ระเบียงรถใหม่
FERRARI 849 TESTAROSSA/FERRARI 849 TESTAROSSA SPIDER รถสปอร์ทม้าลำพองคู่ใหม่ ที่สุดของความแรง และความเร็ว
ไม่ได้พบกัน 1 เดือนเต็ม เพราะต้องสละพื้นที่หน้ากระดาษให้แก่รายงานข่าว IAA MOBILITY 2025 หรือมหกรรมยานยนต์มิวนิค 2025 ซึ่งเปิดงาน และปิดงานไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมคำยืนยันจากสื่อประชาสัมพันธ์ของผู้จัดงานว่า ประสบความสำเร็จมาก และยังรักษาฐานะงานแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปไว้ได้
กลับมาพบกันอีกครั้งในเดือนสุดท้ายของปีงูเล็ก ด้วยเรื่องราวของรถสปอร์ทล้วนๆ เป็นผลงานจาก 4 ประเทศ คือ จากเมืองมะกะโรนี จากเมืองผู้ดี จากเมืองเบียร์ และจากเมืองของลุงทรัมพ์ เป็นผลงานของผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก 4 ราย คือ FERRARI (แฟร์รารี) ASTON MARTIN (แอสตัน มาร์ทิน) PORSCHE (โพร์เช) และ CHEVROLET (เชฟโรเลต์) ที่น่าสนใจมากมากก็คือ เกือบทุกคันเป็นรถที่เรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า SUPERCAR
เริ่มกันที่รถสปอร์ท “ม้าลำพอง” ติดป้ายชื่อ FERRARI 849 TESTAROSSA (แฟร์รารี 849 เตสตาโรสซา) กับ FERRARI 849 TESTAROSSA SPIDER (แฟร์รารี 849 เตสตาโรสซา สไปเดอร์) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวที่เมือง MILAN ในอิตาลีเมื่อต้นเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่คนรักรถกระเป๋าเงินใหญ่ที่ตัดสินใจสั่งจองรถแล้ว ต้องรออีกหลายเดือนจึงจะมีโอกาสได้ขับ เพราะกำหนดไว้แล้วว่า FERRARI 849 TESTAROSSA ซึ่งเป็นรถคูเป 2 ที่นั่ง จะเริ่มการส่งมอบรถในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 (ประมาณไตรมาส 2) ส่วน FERRARI 849 TESTAROSSA SPIDER ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน ต้องรอนานกว่านั้น คือ จะไม่มีการส่งมอบรถจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณไตรมาสสุดท้าย)
เป็นรถธงคู่ใหม่ ที่ค่าย “ม้าลำพอง” กำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิต แทนที่รถธงคู่เดิม คือ FERRARI SF90 STRADALE (แฟร์รารี เอสเอฟ 90 สตราดาเล) ซึ่งเป็นรถคูเปที่เริ่มการจำหน่ายเมื่อปี 2019 และ FERRARI SF 90 SPIDER (แฟร์รารี เอสเอฟ 90 สไปเดอร์) ซึ่งเป็นรถเปิดประทุนที่ตามมาตอนปลายปี 2020 ส่วนชื่อ TESTAROSSA ซึ่งเป็นภาษาอิตาลีที่แปลว่า หัวแดง เป็นชื่อที่ค่ายนี้เคยใช้มาก่อนแล้วกับรถหลายรุ่น รุ่นที่โด่งดังที่สุด คือ FERRARI TESTAROSSA รุ่นปี 1984 ที่อยู่ในสายการผลิตยาวนานกว่า 1 ทศวรรษ คือ ระหว่างปี 1984-1996
รถธงคู่เดิม คือ รถคูเป FERRARI SF90 STRADALE กับรถเปิดประทุน FERRARI SF90 SPIDER ซึ่งมีขนาดตัวถัง ยาว 4.710 ม. กว้าง 1.972 ม. และสูง 1.186/1.191 ม. เป็นรถแบบแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 7 ทศวรรษของค่าย “ม้าลำพอง” ที่ติดตั้งระบบ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี เป็นระบบขับทุกล้อ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 8 สูบ 90 องศา 3,990 ซีซี 574 กิโลวัตต์/780 แรงม้า (วางเครื่องกลางลำ) ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ชุด (162 กิโลวัตต์/220 แรงม้า) แบทเตอรี LITHIUM-ION ขนาดความจุ 7.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ ได้กำลังรวมสูงสุดที่สูงถึง 735 กิโลวัตต์/1,000 แรงม้า สามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลเพียง 25 กม. แต่ทั้งตัวถังคูเป และตัวถังเปิดประทุน (ที่ติดตั้งประทุนหลังคาแบบแข็ง เปิด-ปิดโดยการกดปุ่มโดยใช้เวลาเพียง 14 วินาที) สามารถทำความเร็วสูงสุดได้สูงถึง 340 กม./ชม.
