เรื่องน่ารู้
“Autoinfo” ชวนเที่ยวทั่วไทย กับ 6 สถานที่สุดว้าว ที่ต้องไปให้ได้ !
หลังสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยเริ่มอ่อนแรง ภาครัฐประกาศลดระดับเข้าสู่สถานะโรคติดต่อตามฤดูกาลแบบไข้หวัดใหญ่ "Autoinfo Online" ถือโอกาสนี้เชิญชวนพี่น้องชาวไทย ร่วมเดินทางท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ กับ 6 สถานที่สุดว้าว ที่ชาตินี้ต้องไปให้ได้ !
1. “ลานตะบูน” มหัศจรรย์ป่าชายเลน แห่งเมืองตราด
ยอมรับว่า ไม่เคยเที่ยวป่าชายเลนที่ไหน แล้วตื่นตาตื่นใจเท่านี้มาก่อน ชุมชนท่าระแนะ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำตราด ก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเลตราด เป็นพื้นที่ป่าชายเลนกว้างใหญ่นับพันไร่ ที่อุดมสมบูรณ์จนได้รับรางวัลในฐานะชุมชนต้นแบบที่มีการดูแลทรัพยากรป่าชายเลนดีเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อปี 2556
ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เป็นอ่าวทะเลขนาดใหญ่ มีร่องน้ำลึก ความลึกขนาดที่เรือสำเภาใหญ่สามารถแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าขนส่งสินค้าได้ จึงกลายเป็นท่าจอดเรือสำเภาของพ่อค้าชาวจีนในอดีต ที่เดินทางผ่านไปมาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าในท้องถิ่น อาทิ เครื่องเทศ และของป่าต่างๆ
ปัจจุบันชาวชุมชนท่าระแนะส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน และได้รวมตัวกันเปิดเป็นชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวที่สวยงาม ระดับ UNSEEN THAILAND จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “มหัศจรรย์ลานตะบูน”
UNSEEN THAILAND มหัศจรรย์ลานตะบูน
สิ่งที่ทำให้บ้านท่าระแนะมีชื่อเสียงไปไกล คือ ความงดงามของลานตะบูน ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ กิจกรรม คือ การนั่งเรือผ่านปากอ่าว และป่าชายเลน เพื่อเข้าชมป่ามหัศจรรย์ลานตะบูน ระยะทาง 3 กม. ซึ่งเอกลักษณ์เด่น คือ รากของต้นตะบูนที่ลอยอยู่เหนือดิน ไม่จมอยู่ใต้ดินเหมือนต้นไม้ทั่วไป แต่จะแผ่รากอยู่บนดินโคลนของป่าชายเลน มองเห็นได้อย่างเด่นชัด มีความงดงาม ร่มรื่น สามารถเดินลงไปเยี่ยมชมแบบใกล้ๆ ได้เลย
คำว่า “มหัศจรรย์ลานตะบูน” ที่ชาวชุมชนได้ตั้งฉายาไว้ ไม่ได้เกินจากความจริงเลยครับ ด้วยบรรยากาศที่ร่มครึ้มของป่าชายเลน เราจะเห็นต้นตะบูนเก่าแก่ ขึ้นอยู่เป็นระยะๆ มีความสูงเท่าๆ กัน โดยมีรากของแต่ละต้นเลื้อยพันกัน ถักทอเหมือนเครื่องสานเหนือพื้นดิน กลายเป็น “ลานตะบูน” ที่มองแล้วดูลึกลับซ่อนเร้น ราวกับป่าในเทพนิยาย ยิ่งเมื่อแสงแดดส่องทะลุกระทบรากลานตะบูน ยิ่งเพิ่มความงดงามให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ต้นตะบูนยังได้รับยกย่องให้เป็น "รุกขมรดกของแผ่นดิน" ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้คัดสรรต้นไม้ใหญ่ทรงคุณค่าจากสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์หวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ นับเป็นสถานที่มากด้วยคุณค่า เป็นอย่างยิ่ง
ต้นตะบูน ไม้มหัศจรรย์
