รายงานข่าวจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ ในสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ China Association of Automobile Manufacturers ระบุว่า ยอดการขายรถยนต์ใหม่ ทุกประเภทภายในประเทศ สำหรับปี 2562 ที่ผ่านมา ลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่อ่อนแอ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา ที่ยังไม่สงบลงได้ จึงทำให้ความต้องการของผู้บริโภคลดลงรายงานยังระบุด้วยว่า ยอดการขายรถยนต์ใหม่ทุกประเภท ลดลง 8.2 % เหลือต่ำกว่า 25.8 ล้านคัน โดยเฉพาะรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์นั่ง และรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ลดลงถึง 9.6 % ต่ำกว่า 21.5 ล้านคัน ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ ทั้งรถบัส และรถบรรทุก ลดลง 1.1 % เหลือราว 4.3 ล้านคัน Shi Jianhua กรรมการอาวุโส สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ กล่าวว่า “เราได้ผ่านการพัฒนาอย่างรวดเร็วมาแล้ว และเติบโตมาแล้ว 28 ปีติดต่อกัน ซึ่งไม่เลวเลยทีเดียว แต่จำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน” การลดทอนเงินสนับสนุนของภาครัฐ สำหรับผู้ซื้อรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ทำให้ยอดขายรถไฟฟ้า ลดลงในช่วงที่เหลือของปี และลดลงเป็นครั้งแรก ในปี 2562 ทำให้ยอดขายรถไฟฟ้าพลังงานแบทเตอรี และไฮบริด-ไฟฟ้า ลดลง 4 % เหลือราว 1.2 ล้านคัน รถไฟฟ้าพลังงานแบทเตอรี ลดลง 1.2 % เหลือราว 972,000 คัน ขณะที่รถประเภทไฮบริด-ไฟฟ้า ลดถึง 15 % เหลือราว 232,000 คัน นักวิเคราะห์ยังระบุว่า สภาพเศรษฐกิจของจีน จะยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ ประเมินว่า ยอดการขายในปี 2563 นี้ จะยังคงลดลงอีกราว 2 % ค่ายรถยนต์ต่างพากันเตรียมตั้งรับกับสถานการณ์อย่างเมื่อปีที่แล้ว ด้วยการลดปริมาณการผลิต เริ่มมีการปิดโรงงานบางแห่ง รวมทั้งปลดพนักงานบ้างบางส่วน โดยค่ายใหญ่อย่าง Geely และ Ford ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับ Chongqing Changan Automobile ซึ่งคาดว่า การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จะทำให้ค่ายรถยนต์ที่ไม่พร้อมรับสถานการณ์ ต้องล้มหายตายจากไปหลายยี่ห้อ ขณะที่กลุ่ม Volkswagen ซึ่งในปีที่แล้ว ยอดขาย ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ช่วยให้ยอดขายโดยรวมลดลงเพียง 1.1 % นับเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 11 เดือน ยังให้ความเห็นว่า ตลาดโดยรวมของจีน จะค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ ต่อไปอีก 5 ปี