร็วที่ไม่หิวเชื้อเพลิงและปล่อยไอพิษไม่มากจนเกินทน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 7.6 ลิตร/100 กม. หรือ 13.2 กม./ลิตร ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์คือ 177 กรัม/กม.
ค่าตัวที่ซื้อขายกันในเมืองแม่ เริ่มต้นที่ระดับ 31,350 ยูโร หรือประมาณ 1.25 ล้านบาทไทย ส่วนสีตัวถังมีให้เลือกรวม 8 สี คือ สีขาว PURE WHITE สีแดง TORNADOROT สีฟ้า NIGHT BLUE METALLIC สีเงิน REFLEXSILBER METALLIC สีเงิน TUNGSTEN SILVER METALLIC สีเทา UNITED GREY METALLIC สีดำ DEEP BLACK PERLEFFEKT และ สีขาว ORYXWEISS PERLMUTTEFFEKT
ไม่เลิศไม่หรูแต่ประตูสุดเจ๋ง
FORD B-MAX
รถขนาดเล็กกะทัดรัดที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้ เกือบทั้งหมดล้วนเป็นรถอย่างที่เรียกกันในบ้านเรามานมนานว่ารถเก๋ง ยกเว้นเพียงคันเดียว คือ ฟอร์ด บี-แมกซ์ (FORD B-MAX) ที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่ารถเก๋ง เพราะผู้ผลิตซึ่งตอนนี้อาจกำลังนั่งจิบเบียร์หรือกลั้วคอด้วยน้ำชาอยู่ตรงมุมหนึ่งมุมใดของทวีปยุโรปเขาเรียกรถแบบนี้ว่า COMPACT MULTI-PURPOSE VEHICLE เมื่อถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอย่างตรงไปตรงมาไม่มี
อ้อมไม่มีค้อม จนถึงขณะนี้ผู้เขียน "ระเบียงรถใหม่" ก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะใช้คำใดหากไม่ใช้ รถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกะทัดรัด รถติดป้ายชื่อ ฟอร์ด บี-แมกซ์ (FORD B-MAX) ปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 81 เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2011 แต่มีป้ายประกาศบอกว่ายังมีฐานะเป็นเพียงรถแนวคิดไม่ใช่รถที่กำลังจะออกโชว์รูม หนึ่งปีพอดิบพอดีหลังจากนั้น คือที่งานมหกรรมยานยนต์รายการเดียวกันเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2012 รถชื่อเดียวกันและมีหน้าตาคล้ายๆ กันก็ปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้ง คราวนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของรถตลาดสมบูรณ์แบบที่พร้อมแล้วจะเข้าสู่สายการผลิต ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นคือเมื่อเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี่เอง รถติดป้ายชื่อ ฟอร์ด บี-แมกซ์ ก็ออกสู่โชว์รูมในยุโรปบางประเทศ รวมทั้งในเมืองแม่ คือ เยอรมนี
ตัวถังยาว 4.077 ม. กว้าง 1.751 ม. และสูง 1.604 ม. ของรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกะทัดรัดคันนี้ มองอย่างผิวเผินก็เหมือนไม่มีจุดเด่นสะดุดตาสะดุดใจอะไร ต่อเมื่อเพ่งดูอย่างพินิจพิจารณาไม่รีบไม่ร้อน และโดยเฉพาะหากมีใครสักคนเดินเข้าไปเปิดประตูข้างด้านหนึ่งด้านใด ก็จะเห็นได้ในทันทีว่าจุดเด่นและน่าจะเป็นจุดขายสำคัญของรถแบบนี้อยู่ที่ประตูข้างนี่เอง! เป็นลักษณะการออกแบบระบบประตูข้างที่คนรักรถคงไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถแบบใดๆ ที่มีขายอยู่ในบ้านเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน อธิบายอย่างง่ายๆ ได้ว่า มีประตูข้างด้านละ 2 บานเหมือนรถอเนกประสงค์ทั่วไป โดยที่บานหน้าเป็นประตูติดบานพับที่เปิดโดยผลักไปข้างหน้า ส่วนบานหลังเป็นประตูเลื่อนที่เปิดโดยเลื่อนไปข้างหลัง ซึ่งก็ดูไม่แปลกไปจากรถอเนกประสงค์ทั่วๆ ไปเช่นกัน ที่แปลกก็คือระหว่างประตู 2 บานนี้ ไม่มีเสากลาง หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า B-PILLARS แทรกอยู่ จึงเป็นช่องประตูที่เปิดกว้างถึง 1.50 เมตร การขึ้น/ลงรถแบบนี้จึงทำได้สะดวกเป็นพิเศษ
