ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Zeekr เปิดตัว X Premium Compact SUV
บริษัท ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (Zeekr Intelligent Technology) เปิดตัวแบรนด์ “Zeekr (ซีเคอร์)” อย่างเป็นทางการในประเทศไทยสร้างเซกเมนท์ “รถไฟฟ้าพรี เมียม-ลักชัวรี” เติมเต็ม Unmet Need ของผู้บริโภค เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง เริ่มต้น 1.19 ล้านบาท โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีแห่งยุคอนาคต
เฉิน หยู (มาร์ส) Vice President of Zeekr Intelligent Technology เปิดเผยว่า Zeekr ใช้เวลาเพียง 2 ปีในการส่งมอบรถยนต์ครบ 100,000 คัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Zeekr กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง เรากำลังสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ด้วยนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ก้าวล้ำยุค และการบูรณาการพลังการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเข้ากับแนวทางที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ และพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชัวรี เปลี่ยนนิยามของการขับขี่ด้วยประวัติอันยาวนานด้านนวัตกรรม และความมุ่งมั่นในความพึงพอใจของลูกค้า Zeekr จึงนับเป็นแบรนด์พร้อมที่จะส่งมอบสุดยอดประสบการณ์ของการเดินทาง สู่ยุคสมัยที่เทคโนโลยี ดีไซจ์น และไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี สามารถสอดประสานเข้ากันได้อย่างกลมกลืน
จากความสำเร็จระดับสากล สู่การบุกตลาดไทยที่เติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค
แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ของไทยในระยะต่อไปจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดย TTB Analytics ประเมินยอดขายรถ ยนต์ EV ในปี 2567 จะอยู่ที่ 103,182 คัน หรือขยายตัว 36.3 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียว กันของปีที่ผ่านมา ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถ ยนต์ EV เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13.4 % ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ที่ 9.8 % อย่างไรก็ตาม ยังคงมีช่องว่างของรถ EV ระดับพรีเมียม-ลักชัวรี ที่ยังไม่มีแบรนด์ใดทำตลาด
เป่า จ้วงเฟย (อเลกซ์) Zeekr Intelligent Technology Head of Southeast Asia Region เผยว่า ตลาดยานยนต์พลังงานไฟ ฟ้าในประเทศไทยนั้น Zeekr จะช่วยเข้ามาเติมเต็มเซกเมนท์พรีเมียม-ลักชัวรี ซึ่งจากการพิสูจน์ในตลาดทั่วโลกทำให้มั่นใจได้ว่า ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ได้สร้างความประทับใจขั้นสูงสุดเมื่อรวมกับ Ecosystem ด้านการบริการอันหลากหลายที่ผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ทุกด้านของผู้ใช้ ได้อย่างราบรื่นที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในตลาดระดับโลก
เราจะนำเสนอทั้งหมดนี้ให้แก่คนไทยเช่นกัน เรามองเห็นโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ การบริการขาย และการบริการหลังการขายผ่านดีเลอร์รายใหญ่กว่า 6 ราย มี Zeekr House 14 แห่ง และจะขยายเพิ่มอีกกว่า 20 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเราตั้งเป้ายอดขายมากกว่าสองพันคันภายในสิ้นปี 2567 นี้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของลูกค้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชัวรี
Zeekr X มาพร้อม 5 โทนสีที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่ สีขาว Crystal White, สีครีม Palace Beige, สีเขียว Pine Green, สีเทาเข้ม Grid Grey และสีเทาพิเศษ Mist Grey
Zeekr X มาทำตลาดในไทยทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Standard ที่มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังการขับขี่ 272 แรงม้า และระยะทางในการขับขี่/การชาร์จ 1 ครั้ง ไกลถึง 540 กม. ตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมกับอุปกรณ์ครบครัน ทั้งไฟหน้าแบบ Full LED, Panoramic Glassroof ล้อขนาด 18 นิ้ว และที่โดดเด่น คือ ระบบความปลอดภัยทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมีให้ครบตั้ง แต่รุ่น Standard ราคา 1,199,000 บาท
รุ่น Flagship ซึ่งเป็นรุ่นที่โดดเด่นด้าน Performance จะเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับมอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังสูงถึง 428 แรงม้า และระยะทางการขับขี่ที่ 470 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง โดยรุ่น Flagship จะมีอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นล้อแบบ Forged Wheel ขนาด 20 นิ้ว AR HUD, ไฟ Ambient Light และระบบเสียงรอบทิศทางจาก Yamaha (ยามาฮา) ทั้งหมด 13 ตำ แหน่ง ราคา 1,349,000 บาท
มาพร้อมโปรโมชันพิเศษประกันภัยชั้น 1 พร้อมการรับประกัน ตัวรถ 5 ปี หรือ 150,000 กม. อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน การรับประกันมอเตอร์ และแบทเตอรีแรงดันสูง 8 ปี หรือ180,000 กม. อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. และบริการ Mobile Service
พิเศษสำหรับลูกค้าคนสำคัญ 500 ท่านแรก ที่จอง และรับรถภายในสิงหาคม 2567 นี้ รับฟรี Wallbox จาก “VREMT” พร้อมแพคเกจติดตั้ง มูลค่า 50,000 บาท สามารถจอง และชมรถได้จาก Pop up ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ Emsphere, Central Westgate, The Mall Bangkae และ Central Rama 2 และติด ตามกิจกรรมต่างๆ ของทาง Zeekr ได้ตั้ง แต่วันนี้เป็นต้นไป
MG ประกาศรับประกันแบทเตอรี ตลอดอายุการใช้งาน
MG (เอมจี) สร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ให้แก่ตลาดอีวีไทย สู่มาตรฐานใหม่เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านหมดกังวลกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ประกาศเพิ่มการรับประกันแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ตลอดอายุการใช้งาน รถไฟฟ้าแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวที่กล้าการันตีความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า สะท้อนความมุ่งมั่น และจริงใจ ด้วยการรับประ กันแบบไม่จำกัดระยะทาง ครอบคลุมทั้งลูกค้าใหม่ และลูกค้าปัจจุบัน แถมไม่จำกัดแค่เพียงเจ้าของคนแรกเท่านั้น นำร่อง 4 รุ่น ได้แก่ New MG4 Electric (เอมจี 4 อีเลคทริค) ใหม่ New MG Maxus 9 (เอมจี แมกซัส 9) ใหม่ New MG Maxus 7 (เอมจี แมกซัส 7) ใหม่ และ New MG Cyberster (เอมจี ไซเบอร์สเตอร์) ใหม่
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯ ประกาศยกระดับความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก พร้อมการก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ในไทย กับจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ในวงการอีวี ประกาศเป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวที่เพิ่มการรับประกันคุณภาพ “ตลอดอายุการใช้งาน” ของแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูงของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน การรับประ กันครอบคลุมกลุ่มรถไฟฟ้า 4 รุ่น นำโดยแฮทช์แบคไฟฟ้า Global Model รุ่นยอดนิยมอย่าง New MG4 Electric รถ E-MPV พลังงานไฟฟ้า 100 % แบบ 7 ที่นั่ง ระดับพรีเมี่ยม ทั้ง New MG Maxus 9 และ New MG Maxus 7 และสปอร์ทโรดสเตอร์ไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่งอย่าง New MG Cyberster พร้อมกับชูจุดเด่นรับประกันการใช้งานโดยไม่จำกัดเงื่อนไขแค่เพียงเจ้าของคนแรกเท่านั้น แม้รถจะเปลี่ยนมือไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ยังไม่จำกัดระยะทางในการขับขี่ ซึ่งการรับประกันนี้ครอบคลุมทั้งลูกค้าใหม่ และลูกค้าปัจจุบัน ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และความตั้งใจจริงของ MG ในการดูแลลูกค้าในระยะยาว