ลุงนิด ผู้นำพาเราเข้ามา เล่าให้ฟังว่า ต้นตะบูนส่วนมากจะขึ้นอยู่บริเวณเหนือป่าชายเลน เป็นต้นไม้ที่โตช้ามาก ต้นที่โดดเด่นสุดมีอายุประมาณ 100 ปี โดยรากของมันจะแผ่ออกไปไกลเหนือพื้นดิน ไม่มีรากแก้วเพื่อพยุงต้นเหมือนไม้ทั่วไป ดังนั้นจึงไม่สูงใหญ่ตามอายุ แต่จะมีความสูงเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไร
ในบริเวณรอบๆ นี้ก็จะมีต้นตะบูนดำอยู่บ้าง ซึ่งจะต่างจากต้นตะบูนขาวที่เราเห็นตรงที่รากของมันจะมีลักษณะแหลมขึ้นมาคล้ายรากต้นลำพู และถ้าวันไหนน้ำแห้งช่วงกลางวัน และมีแสงแดดส่องถึง รากก็จะแห้งเป็นสีขาวสวยงาม แต่หากตรงไหนยังไม่แห้งดี ก็จะออกสีดำ
ปัจจุบัน ทางชุมชนอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปชมได้ หลังจากที่ปิดช่วง COVID-19 มานาน นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปบริเวณลานตะบูนได้ และทางชุมชนได้ทำสะพานทางเดินเหนือรากตะบูนไว้ด้วย ซึ่งก็เป็นข้อดี เพราะบางช่วงที่น้ำขึ้นจนท่วมลานตะบูน นักท่องเที่ยวก็ยังสามารถเข้าไปชม และถ่ายรูปจากบนสะพานได้
2. อัศจรรย์ภูป่าเปาะ ฟูจิเมืองเลย
เราเดินทางเพื่อตามหา UNSEEN THAILAND แห่งใหม่ใน จ. เลย ตั้งอยู่ที่ อ. หนองหิน เมื่อถึงที่ทำการภูป่าเปาะ เราต้องจอดรถไว้ และใช้บริการรถอีแต๊กท้องถิ่นเพื่อเดินทางขึ้นไป ค่าบริการคนละ 60 บาท
จุดเด่นของภูป่าเปาะ คือ การชมบรรยากาศบนจุดชมวิวที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร เราสามารถมองเห็น “ภูหอ” ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาที่ด้านบนเป็นยอดตัด ซึ่งไม่เหมือนกับภูเขาลูกไหนๆ หากมาช่วงเช้าที่มีทะเลหมอก จะมีลักษณะคล้าย “ภูเขาไฟฟูจิ” ในประเทศญี่ปุ่น
จุดชมวิวของภูป่าเปาะมีทั้งหมด 3 จุด แต่ละจุดจะอยู่ห่างกันประมาณ 200 เมตร ลดหลั่นตามความสูง จุดแรกเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ไม่มีอะไรบังสายตา สามารถมองเห็นวิวของภูหอในมุมที่คล้ายกับภูเขาไฟฟูจิมากที่สุด โดยมีระเบียงยื่นออกไปให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป
จุดที่ 2 เป็นจุดชมภูหอเช่นกัน แต่เห็นในมุมกว้างขึ้นต่างจากจุดแรก ส่วนจุดที่ 3 เป็นจุดที่สามารถเห็นภูเขาฝั่งตรงข้ามกับภูหอ เป็นลักษณะผู้หญิงนอนหงาย และผู้ชายนอนหงาย ซึ่งเหมือนมาก เป็นจินตนาการที่น่าทึ่งจริงๆ
นอกจากนี้ ยังสามารถมองเห็นอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน อ. ภูผาม่าน จ. ขอนแก่น อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว อ. หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ วนอุทยานแห่งชาตินายูงน้ำโสม อ. น้ำโสม จ. อุดรธานี และถ้ำเอราวัณ อ. นาวัง จ. หนองบัวลำภู เท่ากับขึ้นภูเดียวเห็นได้ถึง 4 จังหวัด
สวนผาหินงาม คุนหมิงเมืองเลย
ในบริเวณใกล้ๆ ภูป่าเปาะ ยังมี “สวนผาหินงาม” ซึ่งเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงใน จ. เลย จุดเด่นอยู่ที่แนวผาหินปูนสูงใหญ่ เรียงรายทอดตัวเป็นแนวยาวหลายร้อยลูก กินอาณาเขตกว่า 40,000 ไร่
ภายในสวนผาหินงามมีเส้นทางเดินสลับซับซ้อน บางช่วงดูลึกลับน่าตื่นเต้น คล้ายกับผจญภัยในเขาวงกต บางช่วงต้องปีนป่ายเพิงหิน หรืออาจต้องมุดลอดโพรงถ้ำ นอกจากนี้ ตลอดเส้นทางยังมีโอกาสพบเห็นต้นไม้หายาก และต้นไม้ยักษ์อย่างปรงเขา ที่มีอายุหลายร้อยปี