ระบบประตูที่กล่าวข้างต้น เป็นผลลัพธ์ของงานวิจัยที่กระทำกันอย่างเข้มข้นและเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เชื่อได้เลยว่าจะได้พบได้เห็นกันแน่ในรถใหม่อีกหลายแบบ อย่างไรก็ตาม การออกแบบประตูในลักษณะไม่มีเสากลางนี้ ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อความแข็งแรงของตัวถัง ฟอร์ด ยุโรปแก้ปัญหานี้โดยใช้วัสดุที่แข็งแรงเป็นพิเศษในการทำโครงประตูทุกบาน คือ เหล็กกล้ากำลังสูงที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าทั่วๆไปถึงห้าเท่า เป็นวัสดุที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตอากาศยานและรถไฟ และมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า ULTRA-HIGH STRENGTH BORON STEEL นอกจากนั้นยังออกแบบให้บานประตูทำหน้าที่เป็นเสาค้ำยันแทนเสาที่ไม่มีอยู่จริง โดยมีกลอนยึดติดทั้งด้านบนและด้านอีกต่างหาก
ในตลาดเยอรมนี ฟอร์ด บี-แมกซ์ รถอเนกประสงค์ซึ่งพัฒนาจากรถเก๋งที่คนรักรถในบ้านเราคงคุ้นเคยกันดีคือรถ ฟอร์ด ฟิเอสตา (FORD FIESTA) แบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 4 ระดับ กำกับด้วยรหัส AMBIENTE TREND TATANIUM INDIVIDUAL และมีเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างจุใจถึง 6 ขนาด แยกเป็นเครื่องเบนซิน 4 ขนาด คือ เครื่อง 1.4 ลิตร 66 กิโลวัตต์/90 แรงม้า เครื่องเทอร์โบฉีดตรง 1.0 ลิตร 74 กิโลวัตต์/100 แรงม้า เครื่องเทอร์โบฉีดตรง 1.0 ลิตร 88 กิโลวัตต์/120 แรงม้า เครื่อง 1.6 ลิตร 77 กิโลวัตต์/105 แรงม้า และเป็นเครื่องดีเซล 2 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบฉีดตรง 1.5 ลิตร 55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบฉีดตรง 1.6 ลิตร 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้ามีให้เลือกเพียง 2 แบบ คือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
สนนราคาค่าตัวของรถที่ซื้อขายกันในเมืองเบียร์โดยมีสีตัวถังให้เลือกถึง 11 สี อยู่ระหว่าง 15,950-22,050 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 638,000-882,000 บาทไทย
แฮทช์แบคหุ่นสวยรวยแรงม้า
VOLVO V40
รถขนาดเล็กกะทัดรัดสายพันธุ์ยุโรปแบบสุดท้ายที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในเดือนนี้ ก็เป็นรถซึ่งเพิ่งอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดเช่นเดียวกัน เป็นรถขนาดเล็กอนุกรมใหม่เอี่ยมแกะกล่องที่เพียง 2 เดือนหลังการเปิดตัวผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของเมืองฟรีเซกซ์ก็บรรจุเข้าสู่สายการผลิตซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเกนท์ (GHENT) ของเบลเยียม แทนที่รถรุ่นเดิม 2 อนุกรม ที่คนรักรถในเมืองไทยคงคุ้นเคยกันดี คือ รถซีดาน โวลโว เอส 40 (VOLVO S40) และรถตรวจการณ์ โวลโว วี 50 (VOLVO V50) โดยตั้งเป้าหมายการผลิตและการขายไว้ที่ระดับ 90,000 คัน/ปี