MG เป็นเจ้าแรก และหนึ่งเดียวกับมาตรฐานใหม่
MG ถือเป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มอบการรับประกันแบบจัดเต็มที่สุด โดยคำนึงถึงความพึงพอใจ และประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ตอกย้ำถึงการเป็นผู้บุกเบิก และเอาจริงเอาจังในเรื่องของอีวี ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงในการดูแลลูกค้าในระยะยาว ด้วยการประกาศเพิ่มการรับประกันคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน หรือ Lifetime Warranty สำหรับแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ในรถยนต์ไฟฟ้า 4 รุ่น ประกอบด้วย New MG4 Electric ซึ่งเป็น Global EV New MG Maxus 9 และ New MG Maxus 7 ซึ่งเป็นรถ E-MPV แบบ 7 ที่นั่ง รวมถึง New MG Cyberster สปอร์ทโรดสเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งการรับประกันดังกล่าวจะครอบคลุมสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล โดยไม่จำกัดเฉพาะเพียงเจ้า ของแรกเท่านั้น และไม่จำกัดระยะทางในการขับขี่ โดยการเพิ่มการรับประกันตลอดอายุการใช้งานนี้ยังรองรับถือการเปลี่ยนมือในอนาคต นอกจากนี้ การรับประกันไม่ใช่แค่ครอบคลุมเพียงลูกค้าใหม่เท่านั้น หากแต่ MG ยังให้การรับประกันไปยังกลุ่มลูกค้าปัจจุบันที่เป็นเจ้าของรถทั้ง 4 รุ่นอีกด้วย
เทคโนโลยีอีวี กับการตอกย้ำคุณภาพ และความมั่นใจครั้งใหม่
การประกาศเพิ่มการรับประกันนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ MG ในการสร้างจุดเปลี่ยน และยกระดับมาตรฐานให้แก่วงการอีวีไทย โดยรถอีวีทั้ง 4 รุ่น ถือเป็นรถที่ใช้นวัตกรรมแบทเตอรีล่า สุดที่พัฒนาโดย SAIC Motor Corporation ภายใต้เทคโนโลยี Rubik’s Cube Battery ในรูปแบบของ Cell-to-Pack ที่จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอน เพื่อลดพื้นที่ และระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ และมอบประสบการณ์อีวีที่ยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนวัตกรรมนี้เพิ่งได้รับรางวัลความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี คศ. 2023 (National Science and Technology Progress Award for 2023) ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ และคุณภาพให้แก่ลูกค้ารุ่นดังกล่าว MG จึงได้ขยายการรับประกันคุณ ภาพตลอดอายุการใช้งาน จะครอบคลุมแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูงทั้งชุด (HV Battery ASSY) ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน (EDU) ชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน (PEB) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานใหม่ที่ “ให้ความคุ้มค่าสูงสุด” แก่ลูกค้า ตอกย้ำให้เห็นถึงคุณภาพที่เหนือกว่ามาตรฐานสากล
“MG ถือเป็นแบรนด์ผู้บุกเบิก และจุดประกายความนิยมให้แก่ตลาดอีวีในเมืองไทย โดยเป็นผู้เปิดน่านน้ำใหม่ อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้รถได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด ล่าสุดกับความสำเร็จทางด้านยอดขายที่สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของรถอีวี MG ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น New MG4 Electric ที่มีอัตราการเติบโตกว่า 84 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกับของปีที่ผ่านมา และยอดจองที่มีมากกว่า 1,000 คัน สำหรับรุ่น New MG Cyberster นอกจากการเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพในรา คาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นแล้วนั้น MG ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมให้ครอบคลุมในทุกๆ มิติที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการประกาศเพิ่มการรับประกันคุณภาพตลอดอายุการใช้งานของแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ MG ในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการเป็น Global Brand และสู่ทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย สะท้อนภาพ “ความกล้าลงมือทำก่อนใคร” เพื่อมุ่งสร้างมาตรฐานใหม่และสร้างความมั่นใจครั้งใหญ่ที่ทำให้วงการยานยนต์ไทยยกระดับไปอีกขั้น”
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูล รายละเอียด และเงื่อนไขการรับประกันตลอดอายุการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการ MG ทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป
Nissan ยกระดับประสบการณ์การเดินทางใน Nissan Almera รุ่นปี 2024” (MY24) เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ด้วยเบาะ Quole Modure ที่ไม่สะสมความร้อน ให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารนั่งสบายทุกการเดินทาง ในรุ่น V และเพิ่มกุญแจรีโมทอัจฉริยะ พร้อมระบบลอค และปลดลอคอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้ หรืออกห่างจากตัวรถในรุ่น V และ VL
Nissan เพิ่มฟีเจอร์ Almera
Nissan Almera (นิสสัน อัลเมรา) เป็นหนึ่งในรถยนต์ยอดนิยมของ Nissan ที่ได้รับการตอบรับดีอย่างต่อเนื่องจากคนรุ่นใหม่ ด้วยคอนเซพท์ “แรงจริง จัดให้” พร้อมความครบครัน และทันสมัยกับ Nissan Connect Services เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่สื่อสารระหว่างผู้ขับขี่กับรถได้อย่างสะดวกสบาย ห้องโดยสารกว้างขวาง รวมทั้งความปราดเปรียวคล่องตัวจากขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ที่แรงจริง ตอบสนองได้ทันใจทุกการขับขี่ และเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน
โทชิฮิโระ ฟูจิคิ ประธาน Nissan ประเทศไทย และ Nissan Asian กล่าวว่า Nissan ยังคงมุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้แก่ลูกค้า ด้วยการพัฒนายานยนต์ของเราอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าของเราให้การสนับสนุน Nissan Almera และชื่นชอบการขับขี่ที่ให้ประสบการณ์อันน่าประทับใจในรถรุ่นนี้มาตลอด Nissan จึงขอบคุณลูกค้า ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อเพิ่มเติมความปลอยภัย และความสะดวกสบาย ให้แก่ลูกค้า Nissan Almera เพื่อให้ลูกค้าสนุกกับทุกการเดินทางในคอมแพคท์ซีดานรุ่นนี้
Nissan Connect Services เพื่อการเชื่อมต่อที่ต่อเนื่อง และปลอดภัย
ด้วยความเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน Nissan Connect Services* เป็นแอพพลิเคชันอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุม หรือสั่งการรถได้จากระยะไกล รวมทั้งเป็นครั้งแรกของเซกเมนท์ที่มีการติดตั้งฟังค์ชัน SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันทีผ่านระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้สมาร์ทโฟนสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศได้ล่วงหน้าจากระยะไกล และช่วยให้ควบคุมรถได้ด้วยระบบสั่งการระยะไกลต่างๆ ได้แก่ ระบบตรวจสอบสถานะการลอคประตู ระบบสั่งกะพริบไฟหน้า และสั่งระบบแตรระยะไกลเพื่อค้นหารถ รวมถึงฟังค์ชัน My Car Finder หรือระบบค้นหาตำแหน่งรถ ซึ่งจะช่วยค้นหา และนำทางไปยังจุดที่จอดรถล่าสุดได้