ส่วน FERRARI TESTAROSSA ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีส เมื่อปี 1984 มีขนาดตัวถัง ยาว 4.465 ม. กว้าง 1.976 ม. และสูง 1.130 ม. ออกแบบโดยสำนัก PININFARINA เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน DOHC วี 12 สูบ 48 วาล์ว 4,942 ซีซี 287 กิโลวัตต์/390 แรงม้า วางเครื่องกลางลำ ทำงานร่วมกันกับระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 291 กม./ชม. ซึ่งนับว่าเยี่ยมยอดมากในยุคนั้น เป็นรถที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย (ผลิตรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,000 คัน) ได้รับการสดุดีจากคนรักรถสปอร์ททั่วโลก สื่อมวลชนบางค่ายถึงกับยกย่องว่าเป็น CULTURAL ICON หรือ “รูปบูชาของวัฒนธรรมยานยนต์” นั่นเทียว
กลับมาว่ากันที่รถธงคู่ใหม่น่าจะดีกว่านะ ทั้งตัวถังคูเป และตัวถังเปิดประทุน มีขนาดความยาว 4.718 ม. เท่ากัน ขนาดความกว้าง (รวมกระจกข้าง) ก็ 2.304 ม. เท่ากัน ที่ไม่เท่ากันก็คือ ขนาดความสูง ที่วัดได้ 1.225 ม. กับ 1.186 ม. ตามลำดับ หากจะกล่าวว่าเป็นรถที่ออกแบบ/พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคัน ก็ไม่น่าจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มเสียง คงจะดีกว่า และใกล้ความจริงกว่า ถ้าจะพูดว่าเป็นการพัฒนาต่อกิ่งต่อยอดจากรถธงคู่เดิมที่กล่าวแล้วข้างต้น เป็นการพัฒนาอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า UPDATE หรือ UPRATE นั่นเอง
รูปทรงองค์เอวของตัวถังคูเป และตัวถังเปิดประทุนที่กล่าวข้างต้น วิจารณ์กันในยุโรปว่า มีอยู่หลายจุดที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างเป็นอย่างมากจากรถซึ่งเป็นที่มา มีบางจุดดูเหมือนกับที่เคยเห็นกันมาก่อนแล้วในรถ FERRARI F80 (แฟร์รารี เอฟ 80) รถ FERRARI 12 CILINDRI (แฟร์รารี 12 ชีลินดรี) และรถ FERRARI 12 CILINDRI SPIDER (แฟร์รารี 12 ชีลินดรี สไปเดอร์) ส่วนท้ายของตัวรถซึ่งติดตั้งสปอยเลอร์ 2 ชุด ชุดหนึ่งอยู่ด้านขวา อีกชุดหนึ่งอยู่ด้านซ้าย เห็นแล้วก็ชวนให้นึกถึงรถแข่งของค่ายนี้ในยุคต้นของทศวรรษแห่งปี 1970
นายใหญ่ด้านการออกแบบของค่าย “ม้าลำพอง” คือ FLAVIO MANZONI มือดีชาวอิตาลีวัย 60 ปี ซึ่งเริ่มทำงานกับค่ายนี้เมื่อปี 2010 บอกกับสื่อมวลชนในวันเปิดตัวรถคู่ใหม่นี้ว่า “เป็นภาระหน้าที่ของพวกเราในฐานะนักออกแบบ ที่จะรังสรรค์บางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นของใหม่” รวมทั้งบอกด้วยว่า นอกจากชื่อรุ่นที่เหมือนกันแล้ว การออกแบบรถธงคู่ใหม่นี้ ไม่มีจุดใดเลยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถ FERRARI TESTAROSSA ซึ่งมีชื่อเสียงในอดีต
ยังคงใช้ระบบขับ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรีเหมือนรถซึ่งเป็นที่มา เป็นระบบขับทุกล้อ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 8 สูบ 90 องศา 3,990 ซีซี 610 กิโลวัตต์/830 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด (ชุดหนึ่งอยู่ที่เพลาหน้า อีกชุดอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับระบบเกียร์) กำลังรวม 163 กิโลวัตต์/222 แรงม้า และแบทเตอรี LITHIUM-ION ขนาดความจุ 7.45 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังรวมสูงสุด 772 กิโลวัตต์ /1,050 แรงม้า คือ สูงกว่ารถธงคู่เก่าถึง 37 กิโลวัตต์/50 แรงม้า
เป็นตัวเลขที่ทำให้ผู้ผลิตยืนยันว่านี่คือ THE MOST POWERFUL SERIES-PRODUCTION MODEL หรือรถตลาดผลิตในลักษณะอนุกรมที่ทรงพลังที่สุดของบริษัท คือ ทรงพลังกว่ารถทุกรุ่นทุกแบบที่ผลิตทั้งในอดีต และปัจจุบัน
นอกจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบขับที่ว่านี้แล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนในส่วนอื่นๆ อีกหลายส่วนที่ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อสมรรถนะของรถ ตัวอย่างเช่น ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ได้รับการปรับปรุงจนมีจังหวะการเปลี่ยนเกียร์สั้นลง ทั้งเมื่อเพิ่มเกียร์ และเมื่อลดเกียร์ ระบบห้ามล้อมีการเพิ่มขนาดจาน และออกแบบคาลิเพอร์ใหม่ ส่งผลให้การห้ามล้อ 100-0 กม./ชม. ใช้ระยะทางสั้นลง 1 ม. คือ จาก 29.5 เป็น 28.5 ม.