เป็นรถที่ผู้ผลิตรถยนต์ของยุโรปเหนือเริ่มการออกแบบและพัฒนาตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์รอง ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี ไม่ใช่มีเจ้าของนั่งจิบเต๊อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค 5 ที่นั่ง ซึ่งยาว 4.369 ม. กว้าง 1.783 ม. สูง 1.420 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน 0.29-0.30 ออกแบบและพัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มชุดเดียวกับรถขนาดเล็กที่คนรักรถในบ้านเราคงคุ้นเคยกันดีเช่นกัน คือ รถ ฟอร์ด โฟคัส (FORD FOCUS) แต่คนของค่ายนี้ยืนยันกับสื่อมวลชนว่า เป็นพแลทฟอร์มชุดเดียวกันก็จริง แต่มีการปรับแต่งรายละเอียดในหลายๆ จุด โดยเฉพาะในระบบพวงมาลัยและระบบรองรับ
เช่นเดียวกับรถยี่ห้อเดียวกันทุกรุ่นทุกแบบ โวลโว วี 40 เป็นรถแฮทช์แบคระดับ"พรีเมียม"ที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแก่ระบบความปลอดภัยทั้งเชิงป้องกันและเชิงแก้ไข นอกจากระบบป้องกันการชนเมื่อขับรถในเขตเมืองซึ่งเคยเห็นกันมาก่อนแล้วในรถรุ่นอื่นๆ วิจารณ์กันในยุโรปว่า พัฒนาการด้านความปลอดภัยที่โดดเด่นที่สุดในรถแบบนี้ คือ ระบบป้องกันภัยให้แก่คนเดินถนน โดยติดตั้งถุงลมนิรภัยซึ่งจะพองตัวขึ้นบนหน้าหม้อเมื่อเกิดการชน เพื่อเป็นเบาะรองรับร่างกายของผู้ถูกชนที่อาจจะลอยลงมากระแทกหน้าหม้อ
ในเมืองแม่ คือ สวีเดน โวลโว วี 40 แบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 4 ระดับ กำกับด้วยรหัส STANDARD KINETIC MOMENTUM SUMMUM และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 5 ขนาด เป็นเครื่องเบนซิน 2 ขนาด คือเครื่องเทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,596 ซีซี ที่ปรับแต่งเป็น 2 แบบ คือ แบบให้กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า และแบบให้กำลังสูงสุด 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า เครื่องดีเซลซึ่งมีอยู่รวม 3 ขนาด ประกอบด้วยเครื่องเทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,560 ซีซี 84 กิโลวัตต์/115 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบฉีดตรง DOHC 5 สูบเรียง 1,984 ซีซี ที่ปรับแต่งเป็น 2 แบบ คือ แบบให้กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า กับแบบให้กำลังสูงสุด 130 กิโลวัตต์/177 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้ามีให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ในบางประเทศรถอนุกรมนี้จะมีเครื่องยนต์อีก 2 ขนาด ที่น่าจะโดนใจคนรักรถเล็กแต่ร้อนแรง เป็นเครื่องเทอร์โบเบนซิน DOHC 5 สูบเรียง 1,984 ซีซี ที่ปรับแต่งเป็น 2 แบบ คือ แบบให้กำลังสูงสุด 157 กิโลวัตต์/213 แรงม้า กับแบบให้กำลังสูงสุด 187 กิโลวัตต์/254 แรงม้า ทั้ง 2 แบบทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ตามตัวเลขของผู้ผลิต รถโมเดลพื้นฐานคือ VOLVO V40 T3 ซึ่งติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 1,596 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ใช้เกียร์ธรรมดา และติดป้ายค่าตัว 225,000 คโรนา หรือประมาณ 1,080,000 บาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.8 ลิตร/100 กม.หรือ 17.2 กม./ลิตร และมีอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 134 กรัม/กม. ส่วนโมเดลหัวกะทิคือ VOLVO V40 D4 ซึ่งติดป้ายค่าตัว 270,000 คโรนา หรือประมาณ 1,300,000 บาทไทย ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดตรง 1,984 ซีซี 130 กิโลวัตต์/177 แรงม้า และใช้เกียร์อัตโนมัติ ตัวเลขจะเปลี่ยนเป็น 8.3 วินาที 215 กม./ชม. 5.2 ลิตร/100 กม.หรือ 19.2 กม./ลิตร และ 136 กรัม/กม. ตามลำดับ
