ระเบียงรถใหม่
Audi Q8 e-tron รุ่นปรับโฉม 2023 รถไฟฟ้าเรือธงของค่าย
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า Audi Q8 e-tron Facelift 2023 ที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถ Flagship ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากค่าย Audi
Audi Q8 เป็นรถ Mid-Size Luxury Crossover SUV Coupe เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 รุ่น Facelift นี้จึงปรับชื่อใหม่ มาพร้อมกับรหัส Q8 e-tron ที่แสดงให้เห็นว่าตัวรถจะเป็นรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า โดยจะมีให้เลือกใช้งาน 2 รูปแบบ คือ รุ่นมาตรฐาน และรุ่น Sportback คูเปที่ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น
Audi Q8 e-tron รุ่นปรับโฉมได้รับแนวทางการออกแบบใหม่ของค่าย ที่มีความคล้ายคลึงกับรุ่นน้องอย่าง Q4 e-tron เสริมความโดดเด่นด้วยไฟหน้าอัจฉริยะ Digital Matrix LED ใหม่ กระจังหน้าซิงเกิลเฟรมใหม่ ที่มีความกว้างมากขึ้น พร้อมปรับในส่วนของเส้นกรอบกระจังใหม่ให้ยื่นเข้าไปที่ใต้ไฟหน้า มีช่องดักอากาศด้านข้างใต้ไฟหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการออกแบบดิฟฟิวเซอร์ที่กันชนหลังใหม่
ในรุ่น Q8 Sportback e-tron ได้ทำการออกแบบชิ้นส่วนบริเวณด้านล่างของกันชนหน้า และกันชนหลังเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับลุคสปอร์ท
Audi Q8 e-tron ใหม่ ยังมีแอโรไดนามิคที่ดีขึ้นด้วย โดยระบบ Self-Sealing ที่สามารถเปิด/ปิดกระจังหน้าอัตโนมัติ ส่งผลให้รถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศลดลงจาก 0.28 เหลือ 0.27 ใน Q8 e-tron และลดจาก 0.26 เหลือ 0.24 ใน Q8 e-tron Sportback
ภายในห้องโดยสารทั้ง 2 รุ่น จะมีหน้าตาที่เหมือนกัน หน้าจอความละเอียดสูงที่คอนโซลหน้า 2 ชิ้น ด้านบนขนาด 10.1 นิ้ว สำหรับระบบอินโฟเทนเมนท์ และด้านล่างขนาด 8.6 นิ้ว สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ พร้อมมาตรวัดผู้ขับขี่แบบ Full-Digital และ Heads-up Display
กล้องมองภาพแทนกระจกมองข้าง พร้อมจอแสดงผลด้านในรถติดตั้งบริเวณมือเปิดประตูหน้าทั้ง 2 ข้าง หลังคากระจก Panoramic Glass Roof
ชิ้นส่วนภายในผลิตจากวัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ลดการปล่อยปริมาณคาร์บอน โดยใช้วัสดุรีไซเคิล ในส่วนของตัวเบาะนั่ง ฉนวนกันความร้อน วัสดุดูดซับเสียง และพรมพื้นรถอีกด้วย ซึ่งบางส่วนใช้วัสดุจากการรีไซเคิลขวดน้ำ PET
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกจุดใน Q8 e-tron ใหม่ คือ แบทเตอรีที่มีความจุมากขึ้น โดยกับ Q8 50 e-tron ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐาน ถูกเพิ่มความจุแบทเตอรีจาก 69 กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็น 89 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ Q8 50 e-tron เดินทางได้ถึง 491 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ขณะที่ตัวถัง Sportback เดินทางได้ 505 กม.
ประสิทธิภาพที่มากขึ้น นั้นเกิดขึ้นได้จากการปรับเคมีของเซลล์แบทเตอรีให้เหมาะสมที่สุด พร้อมกับซอฟท์แวร์การจัดการพลังงานขั้นสูง และบรรจุภัณฑ์ของเซลล์ รวมถึงการปรับแต่งขดลวดมอเตอร์ด้านหลัง ตอนนี้มี 14 คอยล์ แทนที่จะเป็น 12 คอยล์ ทำให้มอเตอร์สามารถสร้างแรงบิดได้มากขึ้นจากกระแสไฟฟ้าเท่าเดิม
ส่วน Q8 55 e-tron และ SQ8 e-tron มาพร้อมกับแบทเตอรี 106 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ Q8 55 e-tron เดินทางได้ 582 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ส่วนตัวถัง Sportback เดินทางได้ 600 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ในขณะที่ SQ8 e-tron เดินทางได้ 513 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ทั้ง Q8 55 e-tron และ SQ8 e-tron ยังรองรับการชาร์จ 170 กิโลวัตต์ ทำให้สามารถชาร์จไฟจาก 10-80 % ได้ด้วยเวลา 31 นาที เมื่อชาร์จแบบเร็ว
นอกจากเพิ่มความจุแบทเตอรีแล้วทาง Audi ยังเพิ่มกำลังให้แก่มอเตอร์ที่ด้านหลังของ Q8 e-tron ทำให้รุ่น Q8 50 e-tron มีกำลัง 335 แรงม้า ใน Boost Mode และมีแรงบิดสูงสุด 664 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 6.0 วินาที
ส่วน Q8 55 e-tron มีกำลังเพิ่มเป็น 402 แรงม้า ใน Boost Mode มีแรงบิดสูงสุด 664 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 5.6 วินาที ยังนำเสนอรุ่นประสิทธิภาพสูง SQ8 e-tron ที่จะเพิ่มมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า ที่เพลาล้อหลังอีก 1 ตัว
รวมเป็น 3 ตัว ที่เพลาล้อคู่หน้า และคู่หลัง มีกำลัง 496 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 973 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 4.5 วินาที และยังสามารถอัพเกรดเป็น S Line สวยดุดันมากขึ้นด้วยล้อขนาด 21 นิ้ว ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมแบบปรับได้แบบสปอร์ท กันชนหน้า และหลัง S Line เบาะนั่งแบบสปอร์ท และพวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมโลโก S Line
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ทำงานร่วมกับเรดาร์ 5 ตัว กล้องอีกจำนวน 5 ตัว และเซนเซอร์อุลทราโซนิคอีกจำนวน 12 ตัว โดยระบบที่ได้พัฒนาขึ้นใหม่ เช่น ระบบนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Remote Park Assist Plus ควบคุมผ่านรีโมทคอนทโรล หรือสมาร์ทโฟน ผ่านแอพพลิเคชัน My Audi
ทาง Audi จะเริ่มส่งมอบรถ Q8 e-tron ในเยอรมนี รวมทั้งตลาดหลักๆ ของยุโรป ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2023 ส่วนราคาของรถในเยอรมนีเริ่มต้นที่ 74,400 ยูโร หรือ 2.76 ล้านบาท
ABOUT THE AUTHOR
พรเทพ คงลาภอำนวย