บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Omoda & Jaecoo (Thailand) ภายใต้ Chery Automobile บริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติจีน ที่มียอดการส่งออกอันดับ 1 ในประเทศจีน นำโดย ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด และพิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด ได้เข้าพบ นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) หรือบีโอไอ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกับบีโอไอถึงความคืบหน้าแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 โดย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ตั้งเป้าหมายมุ่งยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการลงทุนจัดตั้งโรงงานฯ กล่าวนี้ ในเฟสแรกจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบแบทเตอรี (BEV) และไฮบริด (HEV) ได้ประมาณ 50,000 คัน/ปี และในเฟสที่ 2 ภายในปี 2571 จะขยายกำลังการผลิตประมาณ 80,000 คัน/ปี เพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง โดยโครงการดังกล่าวนี้ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ได้รับการอนุมัติการลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ในวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ด้วยประเทศไทยถือเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นศูนย์กลางการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ จึงมองเห็นแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรม และการสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่ของรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ Chery International โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแบรนด์ให้เข้ากับผู้ขับขี่ชาวไทย และสอดคล้องกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ได้ประกาศแผนเตรียมจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100 % Omoda C5 EV ในช่วงไตรมาส 2 และ Jaecoo 6 รถยนต์ไฟฟ้า 100 % พรีเมียม ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 ของปีนี้ตามลำดับ พร้อมเตรียมเปิดตัวรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดอีก 2 รุ่นจากแบรนด์ Jaecoo ในปีนี้ ได้แก่ Jaecoo 7 PHEV และ Jaecoo 8 PHEV เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยให้มีตัวเลือกในการขับขี่ที่หลากหลาย
นอกจากนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)ฯ ยังเตรียมเปิดศูนย์บริการ 39 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ให้ความเชื่อมั่นพร้อมสนับสนุน และช่วยเหลือผู้ขับขี่ในประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อส่งมอบบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าทุกคน