รถล่าสุด
Ford เผยโฉม “Ranger Raptor” ครั้งแรกของโลก
https://youtu.be/xsOD--hfjJw
Ford แนะนำ “Ranger Raptor” อัดแน่นด้วย DNA ของ Ford Performance สะท้อนนิยาม “เกิดมาแกร่ง” ครั้งแรกของโลก ในประเทศไทย
Ranger Raptor ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับรถกระบะพันธุ์แกร่ง ผสมผสาน DNA ของ Ford Performance เข้ากับความแข็งแกร่งด้านยนตรกรรมของ Ford RangerRanger Raptor ใช้ชอคอับคู่ด้านหน้าและหลังของ Fox Racing Shox เพื่อซับแรงกระแทกเมื่อขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง อีกทั้งช่วงล่างที่ถูกยกสูงขึ้นและระยะช่วงล้อที่กว้างขึ้น มุมไต่และมุมจากเพิ่มขึ้น จึงช่วยเรื่องการทรงตัว ทำให้ขับขี่ขั้นสุดได้อย่างมั่นใจ
ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่ รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ และสปริงคอยล์โอเวอร์ชอค ทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง ช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น
การผสานการทำงานของขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ผ่านการทดสอบที่ยาวนาน ให้แรงบิดและแรงม้าที่เต็มประสิทธิภาพ และอัตราทดเกียร์ที่แคบลง
Ranger Raptor ผ่านการทดสอบมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมสุดหฤโหดรูปแบบต่างๆ
Ranger Raptor ผ่านขั้นตอนการออกแบบ ผลิต และทดสอบจากทีม Ford Performance เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถกระบะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ฟอร์ด ในการสร้างรถกระบะสายพันธุ์ “เกิดมาแกร่ง”
จามัล ฮามีดิ หัวหน้าทีมวิศวกร Ford Performance
การออกแบบที่ดุดัน
Ranger Raptor โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน ที่เน้นฟังค์ชันการใช้งานเป็นหลัก
เมื่อมองจากด้านหน้า กระจังหน้าใหม่อันสะดุดตาได้รับแรงบันดาลใจมาจาก F-150 Raptor ซึ่งเป็นรถกระบะสมรรถนะสูงคันแรกของโลกจากโรงงาน โลโก Ford สะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษอันเป็นเอกลักษณ์จัดวางอยู่บนกระจังหน้า ชุดกันชนด้านหน้าซึ่งติดกับเฟรมรถได้รับการออกแบบให้มีความทนทานสำหรับการขับขี่ในทะเลทราย แผงกันชนด้านหน้ายังมาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED พร้อมช่องรีดอากาศ ที่ช่วยลดการต้านลม
แก้มข้างรถคู่หน้าแบบใหม่ผลิตจากวัสดุคอมโพสิท ไม่เพียงแต่ดูแข็งแกร่ง แต่ยังทนต่อการบุบและรอยขีดข่วนที่มักจะเกิดจากการใช้งานลุย อีกทั้งแก้มคู่หน้าขยายโป่งออกไปด้านละ 75 มม. เพื่อรองรับระยะยุบตัวของชอคอับที่เพิ่มมากขึ้น และยางขนาดใหญ่
Ranger Raptor มีสีภายนอกให้เลือกหลากหลาย สีฟ้าไลท์นิง บลู (Lightning Blue) สีแดงเรศ เรด (Race Red) สีดำชาโดว์ บแลค (Shadow Black) สีขาวโฟร์เซน ไวท์ (Frozen White) และสีพิเศษเฉพาะของ Ranger Raptor อย่าง สีเทาคองเคอร์ กเรย์ (Conquer Grey) ตัดกับสีเทาไดโน กเรย์ (Dyno Grey) เพื่อให้รถดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ตัวรถยังใหญ่กว่า Ranger ในทุกมิติ ความสูงถึง 1,873 มม. ความกว้าง 2,180 มม. และความยาว 5,398 มม. ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้น 150 มม. เป็น 1,710 มม. ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 283 มม. ขณะเดียวกัน ยังมาพร้อมมุมไต่ที่ 32.5 องศา มุมคร่อมที่ 24 องศา และมุมจากที่ 24 องศา
บันไดข้างรถของ Ranger Raptor ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง และรูที่ถูกเจาะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ระบายทราย โคลน และหิมะได้ โดยผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยเพื่อเพิ่มความคงทนโดยเฉพาะ ทั้งยังผ่านการทดสอบด้วยการกดน้ำหนัก 100 กก. ถึง 84,000 ครั้ง (เทียบเท่าการใช้งานในสนามทดสอบจริงกว่า 10 ปี) และทำการเคลือบถึง 2 ชั้น โดยทำการพ่นสี powder-coated ก่อนพ่น grit-paint ทับอีกชั้น เพื่อความแข็งแกร่ง ทนทานสูงต่อรอยขีดข่วนและรอยเปื้อนที่เกิดจากอากาศและสภาพแวดล้อม
บริเวณกันชนท้ายได้ผ่านการปรับปรุง เพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด ที่รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน นอกจากนี้ ส่วนท้ายรถยังได้รับการพัฒนาด้วยกรอบตัวเซนเซอร์ที่เรียบเสมอกับตัวถัง และตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ ส่วนท้ายกระบะมอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาด 1,560x1,743 มม.