และด้วยความอัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ภูเขาหินปูนนี้ขึ้นมา ที่นี่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “คุนหมิงเมืองเลย” เพราะมีความคล้ายกับลักษณะภูมิประเทศของเมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน
3. "สังขละบุรี" จ. กาญจนบุรี เสน่ห์เหมือนเดิม เพิ่มเติมความสดใส
"สังขละบุรี" อำเภอเล็กๆ สุดเขตแดนตะวันตกของจังหวัดกาญจนบุรี ยังคงมีมนต์เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย จากความหลากหลายของเชื้อชาติ และวัฒนธรรม รวมถึงความงามของสายน้ำ และสะพานมอญที่โรแมนทิค "Autoinfo" ขอพาไปเยือนดินแดนนี้อีกครั้ง
เช้าตรู่วันหนึ่ง ผมชิงตื่นก่อนดวงอาทิตย์ และรีบรุดไปยังสะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ หวังจะได้เห็นแสงแรกของเช้าวันใหม่ กลางผืนน้ำซองกาเรีย และวิถีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่
วันนี้เป็นวันที่อากาศดี เพราะฝนเพิ่งหยุดตกไป อุณหภูมิจึงเย็นสบาย ได้เห็นไอหมอกไหลตามสายลมเอื่อยๆ บนผิวน้ำ และเมฆลอยต่ำที่ปกคลุมบนยอดไม้ ครั้งนี้ผมสังเกตว่า มีทั้งเด็กชาย และหญิง ใส่ชุดมอญเดินเรียกนักท่องเที่ยว ให้เข้ามาถ่ายรูป และอาสาเป็นไกด์พาชมสะพานกันเยอะขึ้นมาก จนทำให้ตลอดสะพานมีแต่ความสวยงามสดใส จากการแต่งตัวของเด็กๆ เหล่านี้
สะพานแห่งนี้ แต่เดิมถูกสร้างขึ้นด้วยท่อนซุงของต้นไม้ที่จมน้ำ ในสมัยที่เริ่มสร้าง หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่นี่ ได้ระดมแรงกายจากชาวมอญที่อยู่อาศัยในละแวกนั้น ดำน้ำลงไปตัดซากไม้ใต้น้ำ เพื่อนำมาสร้างสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยง และมอญ ได้ใช้สัญจรไปมาหาสู่กัน รวมถึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของคนทั้ง 3 กลุ่มอีกด้วย
ปัจจุบันสะพานอยู่ในสภาพสมบูรณ์เพราะมีการซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา มีความยาว 850 ม. ถ้าเดินข้ามไปยังฝั่งหมู่บ้านมอญ จะมีทั้งเสื้อผ้า พลอย ไพลิน และผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้านวางจำหน่ายเป็นของที่ระลึก รวมถึงอาหารเช้าง่ายๆ ของชาวมอญ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม กาแฟ ปาท่องโก๋ และขนมของชาวมอญ เล่นเอาผมอิ่มจนพุงกางเลยทีเดียว
เมืองบาดาล UNSEEN ที่เลื่องชื่อ
หลังอิ่มหนำจากมื้อเช้า เราเดินทางต่อไปชมเมืองบาดาลด้วยเรือหางยาว ค่าบริการลำละ 300 บาท นั่งได้ 5-7 คน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที หากเป็นช่วงน้ำหลาก จะเห็นแค่ยอดของโบสถ์ แต่หากเป็นช่วงหน้าแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจะลดลงจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ทั่วพื้นที่
วัดวังก์วิเวการาม (เก่า) ที่เห็นนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สายมารวมกัน ได้แก่ แม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ต่อมาในปี 2527 ภาครัฐอนุมัติให้สร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือเขื่อนเขาแหลม
ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่า รวมถึงวัดนี้ด้วย หลวงพ่ออุตตมะจึงต้องขนย้ายพระพุทธรูป รวมถึงสิ่งของที่มีค่าต่างๆ ไปไว้ที่วัดวังก์วิเวการาม (ใหม่) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา
