เมื่อภาพร่างถูกพบ ทำให้มีโครงการสร้าง Lotus Type 66 ขึ้นมา โดยคงการออกแบบเดิมไว้ และใช้ขุมพลังแบบ วี 8 สูบ OHV แต่ให้กำลังถึง 830 แรงม้า ที่ 8,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 76.0 กก.-ม. ที่ 7,400 รอบต่อนาที
การสร้าง Lotus Type 66 ต้องใช้เวลากับอุโมงค์ลมกว่า 1,000 ชั่วโมง และมีแรงกดสูงถึง 800 กก. ที่ความเร็ว 150 ไมล์ (241 กม./ชม.) ซึ่งมากกว่าน้ำหนักรถด้วยซ้ำ ทีมงานถึงกับกล่าวว่าถ้ามีเพดานที่ยาว และเรียบพอ Type 66 สามารถวิ่งกลับหัวบนเพดานได้เลย
แชสซีส์ใช้การออกแบบตรงยุค ด้วยการเชื่อมชิ้นส่วนอลูมิเนียมกับแผงโครงสร้างแบบอลูมิเนียมรังผึ้ง ระบบบังคับเลี้ยวพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง เกียร์ซีเควนเชียลกับคลัทช์มัลทิพเลท เบรคเอบีเอส และติดตั้งโรลบาร์ที่ถือเป็นของใหม่ในยุคนั้น
การออกแบบด้วยภาพเสมือนแบบสามมิติ เพื่อให้มีการไหลของกระแสลมอย่างถูกต้อง มีการปรับปรุงการออกแบบที่ลงลึกถึงรายละเอียด เพื่อให้ต้องถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัยของรถแข่งในปัจจุบัน คอคพิทถูกออกแบบใหม่ ติดตั้งถังน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรฐานรถแข่งปัจจุบัน ชิ้นส่วนตัวรถขึ้นรูปจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
Lotus Type 66 คือความลงตัวของอดีต และปัจจุบัน มันสามารถพาคนขับย้อนเวลาไปในอดีตด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่น สุ้มเสียงเร้าใจ พร้อมสภาพแวดล้อมการขับขี่แบบย้อนยุค แต่ผสมผสานด้วยสมรรถนะ และความปลอดภัยสูงสุด นับว่าเป็นโครงการที่เป็นหนึ่งเดียว คุ้มค่ากับการฉลองครบรอบ 75 ปีของ Lotus โดยรถรุ่นนี้คือ รถที่จะมอบความสุขให้กับลูกค้าของ Lotus ในทุกมุมโลก
รูปลักษณ์ภายนอกของ Lotus Type 66 ใช้สีขาว แดง และลายกราฟฟิคสีทอง เป็นความโดดเด่นในยุคนั้น และถูกถ่ายทอดมาเป็นรถแข่งที่เปี่ยมประสิทธิภาพและสมรรถนะดีที่สุดในวันนี้
Lotus Type 66 ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Lotus Type 72 ซึ่งเป็นรถแข่งสูตรหนึ่งที่ดีที่สุดในยุคนั้น โดยติดตั้งรังผึ้งหม้อน้ำด้านข้างเพื่อลดแรงฉุด เพิ่มแรงกดในด้านหน้า และส่งกระแสลมข้ามตัวรถไปด้านหลัง ส่วนท้ายโดดเด่นด้วยปีกหลังช่วยสร้างแรงกดสไตล์เดียวกับรถแข่งเอนดูรานซ์ ส่งผลให้มีการทรงตัวในความเร็วสูงที่ดี และทำเวลาต่อรอบเร็วขึ้น
Lotus Type 66 จะผลิตเพียง 10 คัน โดยมีราคาคันละหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง (44.94 ล้านบาท) แม้จะแพงไปหน่อย แต่คงจะดีไม่น้อยหากคุณใส่ชุดแข่ง พร้อมผ้าพันคอ และสวมแว่นกันลม วิ่งแซง Porsche 911 GT3 ได้อย่างสบาย 