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย “ม้าลำพอง” เห็นตัวเลขแล้วสยอง ทั้งตัวถังคูเป และตัวถังเปิดประทุน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาต่ำกว่า 2.3 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.ทำได้ใน 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุดสูงกว่า 330 กม./ชม. ส่วนการห้ามล้อ 100-0 กม./ชม. ใช้ระยะทาง 28.5 ม. และการห้ามล้อ 200-0 กม./ชม. ใช้ระยะทาง 108.0 ม. ที่บางท่านอาจสนใจแต่เห็นตัวเลขแล้วคงไม่พอใจสักเท่าไรก็คือ สามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้เพียง 25 กม. เท่านั้นเอง
ราคาค่าตัวสำหรับคนรักรถที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป รถคูเปเริ่มต้นที่ 460,000 ยูโร หรือประมาณ 17.5 ล้านบาทไทย (เมื่อคิดว่า เงินฝรั่ง 1 ยูโร แลกได้ด้วยเงินไทย 38 บาทถ้วน) ส่วนรถเปิดประทุนแพงกว่ากันนิดหน่อย คือ 500,000 ยูโร หรือประมาณ 19.0 ล้านบาทไทย เป็นราคาที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับรถ FERRARI SF90 STRADALE ซึ่งเมื่อเริ่มการจำหน่ายในปี 2019 มีค่าตัว 379,000 ยูโร หรือประมาณ 14.4 ล้านบาทไทย
เกือบลืมบอก รถเปิดประทุน FERRARI 849 TESTAROSSA SPIDER ก็เหมือนกับรถซึ่งเป็นที่มา คือ ติดตั้งประทุนหลังคาแบบแข็ง เปิด-ปิดโดยการกดปุ่ม การเปิด หรือปิดประทุนแต่ละครั้งใช้เวลาเพียง 14 วินาที และสามารถทำได้เมื่อรถยังวิ่งเร็วไม่เกิน 45 กม./ชม.
FERRARI 849 TESTAROSSA
- รถสปอร์ทคูเป 2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนทุกล้อด้วยระบบพลัก-อิน ไฮบริด
- มิติตัวถัง 4.718x2.304 (รวมกระจกข้าง)x1.225 ม. น้ำหนักรถเปล่า 1,570 กก.
- ระบบขับ PLUG-IN HYBRID กำลังรวมสูงสุด 772 กิโลวัตต์/1,050 แรงม้า
- 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 2.3 วินาที ความเร็วสูงสุดสูงกว่า 330 กม./ชม.
- ราคาในยุโรป เริ่มต้นที่ 460,000 ยูโร (ประมาณ 17.5 ล้านบาทไทย)
FERRARI 849 TESTAROSSA SPIDER
- รถสปอร์ทเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนทุกล้อด้วยระบบพลัก-อิน ไฮบริด
- มิติตัวถัง 4.718x2.304 (รวมกระจกข้าง)x1.186 ม. น้ำหนักรถเปล่า 1,660 กก.
- ระบบขับ PLUG-IN HYBRID กำลังรวมสูงสุด 772 กิโลวัตต์/1,050 แรงม้า
- 0-100 กม./ชม. ในต่ำกว่า 2.3 วินาที ความเร็วสูงสุดสูงกว่า 330 กม./ชม.
- ราคาในยุโรป เริ่มต้นที่ 500,000 ยูโร (ประมาณ 19.0 ล้านบาทไทย)










