รายงานข่าวจากประเทศฝรั่งเศส ระบุว่า มีการเผยแผนงานของ Renault Group ที่จะดำเนินงานไปจนถึงปี 2573 ด้วยงาน Renault eWays ElectroPop เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนด้วยอีกทางหนึ่งแผนงานในอนาคตนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแนะนำรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ แต่หมายรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับรถรุ่นใหม่ๆ และโรงงานแห่งใหม่ ที่จะร่วมมือกันกับอีกหลายบริษัท ก่อสร้างขึ้นในฝรั่งเศส Renault ประกาศแผนการผลิตรถไฟฟ้า พลังงานแบทเตอรี อีก 10 รุ่น ภายในปี 2568 อาทิ Renault5, Renault 4ever และรถกระบะ ที่จะใช้โครงสร้างพื้นฐาน CMF-BEV ด้วยระยะเดินทาง 400 กม. มาตรฐาน WLTP โครงสร้างพื้นฐาน CMF-BEV เป็นการพัฒนาจากโครงสร้างพื้นฐาน CMF-B ที่ใช้ในการผลิตรถในระดับ บี-เซกเมนท์ ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถไฟฟ้าของกลุ่ม และจากการแบ่งปันชิ้นส่วน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการใช้งานชุดแบทเตอรีของรถในแต่ละรุ่น รวมทั้งระบบขับเคลื่อนที่ใช้กำลังไฟฟ้าเพียง 100 กิโลวัตต์ จะทำให้ Renault5 มีราคาถูกกว่า Zoe ถึง 33 % เป็นเครื่องจูงใจผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น Renault Zoe ปัจจุบัน ราคาเริ่มต้นคันละ 32,500 ยูโร หรือประมาณ 1,300,000 บาท เมื่อรวมเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน จะลดลงเหลือคันละ 23,000 ยูโร หรือประมาณ 920,000 บาท แต่สำหรับ Renault5 ราคาจะถูกลงมากกว่า คันละ 10,000 ยูโร หรือลดลงประมาณ 400,000 บาท สำหรับ ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี พลังไฟฟ้า MeganE กำหนดแนะนำในปี 2565 รวมทั้ง เอสยูวี ขนาดใหญ่ ที่ยังไม่ได้ประกาศชื่อ ทั้ง 2 รุ่นจะใช้โครงสร้างพื้นฐาน CMF-EV ที่พัฒนาโดย Renault Group ด้วยระยะเดินทาง 580 กม. ตามมาตรฐาน WLTP รถทั้ง 2 รุ่น จะมีห้องโดยสารกว้างขวาง, จุดศูนย์ถ่วงต่ำ, การกระจายน้ำหนักที่เหมาะสม, อัตราทดของพวงมาลัยกระชับ และช่วงล่างหลังเป็นแบบอิสระมัลทิลิงค์ โดยโครงสร้างพื้นฐาน CMF-EV นี้ จะถูกนำไปใช้กับรถในกลุ่ม ตั้งเป้าการผลิตโดยรวมทั้งหมด 700,000 คัน ภายในปี 2568 ภายในปี 2568 เช่นกัน รถยนต์ Renault มากกว่า 65 % จะเป็นรถไฟฟ้า หรือระบบไฮบริด จากนั้นภายในปี 2573 จะเป็นรถไฟฟ้า ถึง 90 % สำหรับ Brand Alpine ของบรรดาขาซิ่ง จะมีรถไฟฟ้า 3 รุ่น 3 รูปแบบ ได้แก่ สปอร์ท, แฮทช์แบค และ กแรนด์ ทัวเรอร์ นอกเหนือจากเรื่องของรถรุ่นใหม่ ยังมีการนำเสนอ “Renault ElectriCity” ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ด้วยระบบ อีโคซิสเตม ขณะที่โรงงาน 3 แห่ง Douai, Maubeuge, and Ruitz จะขยายกำลังการผลิตรถไฟฟ้ารวม 400,000 คัน ภายในปี 2568 Renault จะผลิตระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่โรงงานใน Normandy ส่วนชุดแบทเตอรี ผลิตโดย Envision AESC's Gigafactory เริ่มจากปี 2567 โดยบริษัทน้องใหม่ Verkor จะเป็นผู้พัฒนาชุดแบทเตอรีความจุสูง ภายในปี 2573 ชุดแบทเตอรี NMC (Nickel, Manganese & Cobalt) จะผลิต 1 ล้านชุด เพื่อรถไฟฟ้าในกลุ่ม โดย Renault ต้องการให้ค่าใช้จ่ายโดยรวม ลดลง 60 % ภายในระยะเวลา 10 ปี ด้วยเป้าหมายราคา 100 เหรียญสหรัฐฯ/กิโลวัตต์ชั่วโมง และหากเป็นชุดแบทเตอรี Solid-State ตั้งเป้าให้ราคาเหลือต่ำกว่า 80 เหรียญสหรัฐฯ/กิโลวัตต์ชั่วโมง
บทความแนะนำ