ธุรกิจ
Mercedes-Benz รุดตลาดลักชัวรีเต็มสตรีม
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สัมภาษณ์พิเศษ Head of Region Overseas Mercedes-Benz Cars และประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด และร่วมงานพิธีส่งมอบตำแหน่งประ ธานบริหาร (CEO Handover) บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
Matthias Luehrs-Head of Region Overseas Mercedes-Benz Cars เปิดเผยว่า ยอดขายของรถยนต์ Mercedes-Benz เติบโตอย่างมากโดยเฉพาะในตลาด Oversea โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 21 % โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยยอดขายรุ่น Top-End (Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach, G-Class, S-Class, GLS, EQS) เพิ่มขึ้น 8 % จากไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ยอดขายรุ่น Core Luxury เพิ่มขึ้น 36 % ยอดขายของ C-Class ยังคงแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้น 55 % ส่วนรุ่น E-Class เพิ่มขึ้น 25 % แต่อย่างไรก็ตาม ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทาย ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะประสบปัญหาการขาดแคลนเซมิคอน ดัคเตอร์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมองเห็นความต้องการรถยนต์ Mercedes-Benz ที่แข็งแกร่ง และได้รับเสียงตอบรับที่ดี โดยเฉพาะ Region Oversea
ทั้งนี้ การทำตลาดของ Mercedes-Benz ในภูมิาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย และเวียดนาม จะไม่ใช่ Modern Luxury เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่จะเน้นไปที่ความเป็นลักชัวรีอย่างแท้จริง (Pure Luxury) โดยจะเน้นไปที่เรื่องของการบริการ ทุกองค์ประกอบของดีเลอร์ ซึ่ง Mercedes-Benz ให้ความสำคัญกับตลาดเมืองไทยมาก เพราะในส่วนของรถที่ผลิตในเมืองไทย เรามีรถทั้งแบบ Plug-In Hybrid และยานยนต์ไฟฟ้า มันจึงเป็นส่วนประ กอบที่ลงตัวระหว่างการเป็นทั้ง Luxury และ Electric ตามพันธกิจของบริษัทเรา
สำหรับในเรื่องของราคานั้น Mercedes-Benz จะไม่มีการแข่งขันกันที่เรื่องของราคา โดยอาจจะเพราะเป็นเหตุประจวบเหมาะกับการประสบปัญหาด้านการขาดแคลนของเซมิคอนดัคเตอร์ ทำให้รถยนต์ของเราขาดตลาดเช่นกัน จะเห็นได้ว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมาส่วนลดต่างๆ จาก Mercedes-Benz น้อยลงไปมา เพราะความต้องการรถของลูกค้าสูงอย่างต่อเนื่อง เทียบให้เห็นชัดๆ กับลักชัวรีแบรนด์อื่นๆ ที่จะไม่แข่งกันที่ราคา แต่เราวัดกันที่ความพอใจกับตัวสินค้า และราคา และความรู้สึกเมื่อได้สัมผัส และเป็นเจ้าของมากกว่า
ส่วนทิศทางของตลาดรถหรู Mercedes-Benz มองตลาดลักชัวรีออกเป็น 2 พาร์ท คือ ผลิตภัณฑ์ และการให้บริการ แน่นอนว่าเรามีสินค้าที่ลักชัวรีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราต้องการเน้นย้ำ คือ การให้บริการ และการเข้าถึงลูกค้า ที่จะรองรับความต้องการ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี จะเห็นได้ว่าเมืองไทยเรามี Maybach Lounge อย่างน้อย 4 ที่ในเมืองไทย ในขณะที่ต่างประเทศก็มี S-Class Lounge ประเทศไทยนั้นมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเรื่องการบริการที่ยอดเยี่ยม และความใส่ใจในรายละเอียดเรื่องการบริการลูกค้า พูดได้ว่ามีเพียงไม่กี่แห่งในโลกเท่านั้นที่คุณจะได้เห็นแนวคิดเรื่องการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางไม่ได้เป็นแค่แนวคิด