รถเล็กแต่หรู...ดูก็ดีขับขี่ก็เด็ด
CADILLAC ATS
มีรถเล็กกะทัดรัดจากเมืองมะกันปะปนมา 2 คัน คันแรก คือ แคดิลแลค เอทีเอส (CADILLAC ATS) ที่กำลังอวดโฉมอยู่ในขณะนี้ เป็นผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องของ เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี (GENERAL MOTORS COMPANY) บริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาซึ่งสมัยที่ยังใช้ชื่อเดิมคือ เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน (GENERAL MOTORS CORPORATION) มีรถให้ลูกค้าในเมืองมะกันเลือกใช้ถึง 8 ยี่ห้อ คือ บิวอิค (BUICK) แคดิลแลค (CADILLAC) เชฟโรเลต์ (CHEVROLET) จีเอมซี (GMC) ฮัมเมอร์ (HUMMER) โอลด์สโมบิล (OLDSMOBILE) พอนทิแอค (PONTIAC) และ แซเทิร์น (SATURN) แต่หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จนต้องเปลี่ยนฐานะ และเปลี่ยนชื่อบริษัท มีรถอยู่เพียง 4 ยี่ห้อเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสายการผลิต คือ บิวอิค (BUICK) แคดิลแลค (CADILLAC) เชฟโรเลต์ (CHEVROLET) และ จีเอมซี (GMC)
เป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัดระดับสุดหรู อย่างที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า COMPACT LUXURY SPORTS SEDAN และเป็นรถที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันออกแบบและพัฒนาเพื่อรับมือกับรถระดับเดียวกันของค่ายเยอรมันคือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ C-CLASS) และ เอาดี เอ 4 (AUDI A4) เพิ่งอวดตัวต่อเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เมื่อกลางเดือนมกราคมปีงูใหญ่ และขณะนี้ออกโชว์รูมไปเรียบร้อยแล้วในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 สถานที่ผลิต คือ โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองแลนซิง (LANSING) ในรัฐมิชิแกน
เป็นรถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง รวมทั้งพแลทฟอร์มซึ่งมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า ALPHA PLATFORM ตัวถังยาว 4.643 ม. กว้าง 1.421 ม. และสูง 1.421 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน มีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวบ่งบอกความเป็นรถอเมริกันพันธุ์แท้เต็มตัว และเหมือนย่อส่วนจากรถอนุกรมพี่ คือ แคดิลแลค ซีทีเอส (CADILLAC CTS) ที่เริ่มจำหน่ายเมื่อปีโมเดล 2008 และผลิตที่โรงงานเดียวกัน
แบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 4 ระดับ กำกับด้วยรหัส STANDARD LUXURY PERFORMANCEPREMIUM และมีสีตัวถังให้เลือกรวม 10 สี คือ สีเงิน RADIANT SILVER METALLIC สีขาว WHITE DIAMOND TRICOAT สีเงิน SILVER COAST METALLIC สีฟ้า GLACIER BLUE METALLIC สีเทา THUNDER GRAY CHROMAFLAIR สีทอง SUMMER GOLD METALLIC สีแดง CRYSTAL RED TINTCOAT สีน้ำเงิน OPULENT BLUE METALLIC สีดำ BLACK DIAMOND TRICOAT และสีดำ BLACK RAVEN
