ถึงผมจะเป็นคนเลี้ยงสุนัข แต่ก็เข้าใจพวกที่ชอบเลี้ยง เฟอร์บี และจะไม่เที่ยวไปบอกเขาหรอกครับว่า เลี้ยงสุนัข แมว หรือกระต่าย ซึ่งมีชีวิตจิตใจจริงๆ ดีกว่าเลี้ยงสัตว์อีเลคทรอนิคส์อย่าง เฟอร์บีผมเข้าใจว่า แต่ละคนมีความชอบและเงื่อนไขชีวิตแตกต่างกัน การเลี้ยงสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเลี้ยงลูก หรือเลี้ยงหมา ต้องการเวลา และความรับผิดชอบสูงมาก เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ค่อยมีเวลา และไม่อยากดูแลใครไปตลอดชีวิต ก็ไม่ผิดที่จะหันไปเลี้ยง เฟอร์บี แก้เหงา ผมเอง บางอารมณ์ยังอยากชูทคุณป้าหน้าขน ที่จู้จี้ขี้บ่น (หมายถึงสุนัขนะครับ) ออกไปนอกบ้าน แล้วรับคุณหนูหูกางกินถ่าน AA เป็นอาหารมาอุปการะแทนเลยครับ เพราะอย่างน้อยผมก็สามารถเรียนรู้ภาษาเฟอร์บีชเพื่อสื่อสารกับมันได้บ้าง ส่วนหมานั้น เลี้ยงมา 10 ปี ยังพูดภาษาหมาไม่ได้สักคำ ! เฟอร์บี เป็นของเล่นที่กำลังฮิทมากในบ้านเรา จนมีคนถูกหลอกขายทางอินเตอร์เนทมากมาย แต่เด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า เฟอร์บี ถือกำเนิดในโลกนี้มาตั้ง 15 ปีแล้ว และเจเนอเรชัน แรกก็ขายดิบขายดีภายใน 3 ปี ขายไปถึง 40 ล้านตัวเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม กระแส เฟอร์บี ยุคแรกส่งมาไม่ถึงบ้านเรา เนื่องจาก ยังไม่มีอินเตอร์เนท และเฟศบุค ช่วงนั้นคนไทยเห่อ "ทามากอทจิ" สัตว์เลี้ยงอีเลคทรอนิคส์จากญี่ปุ่นมากกว่า โดยเฉพาะเด็กๆ ต้องมีติดกระเป๋าคนละตัวสองตัว (ส่วนมากเป็นของปลอมจากจีนที่ราคาย่อมเยา และหาซื้อง่าย) ที่น่าสนใจ คือ ทามากอทจิ กลับมาฮิทอีกแล้ว และทำท่าจะเป็นคู่แข่งสำคัญของ เฟอร์บี ในปีนี้ เฟอร์บี เจเนอเรชันแรกตกรุ่นไปในปี 2000 หลังจากนั้น 4-5 ปีแฮสบโร (HASBRO) ปล่อย เฟอร์บี รุ่นใหม่ออกมา แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม กระทั่งปีที่แล้ว จึงผลิตเจเนอเรชันล่าสุด และกลายเป็นขวัญใจของทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ โดยเฉพาะสาวๆ ไปในทันที ความน่ารักน่าชังของมันอยู่ที่ความสามารถหลากหลาย คล้ายว่ามีชีวิตจิตใจจริงๆ เช่น ขยับหู ขยับปาก พูด หัวเราะ แสดงอารมณ์ทางลูกตา ซึ่งเป็นจอแอลซีดี ฯลฯ นอกจากนี้ เรายังเล่นกับมันด้วยสมาร์ทโฟนได้ โดยผ่านแอพพลิเคชัน สรุปแล้ว เจ้า เฟอร์บี แสนฉลาด และเลี้ยงง่ายไร้รอยต่อจริงๆ ผมยังไม่มี เฟอร์บี แต่ก็อยากซื้อมาลองเลี้ยงดูสักตัว ไม่รู้ว่าหลังวันที่ 3 มีนาคม จะยังฮิทอยู่หรือเปล่า ขออภัย "ฟอร์มูลา" เดือนมีนาคม 2556 คอลัมน์ ข่าวรอบโลก หน้า 70, 71 และ 72 พื้นที่ข่าวรถใหม่ เนื้อข่าวไม่ตรงกับภาพประกอบ ดังนั้นจึงขอนำข่าวในฉบับดังกล่าวที่ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วมาลงตีพิมพ์อีกครั้งในฉบับนี้ ที่หน้า65, 67 และ 69 และขออภัยอย่างสูงมา ณ ที่นี้