กรมการขนส่งทางบก ประชาสัมพันธ์ผู้สนใจทำใบขับขี่สากลสามารถนำหลักฐานเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า (Walk in) และสามารถตรวจสอบประเทศที่ต้องการนำใบขับขี่สากลไปใช้ให้ถูกต้องตามอนุสัญญาได้ที่ https://apps.dlt.go.th/ltpcen ter/แนะใช้ใบขับขี่ของไทยแสดงควบคู่กันเมื่อใช้ในต่างประเทศ
เสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ในปี 2566 หลังจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้คลี่คลายลง การดำรงชีวิต ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสังคมกลับสู่สภาวะปกติ หลายๆ ประเทศได้มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว รวมถึงมีประชาชนเดินทางไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเพื่อเรียน หรือทำงาน ทำให้ประชา ชนสนใจทำใบขับขี่สากลเพื่อการเช่ารถยนต์เพื่อท่องเที่ยว หรือขับรถยนต์ในต่างประเทศ ทั้งนี้ ใบขับขี่สากลที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนนจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามอนุสัญญา 2 ฉบับ นั่นคือ “อนุสัญญาเจนีวา 1949” และ “อนุสัญญาเวียนนา 1968” โดยรายละเอียดของอนุสัญญาดังกล่าวมีดังนี้
อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ นครเจนีวา คศ. 1949 หรืออนุสัญญาเจนีวา 1949 มีอายุ 1 ปี นำไปใช้ได้ใน 102 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เป็นต้น
อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ กรุงเวียนนา คศ. 1968 หรืออนุสัญญาเวียนนา 1968 มีอายุ 3 ปี นับแต่วันออกใบขับขี่สากล หรือเท่ากับอายุของใบขับขี่ภายในประเทศที่ผู้ถือมีอยู่ นำไปใช้ได้ 86 ประเทศ เช่น บาห์ เรน บราซิล เยอรมนี สวิทเซอร์แลนด์ เป็น ต้น
สำหรับประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน รวมถึงประเทศ ไทย สามารถใช้ใบขับขี่สากลที่ออกตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 เพียงฉบับเดียวได้
ใบขับขี่ตามอนุสัญญาดังกล่าว มีส่วนสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยทางถนน และมาตรฐานใบขับขี่รถของประเทศไทยให้ทัด เทียมมาตรฐานสากล ทั้งยังเพิ่มโอกาสที่ใบขับขี่ระหว่างประเทศของไทยจะได้รับการยอมรับให้สามารถนำไปใช้ในต่างประเทศ และประเทศไทยก็สามารถยอมรับใบขับขี่ระหว่างประเทศที่ออกโดยประเทศที่เป็นภาคีตามอนุสัญญา รวมถึงส่งเสริมท่องเที่ยว และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่สากลสามารถเข้ารับบริการ ณ สำนักงานขนส่งได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า (Walk in) หรือจองคิวล่วงหน้าผ่านแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue และแจ้งรายชื่อประเทศที่ต้องการนำใบขับขี่สากล ไปใช้ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวข้องในการร่วมเป็นภาคีตามอนุสัญญา หรือสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองที่ https:// apps.dlt.go.th/ltpcenter/
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอรับใบขับขี่สากล (กรณีคนไทย) มีดังนี้
1. หนังสือเดินทาง (ฉบับจริง) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
2. บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
3. ใบขับขี่ไทย (5 ปี, ตลอดชีพ และขนส่ง) (ฉบับจริง) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป ไม่เคลือบมัน (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอรับใบขับขี่สากล (กรณีคนต่างชาติ) ได้แก่
1. หนังสือเดินทาง และ Visa (ต้องไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว เล่นกีฬา หรือเดินทางผ่านเมือง) (ฉบับจริงพร้อมสำเนา)
2. ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ที่รับรองโดยสถานทูต หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ฉบับจริง) หรือใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) หรือใบอนุญาตทำงาน Electronics (Digital Work Permit) ที่แสดงรายละเอียด ที่อยู่ และยังไม่สิ้นอายุ หรือหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการตรวจลงตราพิเศษ (Smart Visa) ที่รับรองโดยสถานทูต หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรระหว่างประเทศออกให้ (ฉบับจริงพร้อมสำ เนา)
3. ใบขับขี่ไทย (5 ปี หรือตลอดชีพ) (ฉบับจริงพร้อมสำเนา) ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป ไม่เคลือบมัน (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
การทำใบขับขี่สากลสามารถมอบอำนาจได้ โดยเตรียมหลักฐานเพิ่มเติม ได้แก่ 1. ใบมอบอำนาจ 2. บัตรประชาชน ผู้รับมอบอำนาจ (ฉบับจริงพร้อมสำเนา) 3. หลักฐานของผู้มอบอำนาจที่จะใช้ในการขอรับใบขับขี่สากล (สำเนาพร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง)
ใบขับขี่สากลตามอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ มีค่าธรรมเนียมพร้อมค่าคำขอรวม 505 บาทเท่ากัน โดยสามารถยื่นขอทำใบขับขี่สากลได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพฯ พื้นที่ 1-5 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่ง ทั้งนี้ การนำไปใช้ในต่างประเทศ กรมการขนส่งทางบกแนะ นำว่าให้นำใบขับขี่ของประเทศไทยแสดงควบคู่กับใบขับขี่สากลด้วย