มีทั้งแบบขับล้อหลังและขับทุกล้อ และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 3 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 203 กิโลวัตต์/272 แรงม้า เครื่องเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,457 ซีซี 151 กิโลวัตต์/202 แรงม้า และเครื่องเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 3,564 ซีซี 239 กิโลวัตต์/321 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
สมรรถนะความเร็วและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามตัวเลขของผู้ผลิต โมเดลพื้นฐานซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ 2,457 ซีซี 151 กิโลวัตต์/202 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และเป็นรถขับล้อหลัง อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 7.5 วินาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 9.4 กม./ลิตร เมื่อขับขี่ในเมือง และลดเป็น 13.6 กม./ลิตร เมื่อขับขี่บนทางหลวง ส่วนโมเดลหัวกะทิซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ 3,564 ซีซี 239 กิโลวัตต์/321 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และขับล้อหลัง ตัวเลขจะเปลี่ยนเป็น 5.4 วินาที 8.1 กม./ลิตร และ 11.9 กม./ลิตร
สนนราคาค่าตัวอยู่ระหว่าง 33,095-55,005 เหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับประมาณ 1,060,000-1,760,000 บาทไทย เป็นราคาอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า MSRP หรือ MANUFACTURER'S SUGGESTED RETAIL PRICE คือ ราคาขายปลีกที่แนะนำโดยผู้ผลิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องซื้อขายกันจริงในราคานี้
รถอเมริกันเจือสายพันธุ์อิตาเลียน
DODGE DART
รถจากเมืองมะกันอีกแบบหนึ่งที่ "ระเบียงรถใหม่"เลือกมาให้ชื่นชมกันในเดือนนี้คือ ดอดจ์ ดาร์ท (DODGE DART) เป็นผลงานของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับยักษ์เล็กของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอีกรายหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จนต้องเปลี่ยนฐานะ และเปลี่ยนชื่อของกิจการจาก ไครสเลอร์ แอลแอลซี (CHRYSLER LLC) เป็น ไครสเลอร์ กรุพ แอลแอลซี (CHRYSLER GROUP LLC) รวมทั้งต้องยอมขายหุ้นบางส่วนให้แก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนี คือ เฟียต กรุพ (GROUP)
เป็นรถแบบใหม่ล่าสุดของค่ายนี้ และผลพวงจากการที่ยักษ์ใหญ่ของอิตาลีก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นดังที่กล่าวข้างต้น เพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนมกราคมปีงูใหญ่ และออกโชว์รูมไปเรียบร้อยแล้วเมื่อไตรมาสที่ 3 ของปี พร้อมติดป้ายชื่อว่าเป็นรถรุ่นปีโมเดล 2013 และคำโฆษณาชวนเชื่อว่า BLENDS ALFA ROMEO DNA WITH DODGE'S PASSION หรือ "ผสมผสานดีเอนเอของรถ อัลฟา โรเมโอ เข้ากับแรงปรารถนาของ ดอดจ์" เป็นรถเก๋งซีดานขนาดเล็กกะทัดรัดในตัวถังยาว 4.672 ม. กว้าง 1.830 ม. และสูง 1.465 ม.ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.285 เป็นรถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง โดยขอหยิบขอยืมชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์ทขับล้อหน้าจากรถ อัลฟา โรเมโอ จูลิเอตตา (ALFA ROMEO GIULIETTA) รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเริ่มจำหน่ายในตลาดยุโรปเมื่อกลางปี 2010 แต่หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถัง ดูแล้วถ้าไม่บอกก็คงนึกไม่ออกว่ารถ 2 แบบนี้เกี่ยวข้องกันยังไง ? ใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเบลวิเดียร์ (BELVIDERE) ในรัฐอิลลินอยส์เป็นที่ผลิต และมีเครื่องยนต์ให้ลูกค้าผู้ไม่รังเกียจรถลูกผสมเลือกใช้รวม 3 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 119 กิโลวัตต์/160 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เครื่องเทอร์โบเบนซิน SOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 1,368 ซีซี 119 กิโลวัตต์/160 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ และเครื่องเบนซิน SOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 2,360 ซีซี 138 กิโลวัตต์/184 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
รถที่ออกโชว์รูมไปแล้วเมื่อไตรมาสที่ 3 ดังที่กล่าวข้างต้น แบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 5 ระดับ กำกับด้วยรหัส SE SXT RALLYE LIMITED R/T และมีสีตัวถังให้เลือกถึง 12 สี คือ สีแดง REDLINE RED PEARL สีส้ม HEADER ORANGE สีเหลือง CITRUS PEEL PEARL สีฟ้า LAGUNA BLUE สีน้ำเงิน BLUE STREAK PEARL สีน้ำเงิน TRUE BLUE PEARL สีดำ PITCH BLACK สีเทาเข้ม TUNGSTEN METALLIC สีเทาเข้ม MAXIMUM STEEL METALLIC สีเงิน BRIGHT SILVER METALLIC สีฟ้า WINTER CHILL และ สีขาว BRIGHT WHITE
สนนราคาค่าตัว MSRP และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามตัวเลขของผู้ผลิต รถโมเดลพื้นฐาน คือ DODGE DART SE ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ 1,995 ซีซี 119 กิโลวัตต์/160 แรงม้า และใช้เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 15,995 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 512,000 บาทไทย มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 10.6 กม./ลิตร เมื่อขับในเมือง 15.3 กม./ลิตร เมื่อขับบนทางหลวง และมีค่าเฉลี่ย 12.3 กม./ลิตร ส่วนรถโมเดลหัวกะทิ คือ DODGE DART R/T ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ 2,360 ซีซี 138 กิโลวัตต์/184 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ และผู้ผลิตประกาศสรรพคุณผ่านหน้าจอเวบไซท์ว่าเป็น THE MOST TECHNOLOGICALLY ADVANCED COMPACT IN ITS CLASS หรือ "รถขนาดเล็กๆ กะทัดรัดที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยที่สุดเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกันทุกรุ่นทุกแบบ" นั้น สนนราคาค่าตัว MSRP เริ่มต้นที่ 22,495 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 720,000 บาทไทย
รถญี่ปุ่นเวอร์ชันยุโรป
HONDA CIVIC
ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนที่ข้าราชการบุญหนักศักดิ์ใหญ่หลายสิบหลายร้อยคนกำลังจะกลายสภาพเป็นคนตกงาน และข้าราชการบุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้แบคดีอีกหลายคนกำลังจะฟูเฟื่อง ด้วยรถขนาดเล็กกะทัดรัดสายพันธุ์ญี่ปุ่น ซึ่งเอ่ยชื่อขึ้นที่ไหน ? ใครๆ ก็ต้องร้องอ๋อ !
