Ford Ranger Wildtrak V6 ยังคงเอกลักษณ์ ไฟหน้าใหม่รูปตัว C แบบ Matrix LED พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันไฟแยงตา ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED รูปตัว C ไฟตัดหมอก และไฟท้ายแบบ LED
แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวอักษรที่ซุ้มล้อหน้าเป็น V6 สีดำ มาแทนที่ Bi-Turbo และล้ออัลลอยดีไซจ์นเฉพาะรุ่น Wildtrak V6 สีเทา Boulder Grey ขนาด 20 นิ้ว ที่เอามาจาก Everest รุ่น Wildtrak เท่ ดุดัน รับกับพละกำลังที่มากยิ่งขึ้น
มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,370/1,918/1,884 มม. ฐานล้อ 3,270 มม. มีระยะห่างจากพื้น 235 มม. ยาวใหญ่กว่าคู่แข่ง ทั้ง Isuzu V-Cross (5,265/1,870/1,790 มม. กับ 3,125/240 มม.) Mitsubishi Triton (5,300/1,815/1,795 มม. กับ 3,000/220 มม.) และ Nissan Navara PRO-4X (5,260/1,875/1,840 มม. กับ 3,150/225 มม.) รวมทั้ง Toyota Hilux Revo Rocco (5,325/1,900/1,815 มม. กับ 3,085/217 มม.)
สปอร์ทบาร์ ราวหลังคา Wildtrak และฝาท้ายแบบผ่อนแรง
Ford Ranger Wildtrak รุ่น V6 เพิ่มระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) ควบคุมการเปิดไฟส่องสว่างภายนอกตัวรถ เมื่อต้องการแสงสว่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ในตอนกลางคืน ได้แก่ ไฟหน้า ไฟส่องพื้นจากกระจกข้างรถ ไฟในกระบะท้าย และไฟส่องแผ่นป้ายทะเบียน โดยสามารถเลือกเปิด/ปิดเฉพาะบางโซน หรือทุกโซนพร้อมกันได้ ผ่านหน้าจอ SYNC
ภายในห้องโดยสารยังคงเน้นโทนสีดำ และความสะดวกสบายเหมือนกับ Wildtrak รุ่น Bi-Turbo
การตกแต่งภายในแบบ Wildtrak โดยเฉพาะ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจรีโมทอัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร พวงมาลัยไฟฟ้า พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย การเชื่อมต่อ และความบันเทิงภายในรถ หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 8 นิ้ว
Ford Ranger Wildtrak รุ่น V6 มาพร้อมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงมากมาย อาทิ หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ ระบบ FordPass Connect ช่องต่อ USB 4 จุด รวมถึงบนกระจกมองหลัง และลำโพง 6 ตำแหน่ง
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 3.0 ลิตร วี 6 สูบ กำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่ 3,250 รตน. แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. (600 นิวตันเมตร) ที่ 1,750-2,250 รตน. ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-Shifter ตอบสนองคันเร่งเร็ว และต่อเนื่องกว่าดีเซล เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 4 สูบ 210 แรงม้า ที่ 3,750 รตน. แรงบิด 51.0 กก.-ม. ที่รอบเท่ากัน ในรุ่น Bi-Turbo
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ 4A 4WD สามารถปรับอัตราการส่งกำลังระหว่างล้อหน้า/หลัง ตั้งแต่ 0:100 ถึง 50:50 และมีตัวเลือกโหมดการขับขี่ 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ (NORMAL), โหมดประหยัด (ECO), โหมดลากจูง (TOW/HAULl), โหมดถนนลื่น (SLIPPERY), โหมดโคลน และหิน (MUD/RUTS) และโหมดทราย (SAND) ใช้งานง่าย และสะดวกขึ้นกว่าเดิม
ระบบช่วงล่างที่ต้องยอมรับว่าเกาะหนึบทุกการเข้าโค้ง หรือการใช้ความเร็วสูง ขุมพลังดีเซล เทอร์โบ 3.0 ลิตร วี 6 ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. ทำให้รู้สึกสนุกในการขับขี่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ 4A 4WD ทำงานได้อย่างลงตัว ส่งกำลังต่อเนื่อง และพอกับความต้องการแม้ในขณะขึ้นทางชัน
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง พร้อมชอคอับแบบโมโนทูบ และระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบซ้อน พร้อมชอคอับแบบโมโนทูบ
คอม้า (Knuckle) อลูมิเนียม จานเบรคหน้า และหลัง พร้อมครีบระบายความร้อน ดิฟฟ์ลอคหลังแบบไฟฟ้า ล้ออัลลอย 20 นิ้ว ดีไซจ์นใหม่ พร้อมยางขนาด 255/55 R20 ช่วงล่างนุ่ม นั่งสบาย ไม่เน้นมุด
Ford Ranger Double Cab Wildtrak รุ่น V6 ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว นั่งสบายในทุกตำแหน่ง มอบประสบการณ์ความสุขตลอดการเดินทางไป/กลับกว่า 200 กม. บนเส้นทางเชียงใหม่-เมืองคอง-ห้วยน้ำดัง-ตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่หน้าจอ 7.3-7.8 ลิตร/100 กม. หรือ 13.6-12.8 กม./ลิตร ต่างกับ ECO Sticker (8.4 ลิตร/100 กม. หรือ 11.9 กม./ลิตร) ซึ่งใกล้เคียง ECO Sticker ของรุ่น Bi-Turbo (7.4 ลิตร/100 กม. หรือ 13.5 กม./ลิตร)
สำหรับราคา 1,519,000 บาท ของ Ford Ranger Double Cab Wildtrak รุ่น V6 เพิ่มจากรุ่น Bi-Turbo (2.0 ลิตร เทอร์โบคู่) 210 แรงม้า 2 แสนบาท สำหรับคนชอบของแรงน่าจะตอบโจทย์มากกว่า Raptor ที่ต่างกับ Wildtrak Bi-Turbo ถึง 5 แสนบาท