ธุรกิจ
Chery เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมรถรุ่นใหม่

โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ โชว์ศักยภาพบริการหลังการขายครบวงจร ด้วยเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายมากกว่า 35 แห่ง พร้อมให้บริการทั่วประเทศ กางแผนปูพรมเตรียมลงทุนในไทย ภายในปี 2568
เฉิน ชุนชิง รองประธาน Chery International กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อม และพัฒนาทีมในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในชื่อ “โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ หรือ OMODA & JAECOO (Thailand)” ที่พร้อมให้บริการแล้วในปี 2567 นี้
“ประเทศไทยถือเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นศูนย์กลางการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค เรามองเห็นแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรม และการสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่ของรัฐบาลไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ โดยเรามุ่งมั่น
ที่จะพัฒนาแบรนด์ให้เข้ากับผู้ขับขี่ชาวไทย และสอดคล้องกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปในอนาคต”
ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งในประเทศไทย และความตั้งใจในการขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ พร้อมเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV ในช่วงกลางปี 2567 นี้ ตามมาด้วย JAECOO 7 ที่วางแผนจะเข้ามาจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 และในไตรมาสที่ 4 จะนำรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งจะได้เห็นความคืบหน้าในปี 2568
ฉี เจี๋ย กล่าวเสริมว่า สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริมาณการขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 407,000 คัน ในปี 2566 โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % มียอดจำหน่ายกว่า 73,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 603.66 % จากปีก่อน ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นตลาดรถยนต์พลังงานแห่งใหม่ที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ในการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และการลงทุนโรงงาน จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) พร้อมกับตั้งเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากประเทศจีนในไทย เพื่อตอกย้ำศักยภาพ และความพร้อมของแบรนด์ในการเข้ามาทำการตลาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทย และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในระดับโลก
พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 OMODA & JAECOO ได้รับความนิยมจากผู้คนเกือบ 20 ประเทศทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การวางตำแหน่งทางการตลาด และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รถยนต์ OMODA มียอดขายส่งออก 11,432 คัน ติด 5 อันดับแรกของการส่งออกยานยนต์ของจีน ภายในปี 2567 นี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จะนำรถยนต์เข้ามาจำหน่ายทั้งสิ้น 4 รุ่น โดยจะเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV ในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่จะถึงนี้ โดยรถยนต์ OMODA C5 EV เป็นยนตรกรรม EV 100 % ที่ผสมผสานการออกแบบแห่งอนาคต เข้ากับเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะ ทั้งฟังค์ชันความปลอดภัย และความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม ที่มาพร้อมคอนเซพท์ “O-UNIVERSE” เชื่อมต่อผู้ขับขี่เข้าด้วยกัน ผ่านประสบการณ์ที่เป็น “มากกว่ารถยนต์” ตอบโจทย์ “Lohas LifestyleI” ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ใส่ใจการมีชีวิตที่ดีควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะนำรถยนต์ JAECOO 7 PHEV เข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นรถยนต์พรีเมียม เอสยูวี ออฟโรดประสิทธิภาพสูง ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย สามารถขับขี่ได้ทุกภูมิประเทศ และสภาพพื้นผิวถนนสำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “From Classic, Beyond Classic” ของแบรนด์ JAECOO และในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จะนำรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามลำดับ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ขับขี่ชาวไทย อย่างไรก็ตาม โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จะมุ่งหาแนวทางพัฒนาพลังงานใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนไทย
“เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตลาดในประเทศไทย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จะเปิดโชว์รูม มากกว่า 35 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งล่าสุด ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับผู้แทนจำหน่ายระดับประเทศครั้งแรก สะท้อนถึงความพร้อม และความก้าวหน้าในการก่อสร้างโชว์รูมของเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ให้ความเชื่อมั่นในความพร้อมสนับสนุน และช่วยเหลือผู้ขับขี่ในประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อส่งมอบบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าทุกคน”