ด้วยวิสัยทัศน์ของ Carlos Ghosn ที่มุ่งมั่นในการผลิตรถไฟฟ้ามานาน หลังจากรถไฟฟ้าเจเนอเรชันแรก อย่าง Nissan Leaf และ Renault Zoe ออกสู่ตลาดมาเป็นยี่ห้อแรกๆ ของโลกจากการที่ออกจำหน่ายมายาวนาน ทำให้สามารถเก็บข้อมูลและทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ใช้รถไฟฟ้า ทำให้ Ghosn มีความเชื่อมั่นว่า ยังคงเป็นผู้ที่นำหน้าอยู่ในวงการนี้ พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ไว้ด้วยว่า ทั้ง Nissan, Renault และ Mitsubishi จะผสานความร่วมมือ และเทคโนโลยีในการผลิตรถไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะส่งรถไฟฟ้าสู่ตลาดอีก 12 รุ่น ภายใน 6 ปีข้างหน้า เขาเชื่อว่า จนถึงปี 2565 ยอดการขายรถยนต์ในเครือราว 9 ล้านคัน จะมาจากรถไฟฟ้า ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน 4 แบบ “เราบอกได้เลยว่า โครงสร้างพื้นฐาน 1 ชนิด, ชุดแบทเตอรี 1 ชุด และมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด” เขากล่าว โดยรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ในเครือ จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Nissan, Renault และ Mitsubishi ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ที่สามารถประเมินได้ว่า จะสามารถทำกำไรได้แน่นอน แม้ว่าการพัฒนารถไฟฟ้ารุ่นแรกๆ จะทำให้ต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล แต่นักวิเคราะห์ก็ระบุว่า ยิ่งเทคโนโลยีในการผลิตชุดแบทเตอรีถูกลงมากเท่าใด จะทำให้ราคาต่อหน่วยของรถ สามารถเทียบได้กับราคาต่อหน่วยของรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงสันดาปภายใน ในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า แผนงานของกลุ่มในอนาคต เพื่อการผลิตรถไฟฟ้า ในราคาที่ผู้บริโภคจับต้องได้ ผลิตเฉพาะเพื่อประเทศจีน ซึ่งค่าย Renault มีพื้นฐานในการผลิตรุ่น Kwid ออกจำหน่ายอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน Kwid ก็จะสามารถผลิตได้ในบราซิล และอินเดีย อันจะจำหน่ายได้ในราคาถูกเพียงคันละ 8,000 เหรียญสหรัฐฯ ราว 280,000 บาท ส่วนค่าย Mitsubishi ก็ตั้งเป้าไปในทิศทางของรถไฟฟ้าเอสยูวีทรงพลัง อย่างที่นำออกแสดงในมหกรรมยานยนต์หนก่อน เมื่อรวมยอดจำหน่ายรถที่ต้องเสียบปลั๊กชนิดต่างๆ ของค่าย ทั้ง Nissan, Renault และ Mitsubishi จะมียอดมากกว่าผู้ผลิตรายอื่นในตลาด ด้วยยอดขายของ Leaf มากกว่า 300,000 คัน, Outlander PHEV 100,000 คัน และ Zoe 100,000 คัน Ghosn เชื่อว่า นี่ยังเพิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของค่ายรถยนต์ในกลุ่มเท่านั้น