ปัจจุบันวัดแห่งนี้ถูกขนานนามว่า "วิหารแห่งเมืองใต้บาดาล" และได้รวบ รวมไว้ใน UNSEEN THAILAND ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ เดินทางมาชมอย่างไม่ขาดสาย ชุมชนมีรายได้จากการให้บริการท่องเที่ยว และแพท่องเที่ยว นอกเหนือจากการทำประมง
วัดสมเด็จ และวัดศรีสุวรรณ วัดเก่าที่ถูกลืม
เมื่อชมวัดวังก์วิเวการาม (วัดมอญ) เสร็จแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีก 2 แห่ง ที่พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว นั่นคือ วัดสมเด็จ (วัดไทย) และวัดศรีสุวรรณ (วัดกระเหรี่ยง)
วัดสมเด็จ (เก่า) ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดวังก์วิเวการาม (เก่า) เป็นอุโบสถเดิมของวัดสมเด็จก่อนที่จะถูกน้ำท่วมเมื่อคราวย้ายเมืองสังขละบุรี วัดนี้ตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ ที่แต่เดิมเรียกว่า "ฝั่งไทย" วัดสมเด็จไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำเหมือนวัดอื่น แต่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน รอบตัวโบสถ์มีต้นไทรเลื้อยเกาะบริเวณหน้าต่างโบสถ์ดูมีมนต์ขลัง ภายในอุโบสถมีพระประธานสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ให้กราบไหว้บูชา โดยสามารถซื้อดอกไม้ธูปเทียนได้จากบนเกาะในราคาชุดละ 10 บาท และยังมีของที่ระลึกจากชาวกะเหรี่ยงให้เลือกซื้ออีกด้วย
หลังจากนั้น นั่งเรือต่อไปอีกฝั่งหนึ่งชมวัดศรีสุวรรณ (เก่า) หรือที่เรียกว่า "ฝั่งกระเหรี่ยง" ซึ่งปัจจุบันจะเห็นเพียงแค่โบสถ์เท่านั้น เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่ต่ำสุด
4. "เมืองคอง" จ. เชียงใหม่ ลองไปแล้วจะรัก
“เมืองคอง” หมู่บ้านเล็กๆ ที่หลบซ่อนอยู่หลังดอยหลวงเชียงดาว ใน อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่ โอบล้อมด้วยขุนเขารอบด้าน และธรรมชาติสวยงาม เหมาะกับการพักผ่อน
วิถีชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติ
เมื่อมาถึงเมืองคอง จะรับรู้ได้ถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแบบพื้นบ้าน อากาศบริสุทธิ์ และความเงียบสงบ ชาวบ้านที่นี่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาป่าเป็นอย่างดี ส่งผลให้เมืองคองอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผักป่า และสมุนไพรนานาชนิด รวมถึง “ปลา” ที่มีอยู่ชุกชุม
คนเมืองคองสามารถพึ่งพาตัวเองได้ จากทรัพยากรที่มีอยู่มากมาย ด้วยการทำนา เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช โดยมีลำน้ำคองที่ไหลผ่านทั่วหมู่บ้าน หล่อเลี้ยงชีวิตของคนที่นี่ และด้วยความเป็นชุมชนขนาดเล็ก จึงมีความถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เราจะรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรจากทุกคนที่เราพูดคุยด้วย ทุกครัวเรือนที่นี่รู้จักกันหมด แม้แต่โฮมสเตย์ต่างๆ ก็ยังแนะนำลูกค้าให้กันและกัน
นาขั้นบันได มีให้เห็นรอบหมู่บ้าน