แอพพลิเคชันอัจฉริยะนี้ ยังช่วยแจ้งเตือนสถานะของรถได้ด้วย เช่น ตรวจสอบการลอคของรถ หรือตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถ การแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดการบำรุงรักษาตามระยะ การเตือนเมื่อใช้ความเร็วเกินกำหนด การให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะทาง และระยะเวลาที่ใช้รถ นอกจากนี้ เมื่อสัญญาณกันขโมยทำงาน หรือเมื่อรถออกนอกพื้นที่ที่กำหนด แอพพลิเคชันนี้จะแจ้งไปยังเจ้าของรถทันที ทำให้สามารถจัดการได้ทันท่วงที และสามารถติดตามตำแหน่งของรถได้ตลอดเวลา
ใหม่ ! เบาะ Quole Modure กุญแจอัจฉริยะพร้อมระบบลอค และปลดลอคอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้หรือออกห่างจากตัวรถ “จัดให้ครบ” ทุกฟังค์ชัน
Nissan Almera รุ่นปี 2024 มาพร้อมเบาะ Quole Modure ที่ลดการสะสมความร้อน นั่งได้สบายตลอดทุกการเดินทางสำหรับทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ซึ่งจะมีในรุ่น V และ VL
พร้อมกันนี้ยังเพิ่มความปลอดภัย ด้วยกุญแจอัจฉริยะพร้อมระบบลอค และปลดลอคอัตโนมัติ เมื่อเข้าใกล้ หรือออกห่างจากตัวรถ ที่ผู้ขับขี่สามารถจอดรถ และเดินไปทำธุระได้เลย ระบบอัจฉริยะของ Nissan จะช่วยลอครถให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อผู้ขับขี่เดินกลับมาที่รถ กุญแจอัจฉริยะจะส่งสัญญาณปลดลอคให้เอง สะดวกสบายเมื่อต้องถือสัมภาระ โดยไม่ต้องกดปุ่มที่ประตู และป้องกันการลืมลอครถ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะมีในรุ่น V และ VL
นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว Nissan Almera รุ่นปี 2024 ยังคงรักษาจุดเด่นที่ทำให้ Almera ได้รับความนิยมมาตลอด โดยเฉพาะจุดเด่นเรื่องพื้นที่ใช้สอยสำหรับผู้โดยสาร และพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ที่กว้างขวางนั่งสบาย พร้อมอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charger** ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้ตรงใจ เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) Nissan Connect ระ บบอินโฟเทนเมนท์ล่าสุดจาก Nissan ให้ความสุนทรีย์ตลอดเส้นทาง รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android Auto** และ Apple Car Play และยังสามารถใช้แอพพลิเคชัน ระบบนำทางอย่าง Google Map บนหน้าจอวิทยุระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะได้อีกด้วย
Nissan Almera มีรูปลักษณ์ทันสมัย สะดุดตา ดีไซจ์นด้านหน้าสะท้อนแนวคิด Next-generation V-motion ซึ่งเป็นทเรนด์การออกแบบรถยนต์ในอนาคตของ Nissan ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากบริเวณด้านหน้าซึ่งดีไซจ์นใหม่ทั้งหมด รวมถึงโลโกแบรนด์ Nissan แบบใหม่ เส้นสายด้านหน้า หลังคาด้านข้าง ไปจนถึงด้านหลัง สื่อถึงความปราดเปรียว พร้อมทะยานไปข้างหน้า สะดุดตาแม้จะมองจากระยะไกล ส่วนภายในตัวรถ ยังมีการเพิ่มความทันสมัยกับการตกแต่งที่แผงคอนโซลหน้ารูปปีกที่สยายออก หรือ Gliding Wing และที่แผงประตูด้วยวัสดุสีน้ำเงินเข้ม เพิ่มความเท่ ทันสมัย เสริมอารมณ์สปอร์ทให้แก่ห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี
“แรงจริง” กับเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ที่ประหยัดน้ำมัน
ไม่ว่าจะขับขี่บนสภาพถนนแบบไหน Nissan Almera ยังคงสร้างความประทับใจด้วยเครื่องยนต์ HRA0 ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ตอบสนองทันใจ ทรงพลัง ให้ความมั่นใจเวลาเร่งแซง ให้กำลังสูง สุดถึง 100 แรงม้า (Ps) และแรงบิด 152 นิวทันเมตร (Nm) ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็วจากแรงบิดแบบต่อเนื่อง (Flat Torque) นอกจากนี้ ยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้น่าทึ่งในอัตรา 23.3 กม./ลิตร***
เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร นี้ ยังมีนวัตกรรมทางเทคนิคมากมาย เช่น เทคโนโลยีเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถซูเพอร์สปอร์ทอย่าง Nissan GT-R (นิสสัน จีที-อาร์) ซึ่งเพิ่มความทนทาน ช่วยลดการสึกหรอ และน้ำหนักของกระบอกสูบ ซึ่งช่วยปรับปรุงการระบายความร้อน และการเผาไหม้ได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ระบบส่งกำลังแบบ Xtronic CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่อง ทันใจ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยเมื่อต้องเร่งแซง
เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง 360° Safety Shield ปลอดภัยทุกการเดินทาง
Nissan Almera รุ่นปี 2024 มีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ทันสมัยมากขึ้น ให้ความอุ่นใจในทุกเส้นทาง รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ที่แต่เดิมจะมีในรถรุ่นพรีเมียม ได้แก่ เทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System-TPMS) นับเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ในเซกเมนท์คอมแพคซีดาน ทำให้เจ้าของรถทราบแรงดันลมยางแต่ละเส้น รวมทั้งเตือนเมื่อลมยางต่ำหรือสูงกว่ากำหนด เทคโนโลยีเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (High Beam Assist-HBA) จะปรับไฟหน้าจากไฟสูงเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อเซนเซอร์ตรวจจับได้ว่ามีรถสวนมา และเทคโนโลยีแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning-LDW) ที่จะส่งสัญญาณเตือนด้วยไฟกะพริบ และการสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากนี้ Nissan Almera รุ่นปี 2024 ยังคงมีเทคโนโลยีความปลอดภัย 360° Safety Shield ที่ให้การปกป้องรอบคันขณะชับขี่ ได้แก่ เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert-RCTA) ซึ่งจะเตือนเมื่อตรวจพบวัตถุกำลังเคลื่อนที่เข้ามาทางด้านหลังขณะกำลังถอย เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitoring-IAVM) ระบบตรวจจับ และส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection-MOD) เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Intelligent Forward Collision Warning-IFCW) เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning-BSW) และเทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist-HSA) ขณะที่เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ให้การปก ป้องสูงสุด หรือ Passive Safety ได้แก่ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner and Load Limiter Seatbelts) ถุงลมนิรภัย SRS 6 จุดเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control-VDC) ที่ช่วยให้รถทรงตัวได้มั่นคงในทุกสภาพถนน และเลี้ยวได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีเบรคป้องกันล้อลอค (Anti-lock Braking System-ABS) เทคโนโลยีกระจายแรงเบรค (Electronic Brake Force Distribution-EBD) และเทคโนโลยีเสริมแรงเบรค (Brake Assist)
Nissan Almera รุ่นปี 2024 มี 4 รุ่นย่อย ได้แก่ E, EL, V และ VL และมีสีตัวถังภายนอกทั้งแบบสีเดียวทั้งคัน (ทุกรุ่น) และสีทูโทน**** (เฉพาะรุ่น VL) ได้แก่ สีขาว Storm White, สีดำ Black Star และสีเทา Gun Metallic (ทุกรุ่น) สีแดง Radient Red สีน้ำเงิน Night Blue (รุ่น VL, V, EL) สีเทา Gray Sky Pearl (รุ่น VL และV) และสีทูโทนสำหรับรุ่น VL ได้แก่ สีเทา Gray Sky Pearl หลังคาสีดำเงา, สีเทา Gun Metallic หลังคาสีดำเงา และสีขาว Storm White หลังคาสีดำเงา