ภายใน ผสานสีสันต่างๆ และการเลือกสรรวัสดุที่คงทนและเหมาะสมสำหรับการขับขี่แบบลุยและการใช้งานในชีวิตประจำวัน เบาะที่นั่งได้รับการออกแบบเป็นพิเศษจากทีม Ford Performance เพื่อรองรับการใช้งานการขับขี่แบบลุยในความเร็วสูง ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังมอบความสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง เลือกใช้หนังกลับเป็นวัสดุของเบาะนั้น ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารยึดเกาะที่นั่งได้ดียิ่งขึ้น
เบาะที่นั่งที่มีความหนาเป็นพิเศษ ช่วยการรองรับด้านข้างและยังช่วยลดความรู้สึกถึงการสะเทือนของรถ ซึ่งความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้าง โดยออกแบบให้เบาะมีการโอบด้านข้างมากขึ้นเพื่อช่วยในการประคองผู้ขับขี่
คอนโซลหน้าเดินด้ายสีน้ำเงินและการเลือกใช้วัสดุหนัง แผงหน้าปัดที่ดุดันแสดงฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบต่างๆ พวงมาลัยจาก Ford Performance มาพร้อมกับแป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแมกนีเซียมน้ำหนักเบาอันเป็น DNA ใหม่ของ Raptor ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างฉับไว เพิ่มความแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการ
DNA ของ Ford Performance มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ Ranger Raptor เป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงแถบแดงบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker ด้านบนของพวงมาลัย ช่วยให้นักขับทราบถึงตำแหน่งองศาของพวงมาลัยขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ ยังได้สลักลายโลโก Raptor ลงบนขอบพวงมาลัย อีกด้วย
แชสซีส์ ระบบเบรค และช่วงล่าง
แชสซีส์ของ Ranger Raptor ได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ลุยด้วยความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะ
ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่ รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ และสปริงคอยล์โอเวอร์ชอคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง จึงช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น
แชสซีส์ได้ถูกออกแบบมาใหม่เพื่อรองรับระบบช่วงล่างที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มระยะช่วงล้อคู่หน้าและหลัง และยังเพิ่มระยะการให้ตัวของล้อได้มากขึ้น แชสซีส์ผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ อีกทั้งยังเสริมความแข็งแรงด้านข้างของแชสซีส์ (side-rails) เพื่อรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
แชสซีส์ด้านหน้าได้มีการเพิ่มความแข็งแรงของจุดยึดหูชอคที่ถูกขยายความสูงขึ้นมา ในขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบคอยล์โอเวอร์ชอคซึ่งทำขึ้นมาพิเศษให้เฉพาะ Ranger Raptor เท่านั้น รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ ช่วยให้เพลาเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้อย่างอิสระโดยที่มีการขยับตัวในแนวราบน้อยมาก อีกทั้งยังมีชุดตะขอเกี่ยว 2 ชุดด้านหน้าและด้านหลังที่รองรับน้ำหนักจากการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน และโครงสร้างแท่นยึดยางอะไหล่ที่ถูกเสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับยางอะไหล่ขนาดใหญ่ถึง 17 นิ้ว
Ranger Raptor มาพร้อมกับระบบเบรคทรงพลังโดยการใช้ชิ้นส่วนพิเศษที่ทำขึ้นเฉพาะรุ่น คาลิพเพอร์เบรคคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ ที่เพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขึ้น 9.5 มม. มาพร้อมกับจานเบรคคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่ถึง 332x32 มม. ส่วนด้านหลังมาพร้อมกับจานเบรคที่มาพร้อมกับระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรคให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีจานเบรคแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332x24 มม. คู่กับคาลิเพอร์เบรคใหม่ขนาด 54 มม.
