Daimler ผู้ผลิตจากเยอรมนี ตั้งเป้าทำกำไรจากผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั่วโลก 9 % โดยเป้าหมายเฉพาะรถยนต์ Mercedes-Benz เพิ่มขึ้น 8-10 %, รถบรรทุก Daimler 8 %, รถแวน 9 % และรถบัส 6 %รายงานจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ที่กรุงเบร์ลิน Manfred Bischoff ประธานบอร์ดบริหาร Daimler AG กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2560 ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่เราก็สามารถทำสถิติทั้งยอดขาย รายรับ และผลกำไร ซึ่งทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์อีกครั้ง ท่ามกลางการค้นคว้า และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Daimler ที่จะต้องปรับตัวตามความต้องการของตลาด เพื่อมุ่งหวังในความสำเร็จอีกปีหนึ่ง” เขายังเสริมด้วยว่า เป้าหมายของบริษัทเพื่อการพัฒนายานยนต์ที่เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค ด้วยเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนที่ทันสมัย “เราวางแผนที่จะปรับปรุงภายในองค์กร เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนใหม่ๆ และเพื่อให้เป็นบริษัทรถยนต์ที่แข็งแกร่งต่อไปในอนาคต” ผลการดำเนินงานในปี 2560 Daimler สามารถสร้างสถิติใหม่ ทั้งด้วยยอดขาย ผลกำไร ผลกำไรจากบริษัทในกลุ่ม และผลกำไรสุทธิ โดยสามารถจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภท ราว 3.3 ล้านคัน รายรับ 164.3 พันล้านยูโร ราว 6,572 พันล้านบาท ผลกำไรจากการดำเนินงาน 14.7 พันล้านยูโร ราว 588 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมา และสามารถทำผลกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ 23.86 % สูงถึง 10.9 พันล้านยูโร ราว 436 พันล้านบาท จากเดิมที่ทำได้เพียง 8.8 พันล้านยูโร Daimler วางเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้เอาไว้ 5 กลุ่มหลัก เริ่มจาก ขยายประเภทของการดำเนินธุรกิจ, ผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งมี การเชื่อมต่อ, ยานยนต์ไร้คนขับ, การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างยานยนต์ และรถไฟฟ้า, พัฒนาวัฒนธรรมในองค์กร, ปรับปรุงโครงสร้างองค์กร และยึดเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
แนวทางการขยายประเภทของธุรกิจ Daimler จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงแนะนำผลิตภัณฑ์อีกนับ 10 รุ่นในปี 2561 ซึ่งจะเป็นในไตรมาสแรกของปี หลังจากที่แนะนำ Mercedes-Benz G-Class, A-Class และ AMG GT 4-Door Coupe ไปเรียบร้อยแล้ว โดย Dr. Dieter Zetsche ประธานบอร์ดบริหาร ให้คำมั่นว่า “ผลิตภัณฑ์ของเรา ต้องยอดเยี่ยมเสมอ”
เป้าหมายเรื่องที่ 2 ในการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับอนาคต Dr. Dieter Zetsche ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์ของเรามีแนวทางที่ชัดเจน เราพัฒนา ผลิตรถยนต์ และจำหน่ายรถยนต์ที่มีคุณภาพ เราจะยังคงกระทำเช่นนั้น แต่จะเพิ่มระบบการเชื่อมต่อ, ยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง และรถไฟฟ้า เข้าไปในรถหลายรุ่น เพื่อความพึงพอใจของผู้บริโภค”