ราคา Nissan Almera รุ่นปี 2024
E 549,000 บาท
EL 589,000 บาท
V 669,000 บาท
VL 699,000 บาท
Nissan มอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้า Nissan Almera รุ่นปี 2024 เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 0 % หรือดาวน์เริ่มต้น 9,999 บาท ฟรีประกันภัยชั้น 1 Nissan Premium Protection พร้อมฟรีค่าแรงเชคระยะ 5 ปี/ 70,000 กม. และฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Stylish Package สำหรับรุ่น VL*****
Nissan Almera โฉมปี 2024 มาพร้อมแคมเปญส่งเสริมการขาย “ดีจริง...อย่าลบหลู่” “แรงจริง...อย่าลบหลู่” และ “ล้ำจริง...อย่าลบหลู่” ที่บ่งบอกถึงความดีพร้อมรอบด้าน ทั้งเรื่องความสะดวกสบาย ความครบครันของเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย รวมถึงสมรรถนะการขับขี่ เพื่อสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ
* สิทธิพิเศษในการใช้บริการ Nissan Connect Services เป็นระยะเวลา 3 ปี* (ระยะเวลาของการให้บริการจะเริ่มในวันเริ่มต้นการรับประกัน) สำหรับรุ่นรถที่รองรับ และต่ออายุสมาชิกก่อนสิ้นสุดระยะเวลารับบริการ เพื่อรับประโยชน์จากบริการได้อย่างต่อเนื่อง
** สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ
*** จากการทดสอบตามมาตรฐาน UNECE Reg 101 Rev.2, NEDC Mode (หรือผสม)
**** สีเทา Gun Metallic เพิ่ม 5,000 บาท สีขาว และสีเทา Gray Sky Pearl เพิ่ม 10,000 บาท และสีหลังคาแบบทูโทนเพิ่ม 5,000 บาท จากสีตัวถัง
***** ข้อเสนอนี้สำหรับลูกค้าที่ผ่านการพิจารณาภายใต้เงื่อนไข และทำสัญญาเช่าซื้อกับ บริษัท นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด/ ทั้งนี้เงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อ และอื่นๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของบริษัท นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
Volvo เปิดตัวรุ่นพิเศษ
Volvo (โวลโว) เปิดตัวรุ่นพิเศษ Black Edition (บแลค เอดิชัน) เพิ่มความโดดเด่นให้ทุกเส้นทาง สำหรับผู้กล้าที่จะแตกต่าง ด้วยโทนสีดำทั้งภายใน และนอก พร้อมประกาศเปลี่ยนชื่อรุ่นรถไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่
คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ผู้บริโภค และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทรถไฟฟ้าในอนาคต Volvo Car จึงเปลี่ยนชื่อรถไฟฟ้า 2 รุ่นแรกของเราให้สอดคล้องกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดตัว เราเชื่อว่าชื่อผลิตภัณฑ์ที่ถูกเปลี่ยนจะช่วยมอบความชัดเจนแก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นเมื่อซื้อรถไฟฟ้า หรือรถพลัก-อินไฮบริดจาก Volvo
นอกจากชื่อ และเจเนอเรชันใหม่ วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย)ฯ ยังประกาศจำหน่าย Volvo EC40 (โวลโว อีซี 40) และ Volvo EX40 (โวลโว อีเอกซ์ 40) ในรุ่น Black Edition เพื่อมอบตัวเลือกที่มากขึ้นแก่ผู้บริโภคที่มองหารถไฟฟ้าที่มีดีไซจ์นอันเป็นเอกลักษณ์ สีโดดเด่นสะดุดตา และให้คุณสมบัติการใช้งานที่คล่องตัว ตอบโจทย์ในทุกบทบาทที่เป็นคุณ ในทุกมิติของการใช้ชีวิต
Black Edition มาพร้อมการออกแบบโทนสีภายนอกด้วยสีดำ Onyx Black องค์ประกอบการตกแต่งอื่นๆ อาทิ โลโก Volvo ที่กระจังหน้า ตัวอักษร Volvo ที่ด้านหลังป้ายชื่อรุ่น และล้อแมกอัลลอยขนาด 20 นิ้ว ดีไซจ์น 5 ก้าน ล้วนมาในสีดำ Hi-Gloss
ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเข้มรับกับสีตัวรถด้านนอก อาทิ พวงมาลัยแบบสปอร์ทที่ออกแบบมาเพื่อการจับที่ถนัดมือ เพดานหลังคาภายใน และการตกแต่งภายในมาในโทนสีดำ Charcoal เบาะที่นั่งผลิตขึ้นจากวัสดุเนื้อผ้าสีดำแบบ Connect Suede Textile/Microtech ให้สัมผัสพรีเมียมที่แฝงความเท่ไว้ในตัว ทำให้ Black Edition ของรถทั้ง 2 รุ่นมีความสปอร์ท และเรียบหรู ในคันเดียวกัน
ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องโดยสารของ Volvo EC40 และ Volvo EX40 ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่เกะกะเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ขับ และผู้โดยสารสามารถเข้าถึงการใช้งานต่างๆ ภายในรถได้ง่าย ทั้งยังให้ลุคที่มีนีมอล เรียบหรู ในแบบสแกนดิเนเวียนดีไซจ์นอันเป็นเอกลัษณ์ของ Volvo
นอกเหนือจากตัวเลือกพิเศษอย่างรุ่น Black Edition รถไฟฟ้า Volvo EC40 และ EX40 ยังมาพร้อมสีตัวถังภายนอกใหม่ ได้แก่ สี Sand Dune ที่ตัดกับโครงหลังคาสีดำของตัวรถอย่างลงตัว
รถทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมระบบสาระบันเทิง (Infotainment) ที่มีคุณสมบัติ และประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม โดยรองรับการทำงานร่วมกับแอพพลิเคชันจาก Google และระบบปฏิบัติการณ์ Android โดยผู้ใช้งานสามารถใช้บริการจาก Google อาทิ บริการนำทาง Google Maps, การสั่งงานต่างๆ ผ่าน Google Assistant หรือดาวน์โหลดแอพที่รองรับผ่าน Google Play Store
พลังขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Twin Motor)* ของ Volvo EC40 และ EX40 ให้ระยะทางการขับสูงถึง 650 กม. ใน Volvo EC40 และ 645 กม. ใน Volvo EX40 แบทเตอรีความจุขนาด 82 กิโลวัตต์ชั่วโมง แรงม้าสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 408 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดถึง 670 นิวทันเมตร รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 200 กิโลวัตต์ DC
พลังขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว (Single Motor)* ของ Volvo EC40 และ EX40 ให้ระยะทางการขับสูงถึง 590 กม. ใน Volvo EC40 และ 565 กม. ใน Volvo EX40 แบทเตอรีความจุขนาด 69 กิ โลวัตต์ชั่วโมง แรงม้าสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 238 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดถึง 420 นิวทันเมตร รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ DC
Volvo EC40 และ EX40 เจเนอเรชันใหม่ รวมถึงรุ่น Black Edition เปิดให้จองแล้ว
Volvo EC40 Ultra-Twin Motor Black Edition ราคา 2,490,000บาท
Volvo EX40 Ultra-Twin Motor Black Edition ราคา 2,390,000บาท
Volvo EC40 Ultra-Twin Motor ราคา 2,790,000 บาท
Volvo EC40 Ultra-Single Motor ราคา 2,090,000 บาท
Volvo EX40 Ultra-Twin Motor ราคา 2,690,000 บาท
Volvo EX40 Ultra-Single Motor ราคา 1,990,000 บาท
Neta พร้อมรุกตลาดเต็มสปีดขยายโชว์รูม และศูนย์บริการเพิ่ม พร้อมเปิดรับนักลงทุน
Neta (เนทา) เดินหน้านโยบาย All In Thailand, All for Thailand จับมือพันธมิตรทางธุรกิจขยายโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการมาตรฐานรองรับการดูแลลูกค้า Neta ทั่วประเทศเพิ่มอีก 10 แห่ง ในกรุงเทพ ฯ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สุโขทัย ชัยภูมิ และนราธิวาส พร้อมตั้งเป้า 80 แห่งภายในปีนี้
