ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า BMW 1-Series ทำตลาดมาถึงเจเนอเรชัน 4 ด้วยรูปทรงแบบแฮทช์แบค และมีขุมพลังให้เลือกใช้ โดยเป็นเครื่องยนต์ 2 บลอค และเครื่องยนต์ดีเซล 2 บลอค เริ่มจากรุ่น 118d ให้กำลัง 148 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 36.6 กก.-ม. ต่อด้วยรุ่น 120d ให้กำลัง 161 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.8 กก.-ม. และทั้งสองรุ่นเป็นระบบไมลด์ไฮบริด 48 โวลท์
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เริ่มจากรุ่น 120 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ไมลด์ไฮบริด 48 โวลท์ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ให้กำลัง 168 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 28.6 กก.-ม 207 ปอนด์ฟุต และที่ร้อนแรงที่สุดเป็นรุ่น M135 ที่มากับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ไมลด์ไฮบริด 48 โวลท์ บลอคเดียวกับที่ประจำการใน BMW X1 M35i ให้กำลัง 296 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.8 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที
BMW 1-Series ใหม่ถือว่าเป็นการปฏิวัติดีไซจ์นแตกต่างไปจากรุ่นเดิมมาก โดยกริลล์หน้าขนาดเล็ก และชุดโคมไฟหน้าที่ปราดเปรียว ด้านหน้าออกแบบสไตล์โค้งมนต่อเนื่องกับแนวหลังคาได้อย่างไร้รอยต่อ ส่วนของห้องโดยสารก็ได้รับการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยรุ่นปี 2025 ติดตั้งจอแสดงผลคู่ ทำงานด้วยระบบอินโฟเทนเมนท์ iDrive 9 ระบบล่าสุดของ BMW มีจอแสดงผลเกจวัดขนาด 10.3 นิ้ว และจออินโฟเทนเมนท์กลางขนาด 10.7 นิ้ว
นอกจากการเปลี่ยนแปลงรูปทรง และเทคโนโลยีแล้ว ยังเปลี่ยนกลยุทธ์การใช้รหัสรุ่นใหม่ เพื่อลดความสับสนกับรถไฟฟ้า ซึ่ง BMW มีสายการผลิตรถไฟฟ้ามากขึ้น จึงเลิกใช้ตัวอักษร “i” กับรถระบบส่งกำลังเบนซิน ตัวอย่างเช่น M135i xDrive ถูกเปลี่ยนเป็น M135 xDrive ส่วน 120i ได้เปลี่ยนเป็น 120 คาดว่า 1-Series ใหม่ จะวางตลาดในยุโรปในเดือนตุลาคมปีนี้