Aston Martin เตรียมก้าวสู่กระบวนการผลิตไร้คาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2573
ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Aston Martin ก้าวเข้าสู่ผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจผลิตรถหรูที่ยั่งยืน บรรลุแผน และกระบวนการผลิตที่มีค่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นกลาง ที่โรงงานผลิตใน Gaydon และ St Athan
ความสำเร็จนี้บรรลุได้ใน 1 ปี หลังจากบริษัทประกาศแผน Racing Green Sustainability Strategy นับว่าเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญ ในการลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ลดการปล่อย CO2 จากกระบวนการผลิต และจากบริษัทผู้ส่งวัตถุดิบ
แผน Racing Green ขณะนี้ได้รับการประเมิน และก้าวเข้าสู่กระบวนการชดเชยคาร์บอนไดออกไซด์ระดับ 1 และ 2 (การประเมิน (1) และการกำหนดเป้าหมาย (2)) โดย Aston Martin มีเป้าหมายให้ได้รับการรับรอง PAS 2060 ภายในปีนี้ และเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้มีค่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในปี 2573 โดยความร่วมมือกับบริษัทบริการโซลูชันด้านการลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศ จนบริษัทได้รับเงินทุนสนับสนุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านเป็นบริษัทผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
นอกจากนั้น Aston Martin ให้การสนับสนุนประเทศตุรเคีย ด้วยการติดตั้งกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าในตุรเคียอีก 120 ตัว ผลิตกระแสไฟได้ 575,000 เมกะวัตต์-ชั่วโมง/ปี เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าจากพลังงานแกสธรรมชาติและน้ำมัน ที่เสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งโครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตุรเคีย ด้วยพลังงานสะอาด
ตั้งแต่ปี 2563 ฐานการผลิตทุกแห่งของ Aston Martin ใช้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเต็ม 100 % โดยไม่ต้องพึ่งพากระแสไฟฟ้าจากเครือข่าย ทั้งยังจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ชุมชนใกล้เคียงได้อีก บริษัทได้ติตตั้งแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ที่โรงงานของ Aston Martin และตัวแทนจำหน่ายใน Newport Pagnell ซึ่งลดการใช้กระแสไฟได้ถึง 90 % ในช่วงฤดูร้อน ทั้งกำลังติดตั้งแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ที่โรงงานผลิต Aston Martin DBX ในเมือง St Athan ด้วย
ทั้งหมดนี้อยู่ในแผนกลยุทธ์ Racing Green เพื่อลดการใช้กระแสไฟในฐานการผลิตได้ถึง 12.2 % โดยติดตั้งหลอดไฟแอลอีดีที่โรงงานใน St Athan ช่วยลดการเกิด CO2 ได้ถึง 24,000กก./ปี ทั้งการผลิตรถที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรถแต่ละคันที่ผลิตในปี 2565 จะมีปริมาณ CO2 น้อยกว่ารถที่ผลิตในปี 2564 ถึง 3.9 %