ชู กังจื้อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นภายใต้กลยุทธ์ All in Thailand, All for Thailand ของบริษัทฯ ว่า Neta เปิดรับนักลงทุนที่สนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเข้าร่วมรับฟังวิสัยทัศน์ และแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Neta ในประเทศไทย ในงาน “Neta Investor Conference” ซึ่งได้รับความสนใจจากนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานกว่า 50 ท่าน ยิ่งไปกว่านั้นภายในงานยังมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อแต่งตั้งผู้จำหน่าย Neta ในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มเติมรวม 10 แห่ง ใน 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สุโขทัย ชัยภูมิ และนราธิวาส สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ Neta และความมุ่งมั่นที่จะให้คนไทยได้เข้าถึงนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ของ Neta ได้ง่ายขึ้น
"นอกจากการแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้แล้ว Neta ยังให้ความสำคัญกับการดูแล และบริการลูกค้าทุกท่านผ่านการดำเนินงานของผู้จำหน่ายที่ได้มาตรฐานของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบัน Neta มีโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการมาตรฐานอย่างเป็นทางการในประเทศไทย รวม 50 แห่ง ครอบคลุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมไปถึงหัวเมืองใหญ่ๆ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ทั้งนี้เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศและเพื่อดูแลลูกค้า Neta ซึ่งมีอยู่กว่า 17,000 ราย บริษัทฯ จึงเดินหน้าขยายโชว์รูม และศูนย์บริการมาตรฐานอย่างต่อเนื่องโดยตั้งเป้าหมายให้ได้มากถึง 80 แห่ง ภายในปีนี้ ด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของผู้จำหน่ายของ Neta จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูก ค้าของ Neta ได้อย่างแน่นอน”
Mercedes-Benz สู้ศึกตลาดซบ มอบข้อเสนอพิเศษ
Mercedes-Benz ประเทศไทย ส่งแคมเปญเขย่าวงการยานยนต์ไฟฟ้าช่วงกลางปี มอบประสบการณ์อีกขั้นของการขับขี่ หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแอบแฝงด้วย “Worry-Free Package” แพคเกจสุดเอกซ์คลูซีฟสำหรับรถยนต์รุ่น EQS 500 4Matic AMG Premium (อีคิวเอส 500 4 เมทิค เอเอมจี พรีเมียม) โมเดลระดับ Top-End Luxury ของแบรนด์ ที่มาพร้อมข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทดลองขับฟรี นโยบายการเงิน นโยบายการคืนรถ และประกันภัยชั้น 1 จากMercedes-Benz (เมร์เซเดส-เบนซ์) นานถึง 2 ปี ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และการขับขี่ของคนยุคใหม่ พร้อมเปิดทางเลือกให้อย่างเต็มที่ตามที่ลูกค้าต้องการ
เป็นเจ้าของ EQS 500 4Matic AMG Premium แบบไร้กังวล
จากอินไซด์ของผู้บริโภคและเทรนด์การเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ในประเทศไทย สู่แคมเปญที่เข้ามาตอบโจทย์ทุกข้อกังวลของลูกค้าที่มองหารถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % Mercedes-Benz ได้นำเสนอทางเลือกที่ทำให้ลูกค้าสามารถกำหนดรูปแบบการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ตามต้องการ พร้อมเปิดประสบการณ์การครอบครอง EQS 500 4Matic AMG Premium แบบใหม่ ด้วยโปรแกรมทางการเงิน และการบำรุงรักษารถ ทำให้การขับขี่ไร้ความยุ่งยาก เนรมิตทุกการเดินทางให้เป็นไปตามแบบฉบับ “Worry-Free Package”
รับข้อเสนอพิเศษ “Worry-Free Package” จาก Mercedes-Benz ดังนี้
ทดลองขับฟรี เป็นระยะเวลา 7 วัน
ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 Mercedes-Benz Protection นาน 2 ปี
ค่างวดเริ่มต้นเพียงเดือนละ 77,000 บาท
เมื่อใช้รถครบ 3 ปี สามารถคืนรถได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ฟรี ! ค่าบำรุงรักษาตามระยะทาง และระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ (MBSP Easy Care & Extra Guarantee ) ตลอด 5 ปี
การันตีราคาขายต่อภายใต้โปรแกรม My Star เมื่อครบสัญญา 3-5 ปี
ข้อเสนอพิเศษเฉพาะ EQS 500 4Matic AMG Premium สามารถขยายระยะเวลาครอบครองรถเพิ่มอีก 2 ปี พร้อมผ่อนต่อเพียงเดือนละ 60,000 บาท
*เงื่อนไขให้เป็นไปตามที่บริษัทฯ และตัวแทนจำหน่าย Mercedes-Benz อย่างเป็นทางการกำหนด
EQS 500 4Matic AMG Premium ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100 % จาก Mercedes-Benz ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยพแลทฟอร์มของยานยนต์ไฟฟ้าในทุกรายละเอียด ทั้งการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม ดีไซจ์นภายนอก และดีไซจ์นภายใน สะท้อนเอกลักษณ์ของความเป็นยานยนต์สำหรับโลกอนาคต มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่แบบไร้ขีดจำกัด ผสานการออกแบบตามหลักพลศาสตร์เฉพาะแบบ One Bow Concept ซึ่งทำให้ตัวถังลู่ลม ส่งผลให้ประหยัดพลังงาน และขับขี่อย่างปราดเปรียวมากขึ้น มอบระยะวิ่งที่ไกลถึง 702 กม. ตามมาตรฐาน WLTP รวมไปถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz และระบบสาระบันเทิงอันโดดเด่น ที่พร้อมจะเปลี่ยนการขับขี่ และการโดยสารให้ล้ำสมัยในทุกมิติ
Wuling Binguo EV ราคา 419,000-449,000 บาท เทียบกับคู่แข่ง Neta V-II และ Changan Lumin !
ค่าย Wuling (วูหลิง) ทำตลาดบ้านเราเป็นรุ่นที่ 2 กับ Binguo EV (ปินกั่ว อีวี) โดยผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ นั่นคือ บริษัท บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด กับราคาเบื้องต้นที่ 419,000-449,000 บาท สำหรับผู้สั่งจอง 1,000 คันแรก !
ชมคลิพการรีวิว Wuling Binguo EV โดยทีมงานของ Autoinfo Online ได้ที่นี่ >> Facebook , TikTok
Wuling Binguo EV
- รุ่น SR (AC) ราคา 419,000 บาท
- รุ่น SRD (DC) ราคา 449,000 บาท
** ราคาพิเศษช่วงแนะนำ สำหรับ 1,000 คันแรก**
Wuling Binguo EV คือ รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แฮทช์แบค 5 ประตู เส้นสายเน้นความโค้งมัน ให้ความรู้สึกสไตล์เรทโร ผสมความทันสมัยแบบรถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่สำหรับใช้งานในเมือง ไฟหน้าทรงโค้ง พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวันทรงแถบดูโดดเด่น ตัวถังใช้สีแบบทูโทน กับสีหลักให้เลือกถึง 3 สี ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียมรอบตัวรถ ล้อเหล็กขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบปิดเพื่อลดแรงต้านจากอากาศขณะแล่น (ยางขนาด 185/60 R15)
เมื่อพิจารณาจากมิติตัวถังของ Wuling Binguo EV นั่นคือ ความยาว 3,950 มม. กว้าง 1,708 มม. สูง 1,580 มม. และระยะฐานล้อ 2,560 มม. มีขนาดใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แฮทชแบค 5 ประตูอย่าง Neta V-II (เนทา วี-ทู) ระดับราคา 5 แสนบาทขึ้นไป โดยทาง Binguo EV มีระยะฐานล้อมากกว่าเล็กน้อย แต่มีมิติตัวถังใหญ่กว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าระดับราคา 4 แสนบาทขึ้นไป เช่น Volt City EV For-Four (โวลท์ ซิที อีวี ฟอร์-โฟร์) หรือ Changan Lumin (ฉางอัน ลูมิน)
คู่แข่งของ Wuling Binguo EV
Neta V-II ราคา 549,000-569,000 บาท
- มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า-แรงบิดสูงสุด 150 นิวทันเมตร/16.5 กก.ม.-ความจุแบทเตอรี 36.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง-ระยะทำการสูงสุด 382 กม. (มาตรฐาน NEDC)-รองรับการชาร์จแบบ AC 0-100 % ใช้เวลาประมาณ 8 ชม. ชาร์จไฟแบบเร่งด่วน DC 30-80 % ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
- มิติตัวถัง ความยาว 4,070 มม.-กว้าง 1,690 มม.-สูง 1,540 มม.-ระยะฐานล้อ 2,420 มม.-น้ำหนักโดยรวม 1,180 มม.-ความสูงจากพื้นถนน 157 มม.
