ข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า การจากไปของ Marcello Gandini ปรมาจารย์นักออกแบบระดับตำนาน วัย 85 ปี และเพื่อยกย่องชายผู้สร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ และถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการออกแบบรถยนต์แห่งยุค ด้วยการนำเสนอเศษเสี้ยวของผลงานสร้างสรรค์ของเขา ตั้งแต่ยุค 60 ซึ่งเป็นที่ยอมรับตลอดกาล
Lamborghini Miura (2509)
Miura เป็นผลงานที่สร้างความสับสนในยุคนั้น โดยมีนักออกแบบอีกท่านอ้างสิทธิผลงานออกแบบรถคันนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ Marcello Gandini เริ่มเข้ามารับผิดชอบแทนที่นักออกแบบเดิมที่สตูดิโอออกแบบของ Bertone แต่อย่างไรก็ตาม แม้แต่ Lamborghini ก็ยอมรับว่าเป็นผลงานของเขา
Alfa Romeo Carabo (2511)
Alfa Romeo Carabo เป็นรถแนวคิดแปลกใหม่ และโดดเด่นของ Bertone ด้วยพื้นฐานจากรถ Alfa Romeo Tipo 33
Carabo นับว่าเป็นรถที่ล้ำสมัยในยุคนั้น ด้วยประตูแบบกรรไกร, ออกแบบตัวรถทรงลิ่ม พร้อมชุดไฟหน้าแบบพอพอัพ ร้อนแรงด้วยเครื่องยนต์ วี 8 สูบ วางกลางลำ ขนาด 2.0 ลิตร มีกำลังสุทธิ 230 แรงม้า
Lamborghini Espada (2511)
หลังจาก Lamborghini ก่อตั้งเป็นเวลา 5 ปี ได้เปิดตัวรถแบบ 4 ที่นั่งแบบแรก โดยวางขายคู่กับ Miura รถสปอร์ท 2 ที่นั่ง และ 400 GT สปอร์ทแบบ 2+2 ที่นั่ง
Espada ใช้เครื่องยนต์ วี 12 สูบ ร่วมกับ Lamborghini รุ่นอื่น วางเครื่องยนต์ด้านหน้า ให้กำลังสุทธิ 325 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้ระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ สามารถคว้าสถิติรถ 4 ที่นั่ง ที่เร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 155 ไมล์ (ประมาณ 249 กม./ชม.) Espada ผลิตถึง 1,217 คัน โดยคันสุดท้ายผลิตในปี 2521
Lancia Stratos (2514)
ในปี 2514 Lancia ร่วมการแข่งขันสังเวียนทางฝุ่นด้วย Lancia Fulvia Coupe จนกระทั่งมีคู่แข่งอย่าง Porsche 911 และ Alpine A110 ซึ่งมีพื้นฐานจากรถสปอร์ทลงแข่งด้วย ทำให้ Lancia ต้องพัฒนารถแข่งขึ้นมาใหม่ ด้วย Stratos ซึ่งพัฒนาสำหรับการแข่งขัน ใช้เครื่องยนต์ วี 6 สูบ ขนาด 2.4 ลิตร จาก Ferrari Dino 246 GT เปิดตัวในปีการแข่งขัน 2515 คว้าแชมพ์ได้ทั้งทางเรียบ และทางฝุ่นในปี 2517 Stratos สามารถคว้าแชมพ์แรลลีโลก ในปี 2517, 2518 และ 2519
BMW 5 Series E12 (2515)
BMW 5 Series เป็นอีกรุ่นที่สร้างชื่อให้ BMW ต่อจากความสำเร็จของโมเดล E3 ซีดาน ด้วยแนวคิดรถรุ่นใหม่ สำหรับซีรีส์ 5 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4-6 สูบ ผลิตแต่บอดีซีดานเท่านั้น ในเวลาต่อมามีการพัฒนารุ่นสมรรถนะสูง ด้วย M535I ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ M5 ในโมเดล E28
Audi 50 (2515)
ช่วงปลายทศวรรษ 1960 ต่อทศวรรษ 1970 ทั่วทั้งยุโรปหันมาหลงเสน่ห์รถแฮทช์แบค ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้ง Volkswagen และ Audi ต้องการพัฒนารถครอบครัวขับเคลื่อนล้อหน้าสไตล์แฮทช์แบคขึ้นมา ด้วยการออกแบบจาก Italdesign จนได้รถครอบครัวขนาดกะทัดรัดสไตล์แฮทช์แบค คือ Volkswagen Golf ส่วน Bertone ถูกร้องขอให้ออกแบบรถซูเพอร์มีนี ซึ่ง Gandini เป็นผู้ออกแบบ Audi 50 และคู่แฝด Volkswagen Polo จนปี 2518 ที่ Audi ได้เปลี่ยนไปผลิตรถระดับสูงขึ้น