ดาเมียน รอส หัวหน้าทีมวิศวกร Ford Ranger Raptor และวิศวกรรมยานยนต์พิเศษของ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี กล่าว
“ทุกอย่างของ Ranger Raptor ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก Ranger ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะอันเหนือชั้นและความรู้สึกที่โดดเด่นเมื่อยามขับขี่ จากจุดเริ่มต้นที่เน้นการขับขี่ที่เร้าใจ Ranger Raptor จึงเป็นรถที่มีความพิเศษและเหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง”
ระบบช่วงล่างสายพันธุ์รถแข่งของ Ranger Raptor ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ที่ความเร็วสูงบนสภาพพื้นผิวขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้รับความสบายอย่างเต็มที่ ด้วยชอคอับแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่จะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้น และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบ เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล
ชอคอับผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มม. ทั้งคู่หน้าและหลัง ช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูงเพื่อความสามารถในการซับแรงกระแทกขณะขับลุย แต่ด้วยระบบบายพาสส์ภายใน (Internal Bypass technology) จึงทำให้การขับขี่บนถนนทางเรียบเป็นไปอย่างราบรื่น
นอกจากนั้น Ranger Raptor ยังมีปีกนกที่ทำจากอลูมิเนียม โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แข็งแรงทนทานต่อการขับขี่ถึงขีดสุด
เอาชนะทุกเส้นทางหฤโหด
Ranger Raptor ถูกพัฒนามาเพื่อลุยทุกสภาพพื้นผิวอันสมบุกสมบันแบบต่างๆ จึงเลือกใช้ยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ Ranger Raptor โดยเฉพาะ เพื่อเสริมสมรรถนะการขับขี่ ยางมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 838 มม. กว้าง 285 มม. แก้มยางมีความแข็งแรงสูงซึ่งเหมาะในการลุยทุกสภาพพื้นผิว ด้วยดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ ผู้ขับขี่จึงสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวที่เปียกลื่น โคลน พื้นทราย และหิมะ
นอกจากนี้ Ranger Raptor ยังมาพร้อมกับแผงกันกระแทกด้านล่างอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทก ผลิตจากเหล็กกล้า (High-strength steel) ที่มีความหนา 2.3 มม. และมีความทนทานสูงตามมาตรฐานของ Ford Performance แผงกันชนหน้ามาพร้อมกับสีเงิน อีกทั้งยังมีชุดกันกระแทกด้านล่างที่ป้องกันเครื่องและระบบส่งกำลัง (transfer case) ทั้ง 3 ส่วนนี้ที่ช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหม้อน้ำ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Assisted Steering - EPAS) ชุดสายพานหน้าเครื่อง (Front End Accessory Drive - FEAD) คานล่างด้านหน้า (Front cross-member) อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองขับส่วนหน้า
พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว
Ranger Raptor มาพร้อมกับระบบ Terrain Management System (TMS) สำหรับโหมดการขับขี่ทั้งหมด 6 รูปแบบ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดจากปุ่มบนพวงมาลัย ซึ่งแต่ละโหมดได้รับการทดสอบและปรับแต่งอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เทคโนโลยีทั้งหมดทำงานประสานกันอย่างดีที่สุด ผู้ขับขี่จึงสามารถควบคุมรถได้ดั่งใจในแต่ละสภาพโหมดการขับขี่ อันประกอบด้วย
โหมดการขับขี่ทางเรียบ
โหมดปกติ เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน
โหมดสปอร์ท ตอบโจทย์ผู้ที่มีใจรักการขับขี่ทางเรียบ เน้นการเปลี่ยนเกียร์เร็วและฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง พร้อมทั้งค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นอย่างที่ผู้ขับขี่ต้องการ
โหมดการขับขี่ OFF ROAD
โหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ โดยระบบจะทำการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลขึ้นพร้อมทั้งออกตัวด้วยเกียร์ที่สอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ
โหมดโคลน/ทราย ระบบจะปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึกและสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง
โหมดหิน ใช้เมื่อขับขี่บนพื้นผิวในเขตภูเขาที่ลาดชัน ต้องใช้ความเร็วต่ำ และเน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ
โหมดบาฮา ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงเสมือนนักแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด ระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
ขุมพลังแห่งการขับเคลื่อน