เป็นรถ ฮอนดา ซีวิค (HONDA CIVIC) รุ่นที่ 9 และเป็นเวอร์ชันที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดยุโรป ไม่มีขายในตลาดอื่นๆ เป็นรถตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค 5 ที่นั่ง ซึ่งหน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังไปกันคนละคุ้งละแควเลย กับรถชื่อเดียวกันที่ขายอยู่ในตลาดอเมริกาเหนือ และมีเฉพาะตัวถัง 4 ประตูซีดาน กับตัวถัง 2 ประตูคูเป ไม่มีตัวถังแฮทช์แบค ส่วนในญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะขณะนี้ไม่มีรถใหม่ติดป้ายชื่อ ฮอนดา ซีวิค อยู่ในโชว์รูมแล้ว
ความสำเร็จของรถรุ่นที่ 8 ซึ่งเริ่มจำหน่ายในตลาดยุโรปเมื่อปี 2006 ทำให้ทีมงานออกแบบรถรุ่นใหม่นี้เกิดอาการกล้าๆ กลัวๆ และจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้รถอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ ผลลัพธ์ คือ การออกแบบในลักษณะที่ค่อนข้างจะอนุรักษนิยม หน้าตารูปทรงองค์เอวและขนาดตัวถังก็เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย คือ ถือคติว่า อะไรที่มันดีอยู่แล้ว ก็อย่าไปแตะ
ฮอนดา ซีวิค รุ่นที่ 9 ในตัวถังแฮทช์แบค ยาว 4.300 ม. กว้าง 1.770 ม. สูง 1.590 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 0.27 ปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนกันยายนปีกระต่าย และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น คือ เมื่อไตรมาสแรกของปีงูใหญ่นี่เอง ก็ออกโชว์รูมในหลายประเทศของทวีปยุโรป เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิม รถรุ่นใหม่นี้ไม่ได้ผลิตในญี่ปุ่น แต่เป็นรถผลิตในยุโรป โดยโรงงานของค่ายนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองสวินดอน (SWINDON) ในภาคใต้ของเกาะอังกฤษ
ในตลาดเมืองผู้ดี ฮอนดา ซีวิค แบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 6 ระดับ กำกับด้วยรหัส SE SET ES EST EX และ EX GT มีสีตัวถังให้เลือกใช้รวม 9 สี คือ สีแดง MILANO RED สีเหลือง YELLOW TOPAZ สีดำ CRYSTAL BLACK สีน้ำเงิน ROYAL SAPPHIRE BLUE สีเงิน ALABASTER SILVER สีขาว WHITE ORCHID สีเทา POLISHED METAL สีน้ำตาล URBAN TITANIUM สีเขียว WOODLAND GREEN และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 3 ขนาด
เครื่องเบนซินซึ่งมีอยู่ 2 ขนาด ประกอบด้วย เครื่อง SOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 1,339 ซีซี 73 กิโลวัตต์/100 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเครื่อง SOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 1,798 ซีซี 104 กิโลวัตต์/142 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ส่วนเครื่องดีเซลซึ่งมีขนาดเดียว เป็นเครื่องเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 2,199 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
ตามตัวเลขของยักษ์รองเมืองยุ่น ซึ่งขายรถในบ้านได้น้อยกว่าขายรถนอกบ้าน รถโมเดลพื้นฐาน คือ HONDA CIVIC SE 1.4 ซึ่งติดตั้งเครื่องเบนซิน 1,339 ซีซี 73 กิโลวัตต์/100 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และติดป้ายค่าตัว 16,955 ปอนด์อังกฤษ หรือประมาณ 848,000 บาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 13.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 187 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.4 ลิตร/100 กม.หรือ 18.5 กม./ลิตร และมีอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 129 กรัม/กม. ส่วนรถโมเดลหัวกะทิ คือ HONDA CIVIC EX GT 2.2 ซึ่งติดตั้งเครื่องดีเซล 2,199 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อหน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และติดป้ายค่าตัว 26,850 ปอนด์อังกฤษ หรือประมาณ 1,343,000 บาทไทย ตัวเลขจะเปลี่ยนเป็น 8.5 วินาที 217 กม./ชม. 4.2 ลิตร/100 กม. หรือ 23.8 กม./ลิตร และ 110 กรัม/กม. (ค่าตัวที่ระบุข้างต้น เป็นราคาอย่างที่เรียกกันในเมืองผู้ดีว่า ON THE ROAD PRICE คือ เป็นราคาของรถที่พร้อมจะวิ่งออกสู่ถนน ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าจดทะเบียนรถไว้แล้ว
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่