Fiat X1/9 (2515)
Fiat X1/9 พัฒนาจากรถแนวคิด Autobianchi A112 Runabout, ด้วยแนวคิดรถสปอร์ทเครื่องวางกลางลำ, เปิดหลังคา, ทั้งมีราคาไม่แพง
เริ่มวางตลาดด้วยขุมพลัง 1.3 ลิตร ในเวลาต่อมาเพิ่มความจุเป็น 1.5 ลิตร และในช่วงสุดท้ายวางตลาดด้วยโลโก Bertone โดย Fiat X1/9 สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 160,000 คัน
Ferrari Dino 308 GT4 (2516)
เอนโซ เฟอร์รารี ผู้ยึดมั่นกับรูปแบบการวางเครื่องยนต์หน้า เขาไม่ยอมรับรูปแบบการวางเครื่องยนต์ที่ตำแหน่งหลังห้องโดยสาร จนกระทั่งเปิดตัวรุ่น Miura ที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการรถยนต์ ด้วยรูปแบบเครื่องยนต์วางกลางจึงทำให้เขายอมรับมากขึ้น
จาก Dino 206 GT ถูกเปิดตัวในปี 2511 ตอกย้ำอีกครั้งในปี 2516 ซึ่ง Ferrari ผลิตรถเครื่องยนต์ วี 8 สูบวางกลางลำ คือ 308 GT 4 2+2 ที่เป็นการเริ่มต้นของการผลิตรถเครื่องยนต์ วี 8 สูบวางกลางลำอย่างต่อเนื่องกัน จนมีรุ่น Mondial ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายของ Ferrari แบบ 4 ที่นั่งวางเครื่องยนต์วางลำ ในปี 2536
Lamborghini Countach (2517)
Lamborghini Countach อีกหนึ่งรถสปอร์ทระดับไอคอน ที่เปิดตัวในรูปแบบรถแนวคิดในปี 2514 ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา และอีก 3 ปีต่อมาด้วยเวอร์ชันผลิตจำหน่ายที่สร้างความตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นกัน กับเครื่องยนต์ วี 12 สูบวางกลางลำ Lamborghini Countach ผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงรุ่นสุดท้ายในปี 2533 ด้วยขุมพลังขนาด 5.2 ลิตร
Renault 5 Turbo (2523)
Renault 5 นับว่าเป็นรถที่ออกแบบได้อย่างยอดเยี่ยม จนในปี 2523 ได้ถูกปรับปรุงให้ร้อนแรงมากขึ้น ด้วยรูปแบบเครื่องยนต์วางกลางลำ และเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนบอดีใหม่หมด
Marcello Gandini รับผิดชอบการออกแบบทั้งหมด โดยไม่เหลือชิ้นส่วนตัวรถเดิมเลย รวมถึงเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ส่วนควบ เพื่อร่วมการแข่งขันแรลลี, Renault 5 Turbo ยุติการผลิตในปี 2526 โดยทำยอดจำหน่ายได้ 1,690 คัน
Citroen BX (2525)
Marcello Gandini สร้างผลงานรถแนวคิดทรงเหลี่ยมมากมายหลายคัน และไม่เคยได้รับการผลิต ซึ่งผู้ผลิตรถในสมัยนั้นค่อนข้างมีแนวคิดอนุรักษนิยมเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ผลิตอย่าง Citroen ที่หลงรักผลงานทรงเหลี่ยมของ Gandini อย่างสุดหัวใจ
หลังจากความสำเร็จจากรุ่น GSA ได้สิ้นสุดลง BX ตามมาด้วยสไตล์แฮทช์แบค และเอสเตท โดยทั้ง 2 รุ่นมีรูปแบบ 5 ประตู ด้วยข้อจำกัดสร้างรถน้ำหนักเบา รุ่นพื้นฐานมีน้ำหนัก 900 กก. และไม่จุกจิก ด้วยคำโฆษณาว่า “รักการขับขี่ เกลียดอู่ซ่อมรถ”
Lamborghini Diablo (2533)
Diablo ผู้สืบต่อความสำเร็จจาก Countach ด้วยรูปทรงที่น่ากลัว พร้อมสมรรถนะระดับอสูร โดยรุ่นเริ่มต้นใช้เครื่องยนต์ขนาด 5.7 ลิตร พร้อมกำลังสุทธิ 485 แรงม้า, Diablo รุ่นสุดท้ายผลิตในปี 2544 ส่วนเครื่องยนต์เพิ่มความจุถึงขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสุทธิ 575 แรงม้า