Changan Lumin ราคา 479,000-499,000 บาท
- มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 35 กิโลวัตต์/48 แรงม้า-แรงบิดสูงสุด 83 นิวทันเมตร/8.5 กก.ม.-ความจุแบทเตอรี 28.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง-ระยะทำการสูงสุด 301 กม. (มาตรฐาน NEDC)-รองรับการชาร์จแบบ AC 0-100 % ใช้เวลาประมาณกว่า 10 ชม. ชาร์จไฟแบบเร่งด่วน DC 30-80 % ใช้เวลาประมาณ 35 นาที
- มิติตัวถัง ความยาว 3,270 มม.-กว้าง 1,700 มม.-สูง 1,590 มม.-ระยะฐานล้อ 1,980 มม.-น้ำหนักโดยรวม 925 มม.-ความสูงจากพื้นถนน 150 มม.
Wuling Binguo EV ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสด 50 กิโลวัตต์/68 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวทันเมตร/16.5 กก.ม. แบทเตอรีความจุ 31.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทำการสูงสุดเมื่อชาร์จเต็ม คือ 333 กม. (มาตรฐาน CLTC) รองรับการชาร์จแบบ AC สูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ (ชาร์จแบทเตอรีจาก 0-100 % ในเวลา 4.30 ชม.) ส่วนรุ่นทอพ SRD (DC) รองรับการชาร์จ DC สูงสุดที่ 50 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบทเตอรีจาก 30-80 % ในเวลา 35 นาที มาพร้อมโหมดขับเคลื่อนได้แก่ Eco+, Eco, Normal และ Sport
ระยะฐานล้อที่มากเกินคาด ทำให้ห้องโดยสารมีความกว้างขวางอย่างน่าพอใจ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ใช้วัสดุบนคอนโซลหน้าแบบขึ้นรูป และยังเคลือบด้วยเซรามิค ให้พื้นผิวที่แวววาว ดูแข็งแรง จอแสดงผลหลักขนาด 10.25 นิ้ว วางตำแหน่งเรียงยาวตามแนวของคอนโซลหน้า รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple Car Play แบบไร้สาย ด้านล่างของจอภาพเป็นปุ่มใช้งานสำหรับระบบปรับอา กาศ ถัดลงมาเป็นแป้นหมุนสำหรับเปลี่ยนโหมดเกียร์ รวมถึงปุ่มเบรคมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold เบาะผู้ขับปรับด้วยไฟฟ้า (ออพชันที่หาได้ยากในรถยนต์ราคา 4 แสนบาท++ เช่นนี้ !) เบาะทุกตำ แหน่งหุ้มด้วยวัสดุหนัง เบาะแถว 2 สามารถพับแยกได้แบบ 60:40 ได้ความจุที่เก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 790 ลิตร (เมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ลงมา) บริเวณพื้นของที่เก็บสัมภาระจะมีที่เก็บของเพิ่มเติม มีลักษณะเป็นกล่องพร้อมฝาปิดมิดชิด
ระบบความปลอดภัยตามมาตรฐานรถยนต์ยุคปัจจุบัน ได้แก่ ระบบเบรคเอบีเอส และอีบีดี ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ (ESC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCS) ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบลอคประตูอัต โนมัติเมื่อรถเคลื่อนตัว (Drive-Away Locking) จุดยึดเบาะนั่งเด็กเล็กมาตรฐาน Isofix ระบบตรวจสอบแรงดันลมยางอัตโนมัติ (TPMS) และกล้องบรรทุกข้อมูลการขับขี่ด้านหน้ารถ (ความละเอียด Full HD)
รายละเอียดเพิ่มเติมของราคาจาก Wuling Binguo EV ตามนี้ ราคาของรุ่น SR (AC) คือ 419,000 บาท และรุ่น SRD (DC) คือ 449,000 บาท และยังโปรโมชันพิเศษแบบ DC Icon จะเป็นราคา 479,000 บาท เพิ่มสิทธิพิเศษ คือ การรับประกันชุดแบทเตอรีตลอดอายุการใช้งาน (มอเตอร์/แบทเตอรี/คอนทโรลเลอร์) และ Wallbox Home Charging 7 กิโลวัตต์ พร้อมติดตั้ง สำหรับยอดสั่งจอง 1,000 คันแรก หลังจากนั้นจะเป็นราคาปกติ นั่นคือ รุ่น SR (AC) คือ 459,000 บาท และรุ่น SRD (DC) คือ 489,000 บาท
Wuling Binguo EV รถยนต์ไฟฟ้าที่มีความเหมาะสมหลายด้าน กับการรับรองด้านราคาจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ นั่นคือ บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาในระยะยาวอย่างแน่นอน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยในเร็วๆ นี้ จะมีราคาเทียบเท่ากับรุ่นนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียเช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม: WulingBinguo
Triumph แนะนำ Trident 660 รุ่นพิเศษ
Triumph Motorcycles (ทไรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์) แนะนำรถจักรยานยนต์ Trident 660 (ทไรเดนท์ 660) รุ่นพิเศษสุดโดดเด่น ที่มาพร้อมกราฟิคร่วมสมัยแบบไดนามิค ออกแบบมาเพื่อดึงดูดแฟนๆ Triumph หน้าใหม่ และมีระบบ Triumph Shift Assist และ Bluetooth connectivity ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
Trident Triple Tribute (ทไรเดนท์ ทริเพิล ทรีบิวท์) ใหม่ สำหรับปี 2024 ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่เครื่องยนต์ 3 สูบ ระดับตำนานของ Triumph และจะวางจำหน่ายเพียง 1 ปีเท่านั้น รถจักรยานยนต์สไตล์โรดสเตอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามคันนี้ พร้อมวางจำหน่าย โดยมาในรูปแบบลายกราฟิคอันโดดเด่น ซึ่งเป็นกราฟิคร่วมสมัยของรูปแบบสไตล์การแข่งขันที่เน้นการใช้สีขาว น้ำเงิน และแดง อันเป็นเอกลักษณ์ของ Triumph และสะดุดตาด้วยกราฟิคตัวเลข "67" อันโดดเด่น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยประดับอยู่บนรถจักรยานยนต์ Trident "Slippery Sam" (สลิพเพอรี แซม) อันโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์