ฤดูที่เรามาเป็นฤดูฝน ดังนั้นไม่ว่ามองไปทางไหน ก็จะเห็นชาวบ้านช่วยกันปลูกข้าว ดำนา โดยใช้วิธีเพาะต้นกล้า แล้วนำมาปักดำ ไม่ได้ใช้วิธีหว่านเมล็ดแบบภาคกลางที่เราคุ้นเคย ดังนั้น เวลาข้าวเริ่มโต จะเห็นต้นข้าวเรียงกันเป็นแนวสวยงาม และด้วยภูมิประเทศเป็นแบบที่ราบสูง การทำนาจึงต้องแบ่งเป็นแปลงๆ แบบขั้นบันได ทำให้ยิ่งสวยงามขึ้นไปอีก
หากมาในช่วงหน้าแล้ง ที่ไม่สามารถทำนาได้ ชาวบ้านจะจักสานตะกร้าไม้ไผ่กันเกือบทุกครัวเรือน บ้านไหนทำเสร็จก็วางไว้หน้าบ้าน จะมีรถรับไปส่งขายยังที่ต่างๆ เป็นรายได้เสริมในครัวเรือน
ขับรถเที่ยว ชมวิถีชีวิต 4 หมู่บ้าน
ใครมาเมืองคอง แนะนำให้ปั่นจักรยานชมหมู่บ้านในตอนเช้า และตอนเย็น แต่ผมเลือกวิธีขับรถไป เพราะช่วงนี้ฝนตกเกือบทั้งวัน แม้จะอยู่ห่างไกล เรียกได้ว่า อยู่หลังเขา แต่ถนนหนทางเป็นคอนกรีทเกือบทั้งหมู่บ้าน แถมร้านขายของชำก็มีอยู่ทั่วไป
เมืองคอง มี 4 หมู่บ้าน นับถือศาสนาพุทธ 3 หมู่บ้าน สังเกตได้จากการมีวัดประจำหมู่บ้าน ได้แก่ วังมะริว เมืองคอง และบ้านใหม่ ส่วนอีก 1 หมู่บ้าน
นับถือศาสนาคริสต์ คือ บ้านหนองบัว คนหมู่บ้านนี้เป็นชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ มีภาษา และตัวหนังสือของตัวเอง
ภายในหมู่บ้านมีโบสถ์คริสต์ให้เที่ยวชม นิยมการทอผ้า ใครสนใจสามารถเลือกซื้อกลับบ้านได้
ใช้ชีวิตให้ช้าลง ทบทวนวันเวลาที่ผ่านมา
หากจะหาที่เที่ยวสวยๆ เอาไว้ถ่ายรูปเชคอิน โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เมืองคอง อาจไม่ตอบโจทย์เท่าใดนัก แต่หากต้องการสถานที่พักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางธรรมชาติที่แท้จริง เพื่อทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เมืองคอง คือ คำตอบอย่างไม่ต้องสงสัย
5. "อ่าวโต๊ะหลี" จ. พังงา งดงามจนลืมหายใจ
"จุดชมวิวอ่าวโต๊ะหลี" ตั้งอยู่ที่ อ. ตะกั่วทุ่ง จ. พังงา เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุด 1 ใน UNSEEN THAILAND เราจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ท่ามกลางภูเขาหินปูนน้อยใหญ่ของอ่าวพังงาแบบ 180 องศา และในยามค่ำคืนก็ยังเป็นจุดชมดวงดาวที่งดงาม สามารถมองเห็นดาวได้ใกล้ชิดเต็มท้องฟ้าอีกด้วย
จากฝนที่ตกตลอดทั้งคืน ผมภาวนาขอให้เช้านี้ท้องฟ้าเปิดจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้ทีเถิด เหมือนท้องฟ้าจะรับรู้ ทันทีที่ฟ้าเปิด แสงอาทิตย์สีส้มค่อยๆ สาดส่องกระทบผ่านตัวผม ภาพต่างๆ ที่คิดไว้ก็เผยขึ้นต่อหน้า ช่างเป็นภาพที่งดงามจนผมแทบลืมหายใจเลยทีเดียว
จากฝนที่ตกตลอดทั้งคืน ผมภาวนาขอให้เช้านี้ท้องฟ้าเปิดจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้ทีเถิด เหมือนท้องฟ้าจะรับรู้ ทันทีที่ฟ้าเปิด แสงอาทิตย์สีส้มค่อยๆ สาดส่องกระทบผ่านตัวผม ภาพต่างๆ ที่คิดไว้ก็เผยขึ้นต่อหน้า ช่างเป็นภาพที่งดงามจนผมแทบลืมหายใจเลยทีเดียว จากการสอบถามผู้ใหญ่นพดล (ผู้ดูแลจุดชมวิวแห่งนี้) ก็รู้ถึงที่มาของชื่อจุดชมวิวนี้ "โต๊ะ" มาจากคำเรียกผู้สูงอายุ เช่น ตา หรือ ปู่ ของคนที่นี่ ส่วน "หลี" คือ ชื่อของ "โต๊ะ" ที่มาบุกเบิกสร้างที่พักอาศัยแถบนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้น "อ่าวโต๊ะหลี" จึงตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณของชุมชนแห่งนี้