ระบบส่งกำลังของ RANGER RAPTOR มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ที่ให้กำลังและแรงบิดที่เหนือกว่า ประหยัดน้ำมันมากขึ้น น้ำหนักน้อยลง รวมถึงการปรับประสานเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ เพลา พวงมาลัย เบรก และระบบควบคุมพวงมาลัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Steering Program) สำหรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ
นวัตกรรมครั้งสำคัญนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงสมรรถนะและการตอบสนองอันยอดเยี่ยมของเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ในเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่มอบพละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 51 กก.-ม. หรือ 500 นิวตันเมตร
ทีมวิศวกรของฟอร์ดได้ทำการทดสอบระบบส่งกำลังแบบใหม่อย่างเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจในความแข็งแกร่งและทนทาน
การทดสอบ เทอร์โมไซเคิล (Thermo cycle) นี้ เป็นการทำให้เทอร์โบทั้ง 2 ลูกร้อนจัด จนกลายเป็นสีแดงนาน 200 ชั่วโมงติดต่อกัน ด้วยลูกปืนเทอร์โบที่มีประสิทธิภาพและเทอร์โบแรงดันต่ำที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ จึงทำให้เครื่องยนต์สามารถทนต่ออุณหภูมิระดับสูงมากได้
ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างเทอร์โบแรงดันสูง (HP) ที่เชื่อมต่อกับเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) ที่มีขนาดใหญ่กว่า และถูกควบคุมด้วยวาล์วบายพาสที่ทำหน้าที่ควบคุมลำดับการทำงานของเทอร์โบทั้งสองลูกโดยขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องยนต์ เมื่อรอบเครื่องยนต์ต่ำ เทอร์โบทั้ง 2 ตัว จะทำงานตามลำดับเพื่อช่วยเพิ่มแรงบิดและการตอบสนอง เมื่อช่วงรอบเครื่องยนต์สูง อากาศจะไม่ไหลผ่านเทอร์โบแรงดันสูง ทำให้เทอร์โบแรงดันต่ำที่ใหญ่กว่าช่วยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น
เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ซึ่งมาจาก RAPTOR F-150 ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา เนื่องจากเกียร์มีทั้งหมด 10 จังหวะ ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น และทีมวิศวกรก็สามารถออกแบบระบบเกียร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เคย ทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย
ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์มาพร้อมกับอัลกอริทึมที่เรียนรู้รูปแบบการขับขี่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้มั่นใจว่ารถได้เลือกเกียร์ที่เหมาะสมที่สุด ระบบเกียร์อัตโนมัติลูกนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า ‘Live in Drive’ ที่สามารถให้ผู้ขับขี่ใช้แป้น Paddle Shift เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองได้ทุกเมื่อแม้กระทั้งอยู่ในเกียร์ D
เทคโนโลยีที่สะดวกสบายเพื่อการใช้งานจริง
RANGER RAPTOR มีเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อ ซิงค์ 3 (SYNCÒ 3) ซึ่งเป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ผนวกเข้าในรถคันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานอุปกรณ์โปรดได้แม้มือยังจับพวงมาลัยและตาจับจ้องอยู่ที่ถนน
นอกจากนี้ RANGER RAPTOR ได้รับการออกแบบมาพร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูงทั้งแบบแอคทีฟและพาสซีฟ รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ
นอกจากนี้ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) จะคอยช่วยเมื่อเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหันจนรถเริ่มเสียการทรงตัว ระบบนี้ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control)
กล้องมองหลังแสดงภาพบนจอแอลซีดีขนาด 8 นิ้ว ซึ่งทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง จึงช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกมั่นใจได้ไม่ว่าจะจอดรถในที่ใดก็ตาม
RANGER RAPTOR มาพร้อมกับระบบอำนวยความสะดวก ระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (EZ Lift Tailgate) ด้วยกลไกผ่อนแรง จะช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถล็อก ปลดล็อก และสตาร์ทรถได้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่ม ในกรณีที่แบตเตอรี่อ่อน กุญแจที่เป็นกลไกก็ยังสามารถใช้งานทดแทนได้
RANGER RAPTOR จะผลิตขึ้นที่โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม)
ABOUT THE AUTHOR
thanasan saowamol
ลุงหนึ่ง ฟอร์มูลา ศึกษาวิชาตำรารถมานานกว่า 30 ปี ผ่านร้อนหนาว ตั้งแต่ ยุคเครื่องยนต์ มาถึงยุคมอเตอร์ จะว่าเวอร์ ก็เจอมาหมด
ภาพโดย : fordคอลัมน์ Online : รถล่าสุด (บก. ออนไลน์)
คำค้นหา