สมรรถนะของเครื่องยนต์ 3 สูบอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการควบคุมรถอันโด่งดังของ Trident จะยิ่งเพลิดเพลินยิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มระบบ Triumph Shift Assist ในขณะที่โมดูลบลูทูธช่วยให้ผู้ขับ ขี่เชื่อมต่อระบบ My Triumph Connectivity ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณสมบัติของอุปกรณ์รถที่น่าประทับใจสำหรับรถระดับเดียวกัน รวมถึงชีลด์หน้า และแผงใต้ท้องเครื่องที่สีเข้าชุดกันเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ช่วยเพิ่มคุณลักษณะเฉพาะตัวให้แก่สไตล์อันโดดเด่นของ Trident โดยแสดงให้เห็นมาตรฐานอันยอดเยี่ยม และการตกแต่งที่สะท้อนตัวตนของ Triumph
พอล สเตราท์ ประธานเจ้าหน้าที่การพาณิชย์ Triumph Motorcycles กล่าวว่า นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2020 รถโรดสเตอร์ขนาดกลางคันนี้ ได้ขับเคลื่อนพลังให้แก่ตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้ โดยจำหน่ายได้มากกว่า 35,600 คันทั่วโลก
“เครื่องยนต์ 3 สูบ และรายละเอียดระดับพรีเมียมในราคาที่ทุกคนสัมผัสได้ ประสบความสำเร็จในการนำนักขี่รุ่นใหม่ และหน้าใหม่ มาสู่ Triumph เช่นเดียวกับที่ "Slippery Sam" เคยเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหนึ่ง เราเชื่อว่ารถจักรยานยนต์รุ่นพิเศษนี้มีสไตล์ที่โดดเด่น เทคโนโลยีพิเศษ และไดนามิค ตลอดจนประสิทธิภาพที่จะดึงดูดแฟนๆ ของ Triumph ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี”
การออกแบบรถจักรยานยนต์รุ่น Triple Tribute Edition ที่ไม่เหมือนใคร
สำหรับรถจักรยานยนต์ Triumph รุ่น Trident Triple Tribute มีการออกแบบที่ทันสมัย และน่าทึ่ง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถจักรยานยนต์ที่โด่งดังที่สุดตลอดกาลอย่าง "Slippery Sam" ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์คันเดียวที่ชนะการแข่งขัน TT ถึง 5 ครั้ง เป็นระยะเวลา 5 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1971-1975 ที่มาพร้อมรูปแบบสีขาว น้ำเงิน และแดงพร้อมชีลด์หน้า และแผงใต้ท้องรถที่สีเข้าชุดกัน โดดเด่นจากเส้นสายที่เรียบง่ายสะอาดตา ภาพเงาที่สวยงาม และสไตล์ของรถ Trident ที่ส่งมอบความมั่นใจ
การออกแบบตัวถังที่โดดเด่นพร้อมกราฟิคการแข่งขันหมายเลข 67 ข้างถังอันเป็นเอกลักษณ์ เสริมแนวเบาะนั่งด้วยความใส่ใจในรายละเอียดอย่างไร้ที่ติ นอกจากนี้ Trident 660 ยังโดดเด่นด้วยตราสัญลักษณ์โลโก Triumph ทั้งไฟหน้า และไฟท้าย และการติดโลโกบนฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง แคลมพ์แฮนด์ และแผงหน้าปัด รวมถึงตราสัญลักษณ์ Trident อลูมิเนียมฝังพร้อมการตกแต่งรายละเอียด ฝาครอบหม้อน้ำสีเดียวกับตัวรถ ปะกับครอบแฮนด์ และการ์ดพักเท้าแบบอลูมิเนียม ตัวป้องกันชอคอับสีเดียวกับตัวรถ แฮนด์รถอลูมิเนียมทรงเรียว และกระจกทรงหยดน้ำ พร้อมล้ออลูมิเนียมหล่อแบบ 5 ก้านสีดำ น้ำหนักเบา ช่วยเติมเต็มลุคที่สะดุดตา
สมรรถนะของเครื่องยนต์ 3 สูบ
เครื่องยนต์ 3 สูบ 660 ซีซี โดดเด่นด้วยการปรับแต่งสไตล์ Trident โดยเฉพาะ ได้รับการพัฒนาเพื่อมอบคุณลักษณะ และคุณประโยชน์ด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ 3 สูบ ให้แก่ผู้ขี่รถจักรยานยนต์สปอร์ทเนเคดขนาดกลาง โดยให้ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบของแรงบิดรอบต่ำ ช่วงกลาง และพละกำลังสูงสุด อีกทั้งเสียงเครื่องยนต์ 3 จังหวะที่ทุ้มลึก โดดเด่นมาจากท่อเก็บเสียงด้านเดียวขนาดเล็กและมีนีมอล พร้อมด้วยส่วนปิดท้ายที่ทำจากสเตนเลสส์สตีลระดับพรีเมียม
นอกจากนี้ Trident Triple Tribute ยังเป็นไปตามมาตรฐาน Euro 5 เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 81 แรงม้า ที่ 10,250 รตน. พร้อมการส่งผ่านราบรื่น รวมถึงให้แรงบิดสูงสุด 64 นิวทันเมตร ที่ 6,250 รตน.
กระปุกเกียร์ 6 จังหวะที่นุ่มนวลของ Trident พร้อมอัตราทดเกียร์ และการขับเคลื่อนขั้นสุดท้ายที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ประสบการณ์การขับขี่เป็นเรื่องง่าย และสนุกสนาน ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมด้วยการเพิ่ม Triumph Shift Assist ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่นพิเศษนี้ ซึ่ง Quickshifter นี้ช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น และลงโดยไม่ต้องใช้คลัทช์ และมีระบบ Autoblipper เมื่อเปลี่ยนเกียร์ลง เพื่อความรวดเร็ว และราบรื่นยิ่งขึ้น
การขับขี่ระดับชั้นนำ
Trident มีชื่อเสียงในด้านความคล่องตัว สปอร์ท และสร้างแรงบันดาลใจบนท้องถนน มีเบาะนั่งสูง 805 มม. และน้ำหนักเปียกต่ำเพียง 189 กก. ถือเป็นเป็นผู้นำในคลาสส์ ด้วยอุปกรณ์สเปคสูง รวมถึงชอคอับหัวกลับ Showa สีดำ ที่ให้ระยะยุบตัวของล้อหน้า 120 มม. และชอคอับหลัง RSU แบบโมโนชอคของ Showa รองรับการปรับตั้งค่าพรีโหลด พร้อม Linkage ซึ่งมีระยะยุบตัวของล้อหลังที่ 133.5 มม.