แต่ถูกนำมาใช้จริง ที่สำคัญที่สุดเลย คือ เรื่องของ ดิจิทอล การขายในช่องทางดิจิทอลนั้นมีบทบาทมาก และการขายในช่องทางดิจิทอลให้มีความลักชัวรีด้วยนั้น ลูกค้าจะต้องได้รับบริการผ่านช่องทางดิจิทอลแบบไร้รอยต่อที่สุด โดยเราได้เริ่มช่องทางดิจิทอล และออนไลน์อย่างจริงจังมาประมาน 3-4 เดือนแล้ว และจะโฟคัสมาที่การตลาดนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักของ Mercedes-Benz คือ ความเป็นลักชัวรี ทั้งในเรื่องของการให้บริการ และเพื่อจะตอบสนองลูกค้าให้ได้ดีที่สุด ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และความเป็นดิจิทอล ซึ่งทั้งหมดนี้ที่จะทำให้แบรนด์ของเราเป็นแบรนด์ที่เป็นที่ต้องการของลูกค้า ซึ่งในอนาคต Mercedes-Benz จะมีการนำโมเดลธุรกิจใหม่ที่ชื่อว่า "Retail of The Future" ไปใช้ในประเทศที่เปิดโอกาสทางกฏหมายอย่างแน่นอน ซึ่งโมเดลนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ส่งผลดีต่อดีเลอร์ และแบรนด์ Mercedes-Benz โดยได้เริ่มต้นใช้แล้วที่แอฟริกาใต้ สวีเดน ออสเตรเลีย และอินเดีย ซึ่งเรามีผู้เชี่ยวชาญ คือ มาร์ติน ชเวงค์ ที่เป็นผู้นำโม เดล "Retail of The Future" ไปใช้อย่างประสบความสำเร็จในอินเดีย ช่วยกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรม อินเดียนับว่าเป็นประเทศที่ 4 ที่ Mercedes-Benz นำโมเดล Retail of the Future ไปใช้อย่างประสบความสำเร็จ
ด้าน Roland Folger-President and CEO, Mercedes-Benz (Thailand) Ltd. กล่าวว่า ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งให้มาบริหารที่ประเทศไทยนั้น ตลาดลักชัวรีมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโต เห็นได้ว่ามีผู้บริโภคที่หันมาบริโภคสินค้าลักชัวรีเพิ่มขึ้นมาก ในช่วงเวลาที่ผมทำงานอยู่ในตำแหน่งนี้ ผมได้เห็นการเติบโต และศักยภาพที่โดดเด่นของตลาดประเทศไทย และแน่นอนว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง เพราะผู้บริโภคคาดหวังผลลัพธ์จากการบริโภคสินค้าลักชัวรี โดยเฉพาะในเรื่องของบริการ ที่ต้องมั่นใจได้ว่าแบรนด์จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ นั่นจึงเป็นหัวใจหลักว่า ทำไมเราจึงมองว่าตลาดไทยเป็นตลาดสำคัญ
นอกจากนี้เครือข่ายของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยยังแข็งแกร่ง และมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างสูง พรั่งพร้อมด้วยโชว์รูมที่ครบเครื่อง และทันสมัย ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของเราจึงเหมาะสมที่สุดที่จะดูแลลูกค้าคนสำคัญ
รวมถึงความคืบหน้าเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน EV ในประเทศไทย โดยขณะนี้ Mercedes-Benz ขยายสถานีชาร์จไปแล้วกว่า 150 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่โรงแรม โรงพยาบาล และสนามกอล์ฟ นอกจากนี้เรายังได้หารือกับภาครัฐ ว่านอกจากเรื่องสถานีชาร์จในบริเวณพื้นที่ต่างๆ จะสำคัญและเป็นประโยชน์แล้ว แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ คือ จะชาร์จไฟที่บ้าน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้เป็นแนวปฏิบัติของการสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ที่ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเมนท์ หรือคอนโดมิเนียม ควรที่จะมีสถานีชาร์จอยู่ในอาคารด้วยเพราะตอบสนอง และรองรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้รถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น นี่คือ สิ่งที่เราได้หารือกับภาครัฐ และเชื่อว่าหลายๆ องค์กรก็เชื่อมั่นในแนวทางปฏิบัตินี้เช่นกัน เพราะปัจจุบันสถานการณ์สถานีชาร์จ กับการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นเปรียบเสมือนไก่กับไข่ ที่ผู้บริโภคก็รอสถานีชาร์จสร้างให้ครอบคลุมพื้นที่ จึงจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ในขณะผู้สร้างสถานีชาร์จก็รอจำนวนของผู้บริโภคยานยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นก่อนเริ่มติดตั้งสถานี จึงเป็นสิ่งที่เรามองว่าต้องข้ามจุดนี้ไปให้ได้
สำหรับการทำงานในประเทศไทย สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือ กิจกรรม และโครงการมากมายที่ Mercedes-Benz ประเทศไทยได้ทุ่มเททำเพื่อลูกค้า ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และเพื่อนสื่อมวลชนของเรา โดยเฉพาะพโรเจคท์ที่ได้เป็นตัวแทนของบริษัทที่ได้ประกาศทิศทางของ Mercedes-Benz AG ที่มีพันธกิจว่าจะก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2039 ซึ่งในประเทศไทยตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนไว้ในปี 2050 จึงเป็นความภูมิใจที่การที่ Mercedes-Benz มีความมุ่งมั่น และมีเป้าหมายเดียวกันกับรัฐบาล พร้อมกับได้จับมือร่วมมือกันทำให้โลก และประเทศไทยน่าอยู่ขึ้น นอกจากนี้การที่ได้มีส่วนในพโรเจคท์ และการเคลื่อนไหว Charge-to-Change เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่ก้าวล้ำนำทเรนด์ รณรงค์ให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น หันมาชาร์จไฟฟ้าโดยไม่จำกัดว่าจะเป็นรถยี่ห้อใด
นอกจากนี้ ความภูมิใจต่อมา คือ การที่เราได้ผ่านช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัส COVID-19 ซึ่งเป็นเรื่องยากกับผู้บริหารที่จะประคับประคองบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ทำให้บริษัท พนักงาน และตัว โรลันด์ เอง ได้เรียนรู้รูปแบบการทำงานแบบใหม่ๆ และทำให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
Martin Schwenk-Managing Director/CEO, India Pvt Ltd. ที่จะมารับหน้าที่ต่อจาก Roland Folger ถือว่าได้สร้างผลงานไว้อย่างมากในอินเดีย ซึ่งปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มียอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากกว่า 3 ล้านคัน/ปี อย่างไรก็ตาม กลุ่มรถยนต์ระดับลักชัวรีนั้นมีสัดส่วนน้อยกว่า 1 % ของทั้งอุตสาหกรรม โดยมียอดขายไม่ถึง 30,000 คันในปี 2021 สถานการณ์แพร่ระบาดส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจของ Mercedes-Benz อินเดีย และผู้คนในประเทศ เหมือนกับทุกประเทศในโลก อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดเป็นผลลัพธ์ของความยืดหยุ่น ความอดทน และความมุ่งมั่นของผู้คน และพนักงานของเรา ในปี 2022 Mercedes-Benz อินเดีย เตรียมพร้อมรับยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แซงหน้ายอดขายที่ดีที่สุดที่เคยทำไว้ในปี 2018
โดยคาดว่า หลังจากรับตำแหน่งในประเทศไทยจะนำโมเดล Retail of The Future ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว นำมาปรับใช้ในประเทศไทย
พร้อมกันนี้ Mercedes-Benz ยังได้จัดงานส่งมอบตำแหน่งประธานบริหาร (CEO Handover) บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/430334