ได้อิ่มเอมใจเสร็จสรรพ ขากลับผมเลยขับรถแวะเข้าไปที่หมู่บ้านหินล่ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ มีที่พัก ร้านอาหาร และยังมีเรือคอยบริการนักท่องเที่ยว สามารถนั่งเรือจากจุดนี้ไปชมสถานที่เที่ยวชื่อดังอย่าง เขาพิงกัน เขาตะปู ฯลฯ ได้เลย
6. "ควนนกเต้น" ทะเลหมอกแดนใต้ จ. พัทลุง
เราได้ยินมาว่า ทางภาคใต้ของไทยมีทะเลหมอกที่สวยงามไม่แพ้ภาคเหนือ ซ่อนเร้นอยู่กลางป่าเมืองพัทลุง คนพัทลุงมักเรียกภูเขาเตี้ยๆ ว่า “ควน” ส่วน “นกเต้น” คือ ชื่อเรียกพื้นที่เดิมแถบนี้ ดังนั้น ควนนกเต้น จึงเป็นชื่อภูเขาเตี้ยๆ ที่ชื่อ “นกเต้น” ด้วยความที่เป็นควนสูงสุดในแถบนี้ ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงามกว่าที่อื่น
ควนนกเต้น เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน มีที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้บริการอย่างเป็นระบบ และเนื่องจากทางขึ้นค่อนข้างแคบ และลาดชัน รวมถึงที่จอดรถมีจำกัด จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับรถขึ้นไปเอง ต้องจอดไว้บริเวณเชิงเขาด้านล่างเท่านั้น ค่าบริการจอดรถคันละ 50 บาท มีคนดูแลตลอด 24 ชม.
จากนั้นนั่งรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อขึ้นไป ค่าบริการไป/กลับคนละ 60 บาท ถือเป็นการกระจายรายได้ให้คนในท้องถิ่น แต่ใครที่ไม่สะดวก หรือมีผู้สูงอายุ ต้องการขับรถขึ้นไป ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสถานที่เสียก่อน เพราะหากไม่ชำนาญอาจเป็นอันตราย ควรเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น และแน่นอนว่า ผมขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว
หลังจากได้คุยกับ ป้าปราณี เจ้าของสถานที่ ทำให้รู้ว่าแต่ก่อนพื้นที่ตรงนี้เป็นป่ายางพาราที่ปลูกกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ หลังจาก ป้าปราณี ตัดสินใจโค่นต้นยางพาราทิ้ง เพื่อปลูกพืชชนิดใหม่ เนื่องจากราคายางพาราตกต่ำ พื้นที่ตรงนี้จึงโล่ง ทำให้มองเห็นควนที่เตี้ยลงไปได้ชัดเจน
ที่น่าแปลกใจ คือ ยามเช้าจะมีทะเลหมอกเกือบทุกวัน พอเรื่องนี้ไปถึงหูชาวบ้าน จึงพูดกันปากต่อปาก จนชาวบ้านแถบนี้ และจังหวัดใกล้เคียง มาชมวิวทุกเช้า นานเข้าจึงถูกเรียกร้องให้สร้างที่พัก จนกลายมาเป็นควนนกเต้น จุดชมทะเลหมอกยามเช้าที่สวยที่สุดในพัทลุง
ช่วงเวลาสวยที่สุด คือ “ยามเช้า” ที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้น สาดแสงไล่สายหมอกที่ไหลเอื่อยๆ เกิดเป็นประกายสีทองเต็มพื้นที่ เป็นภาพที่สวยงามสุดประทับใจ
เจ้าของควนสร้างจุดชมวิวไว้มากมาย ตั้งแต่ชั้นด่านฟ้าไล่ระดับลงมา สามารถถ่ายรูปได้ทุกจุด นอกจากนี้ ยังมีกาแฟ ขนมปัง ปาท่องโก๋ รวมถึงอาหารเช้า เช่น ข้าวต้ม บริการด้วย พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้พัก เข้าชมได้ แต่ควรมาตั้งแต่ฟ้ายังมืด ประมาณ 05.00 น. เพราะหากขึ้นรถตอนฟ้าสางอาจพลาดความสวยงามได้
ABOUT THE AUTHOR
วิธวินท์ ไตรพิศ
ดูคุณพ่อจนขับรถได้ตั้งแต่ 8 ขวบ หลงใหลยานยนต์ จนได้วุฒิ Automotive Engineering ติดตัว ปัจจุบันเป็น บก.นักเขียน นักทดสอบรถ และ Instructor ที่พร้อมถ่ายทอดความรู้ แบบไม่มีกั๊ก !
ภาพโดย : แผนกภาพ Autoinfoคอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้