เพื่อพลังในการหยุดที่ดีเยี่ยม Trident มีเบรค Nissan 2 ลูกสูบ พร้อมดิสค์เบรคคู่ขนาด 310 มม. และยาง Michelin Road 5 ช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกสภาพอากาศ
แชสซีส์โครงเหล็ก Tubular ที่ได้รับการออกแบบโดยเฉพาะของรุ่น Trident แฮนด์อลูมิเนียมทรงเรียวน้ำหนักเบา และล้อสปอร์ทอลูมิเนียมหล่อน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ซึ่งผสมผสานกับอุปกรณ์ สเปคสูง ทำให้มีน้ำหนักที่เบา และความคล่องตัว ที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างมั่นใจ และควบคุมได้ง่าย
เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อผู้ขับขี่
รถจักรยานยนต์ Trident Triple Tribute ถูกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อบลูทูธมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ My Triumph Connectivity โดยสามารถใช้งานระบบนำทางแบบ Turn-by-turn เชื่อมต่อการใช้โทรศัพท์ และฟังเพลง เป็นการยกระดับเทคโนโลยีระดับสูงสำหรับผู้ขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น
Trident 660 มีไฟ LED ระบบ ABS โหมดการขี่ Road และ Rain ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (Traction Control) แบบเปิด/ปิดได้ และคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire เพื่อการตอบสนองของคันเร่งที่คมชัด และแม่นยำ รวมถึงหน้าจอ TFT สีอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้จริง รวมกับจอแสดงผล เพื่อเพิ่มความปลอดภัย มีการติดตั้งระบบป้องกันการโจรกรรมเครื่องยนต์ไว้ในกุญแจ
รังสรรค์สไตล์ Trident Triple Tribute ตามแบบฉบับผู้ขับขี่
รถจักรยานยนต์ Trident Triple Tribute สามารถปรับแต่งได้ด้วยอุปกรณ์เสริมแท้จาก Triumph 32 รายการ รวมถึงการปกป้อง และการดูแลรักษา เพิ่มเทคโนโลยี สไตล์ และรายละเอียด รวมถึงความสะดวกสบาย และการใช้งานจริง ตลอดจนการรักษาความปลอดภัย
อุปกรณ์เสริมเพื่อปกป้องรถจักรยานยนต์ ประกอบด้วย ยางรองถังน้ำมัน โครงแบบขึ้นรูป และตัวป้องกันฝาครอบเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ป้องกันชอคอับขึ้นรูปด้วย CNC รวมถึงชุดทำความสะอาด Muc-Off ฝาครอบอากาศทั้งหมด และอุปกรณ์ชาร์จแบทเตอรี ด้วยอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยี ผู้ขับขี่สามารถเพิ่มช่องเสียบชาร์จ USB ใต้เบาะที่สะดวกสบาย ไฟ LED แสดงสถานะการเลื่อนแบบมีนีมอลที่ทันสมัย และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ Trident ตลอดจนสามารถเพิ่มชุดกระเป๋าเดินทางกันน้ำได้ พร้อมด้วยกระเป๋าติดถังน้ำมัน และชุดแต่งท้ายรถ
กระจกปลายแฮนด์กลึงด้วยเหล็กแท่งยาว และชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มรายละเอียด นอกจากนี้ Trident ยังสามารถติดตั้งแฮนด์บังคับปรับความร้อนที่มีการติดตั้งสายไฟภายในไว้ก่อนแล้ว ซึ่งรวมถึงปุ่มที่ผสานรวมอย่างประณีต และด้ามจับที่ยึดเบาะนั่งที่มีรูปทรงตามหลักสรีรศาสตร์
เพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัยที่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมอุปกรณ์เสริมพิเศษ ประกอบด้วยสัญญาณเตือน Triumph Protect+ ตัวติดตาม Triumph Track+ พร้อมการตรวจสอบตลอด 24 ชม. ทุกวัน และการรักษาความปลอดภัยในโรงรถ ซึ่งรวมถึง U-Lock กุญแจลอคดิสค์ สัญญาณเตือนกุญแจลอคดิสค์ สมอยึดพื้น โซ่ และกุญแจ
โดยอุปกรณ์ทั้งหมดได้รับออกแบบมาร่วมกับรถจักรยานยนต์ของ Triumph และผลิตด้วยมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้อุปกรณ์เสริมของ Triumph ทั้งหมดมีการรับประกันไม่จำกัดระยะทาง 2 ปีเช่นเดียวกับตัวรถจักรยานยนต์
รถจักรยานยนต์ Trident Triple Tribute รุ่นพิเศษ วางจำหน่ายในราคา 319,000 บาท พิเศษ ! รับข้อเสนอทางการเงิน 10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 8-31 กรกฎาคม 2567 โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ผู้แทนจำหน่าย Triumph 12 แห่งทั่วประเทศ
Continental เปิดตัวยางใหม่ 2 รุ่น
คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี เปิดตัวยางรถยนต์ 2 รุ่นใหม่ล่าสุดภายใต้ Generation ที่ 7 ดึงจุดแข็งด้านเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีมาผนวกกับความต้องการของผู้ใช้รถ เพื่อพัฒนายางรถยนต์รุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์รูปแบบของยานยนต์ และการขับขี่ที่หลากหลาย ตอกย้ำจุดยืนของ Continental ในแง่ของการเข้าใจตลาดยางรถยนต์ในปัจจุบัน และพร้อมยกระดับเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัยอยู่เสมอ
Karel Kucera กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดยางรถยนต์ในประเทศไทยนับว่ากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหนุนหลายประ การ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันจากรัฐบาลในการเพิ่มศักยภาพประเทศเพื่อรองรับการผลิต การเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของภูมิภาค และการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) ประกอบกับพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทยที่มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ คนไทยยังคำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่ และการโดยสารมากขึ้น โดยมักจะเลือกยางรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงและมีการใช้งานที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ ทาง Continental จึงนำเสนอยางรถยนต์ใหม่ล่าสุด 2 รุ่น ที่มาพร้อมกับนวัตกรรม และสมรรถนะขั้นสูง ได้แก่ Max Contact MC7 และ EContact โดยเรามุ่งสร้างคุณค่าผ่านคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการบริการที่ดีเยี่ยม เพื่อมอบความมั่นใจในทุกการเดินทางให้แก่ลูกค้าทุกคน
สำหรับยางรถยนต์ 2 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ นำโดย “Max Contact MC7“ ยางรถยนต์ที่ชูนวัตกรรม Sport+ Technology ในกลุ่มยางสปอร์ทสมรรถนะสูง มอบความแม่นยำขณะเข้าโค้งบนพื้นถนนแห้งด้วยเทคโนโลยี Cornering Macro-Blocks ที่จะช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับถนนได้กว้างขึ้น พร้อมกระจายแรงกดไปยังส่วนอื่นๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม และทำให้รถมีความเสถียรยิ่งขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยี Stabilizer Bar ยังช่วยยึด Macro-Blocks ไว้อย่างแน่นหนา เพื่อให้สามารถทนต่อแรงกดดันเพิ่มเติมได้
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบควบคุมการเบรคที่ยอดเยี่ยมบนพื้นถนนเปียก ด้วยร่องยาง 3 มิติที่ตัดด้วยเลเซอร์แบบ Star & Lightning และ Aquasipes ทำงานร่วมกันในการตัดผ่านฟีล์มน้ำจากหลายทิศทาง ทำให้น้ำระบายออกอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เกิดการสูญเสียการยึดเกาะบนพื้นถนน
ยางรุ่น Max Contact MC7 ดีไซจ์นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนเอเชียที่มองหาการขับขี่ที่เร้าใจโดยเฉพาะ พร้อมมอบความมั่นใจในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนท้องถนน หรือบนสนามแข่ง ปลอดภัยขณะขับขี่ด้วยเทคโนโลยี Reflex Compound เพิ่มการยึดเกาะสูงสุด และให้การควบคุมที่สม่ำเสมอ ทั้งยังลดเสียงรบกวนจากภายนอกโดยร่องยาง Noise Breaker 3.0 จะขัดขวางคลื่นเสียง และกระจายออกเป็นความถี่เล็กๆ เพื่อป้องกันเสียงรบกวนไม่ให้เดินทางเข้าไปในห้องโดยสาร
ยาง MaxContact MC7
อีกหนึ่งยางรุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะอย่าง “EContact” นำเสนอความโดดเด่นด้วยนวัตกรรมพิเศษ Conti Seal ที่จะช่วยอุดรอยรั่วได้ทันที ตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มียางอะไหล่ติดตั้งมาในตัวรถ ผสานเทคโนโลยี Conti Silent ที่ติดตั้งโฟมดูดซับเสียงภายในยาง ช่วยลดเสียงรบกวนจากพื้นถนน ให้การขับขี่ และการโดยสารเงียบสงบกว่าที่เคย สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลขึ้นกว่าเดิมด้วยอัตราการต้านทานการหมุนที่ต่ำ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมประสิทธิภาพในการควบคุมการขับขี่ และการเบรคที่ยอดเยี่ยม ทั้งบนพื้นถนนแห้ง และเปียก มอบทุกการเดินทางให้เป็นไปอย่างราบรื่น และไม่สะดุด
ยาง EContact
พิเศษสำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อยางรุ่น Max Contact MC7 ทุกขนาดครบ 4 เส้น กับร้านค้าที่ร่วมรายการ รับฟรี ! กระเป๋ารุ่นลิมิเทด เอดิชันจาก Adidas x Continental ตั้งแต่วันนี้-30 กันยายน 2567
ทั้งนี้ Max Contact MC7 ราคาเริ่มต้น 4,000-13,000 บาท/เส้น ตามขนาดขอบ 16-20 นิ้ว และ EContact ราคาเริ่มต้น 6,000-16,000 บาท/เส้น ตามขนาดขอบ 17-20 นิ้ว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเปค และขนาดยางได้ที่ Max Contact MC7 | Continental tyres (continental-tires.com) วางจำหน่ายผ่านร้านตัวแทนจำหน่าย Continental Tires ทั่วประเทศ