สุดยอดรถสปอร์ทแห่งเมือง Maranello อย่าง Ferrari (แฟร์รารี) กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ พร้อมแผนพัฒนาซูเพอร์คาร์ไฟฟ้า และแผนยุติการผลิตรถสปอร์ทบางรุ่น เพื่อเปิดตลาดกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือกให้เข้าถึงง่ายขึ้น ขยับก้าวสู่แบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
เมื่อช่วงปี 2020-2024 Ferrari ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการออกซูเพอร์คาร์ ไฮเพอร์คาร์รุ่นใหม่ หรือรถอเนกประสงค์ FUV คันแรกของ Ferrari และรถรุ่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัด สำหรับลูกค้ากระเป๋าหนักที่ได้รับสิทธิ์ในการสั่งจอง ไม่แปลกที่ค่ายม้าลำพองจะสนองความต้องการลูกค้าได้สูงสุด ทำให้มียอดขายถล่มทลายในปี 2021 ที่ถือเป็นปีทองของ Ferrari ว่ามียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเติบโตขึ้นกว่า 20 % เมื่อเทียบกับปี 2020
รวมถึงตลาดเอเชียที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และรวดเร็ว ในปี 2023 ที่ผ่านมากับรุ่นยอดนิยมอย่าง 296 GTB (296 จีทีบี), 296 GTS (296 จีทีเอส) และ Purosangue (ปูโรซังกเว) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากลูกค้าทั่วโลก ในแบบที่ไม่เคยมีรุ่นรถยนต์ในค่ายตัวเองที่ยอดขายครอบคลุมแซงทุกไลน์อัพขนาดนี้มาก่อน ซึ่งปัจจุบันมีรุ่นรถกว่า 17 รุ่น กระจายไปทั่วโลก
ถึงแม้ว่าครึ่งปีหลังจากนี้จะไม่มีการเปิดตัวรถใหม่ แต่ม้าลำพองก็กำลังส่งสัญญาณการบอกลาให้แก่รถยนต์บางรุ่นที่ถึงเวลาต้องยุติการทำตลาดแล้วอย่าง Ferrari 812 GTS (812 จีทีเอส), 812 Competizione (812 กมเปซิโอเน), 812 Competizione A (812 กมเปซิโอเน เอ), Ferrari SF90 Stradale (เอสเอฟ 90 สตาดาเล), SF90 Spider (เอสเอฟ 90 สไปเดอร์) และ Ferrari Roma (โรมา)
Ferrari ได้พูดถึงการหดตัวของยอดขายรถคูเป และเปิดประทุน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 โดยบริษัทได้เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับยอดขายครึ่งแรกของปี 2024 ออกมาว่าเป็นช่วงปลายอายุตลาดแล้วสำหรับรถเปิดประทุนอย่าง Ferrari 812 GTS, 812 Competizione จะถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นใหม่ ที่ได้มีการทดสอบในเดือนสิงหาคม 2023 ที่ผ่านมา จนถึงบัดนี้ได้เปิดตัว V12 รุ่นล่าสุดแล้วนั่นคือ Ferrari 12Cilindri (12 ชิลินดรี), 12Cilindri Spider (12 ชิลินดรี สไปเดอร์) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา
รุ่นต่อมาที่กำลังจะสิ้นอายุตลาด จะเป็นคิวของซูเพอร์คาร์ V8 ไฮบริดตัวแรงระดับ 1,000 แรงม้า อย่าง Ferrari SF90 Stradale และ SF90 Spider ก็ใกล้เข้ามาเช่นเดียวกันเนื่องจากเตรียมเปิดทางให้รถไฮบริดไฟฟ้ารุ่นใหม่ของค่ายอีกด้วย ส่วน SF90 XX Stradale และ SF90 XX Spider รุ่นพิเศษจะยังคงผลิตตามการสั่งจองต่อไปเนื่องจากการส่งมอบจะเริ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 เช่นเดียวรุ่นพิเศษอย่าง Monza SP1 (มนซา เอสพี 1), SP2, Daytona SP3 (เดย์โทนา เอสพี 3) ก็จะทยอยส่งมอบไล่เลี่ยกันในปีนี้ด้วย
อีกรุ่นอย่าง Ferrari Roma สปอร์ท V8 หลังคาแข็ง ที่ยอดส่งมอบลดลงในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 และต้องยุติการผลิตลง เนื่องจากรถคูเปรุ่นเหล่านี้กำลังจะสิ้นสุดการผลิตลงแล้ว โดยรายละเอียดเกี่ยวกับรถรุ่นใหม่ที่มาทดแทน Roma ยังคงคลุมเครือในขณะนี้ ซึ่งเป็นไปได้แน่นอนว่าเราจะยังเห็น Roma Spider ตัวเปิดประทุนอยู่ต่อไปในตลาดอีก 2 ปี เนื่องจากเปิดตัวทำตลาดอายุไม่ถึง 2 ปี และยังเป็นเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบล้วน เปิดประทุนรุ่นเดียวในตลาดด้วย
จนถึงเดือนมิถุนายน 2024 Ferrari ได้ส่งมอบรถไปทั่วโลกกว่า 7,044 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2023 ทำให้เห็นเลยว่าชื่อเสียง และตำนานกว่า 77 ปี ยังคงทำให้ Ferrari มีอนาคตที่ก้าวหน้ากว่าที่เคย เนื่องจากเป็นผู้ผลิตซูเพอร์คาร์ และรถเอสยูวีสมรรถนะสูง ที่มียอดคำสั่งซื้อมากพอที่จะดำเนินการผลิตรถยนต์ในหลากหลายรุ่นต่อไปจนถึงปี 2026 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยความต้องการ และความฝันสำหรับคนรุ่นใหม่ต่อไป
ด้วยแผนการดำเนินงานประจำปี Ferrari เติบโตในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบซูเพอร์คาร์ สร้างประสบการณ์การขับขี่ใหม่ๆ และยังให้คำมั่นสัญญาอีกว่า จะไม่กลายเป็นแบรนด์ที่เน้นเพียง SUV ที่ต้องการยอดขายอย่างคู่แข่งหลายเจ้า ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ Purosangue แตกต่างจากคนอื่น และจะยังจำกัดการผลิตอยู่เพียง 20 % ของการผลิตทั้งหมด
การผสมผสานระหว่างรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน เทอร์โบ และไฮบริดไฟฟ้าแบบพลัก-อิน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Ferrari ยังคงพัฒนาควบคู่ต่อไปกับโรงงาน E-Building ใหม่ล่าสุดที่สามารถผลิต Ferrari EV SUV ไฟฟ้าล้วนคันแรก ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025 เพื่อเข้ามาเขย่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง และนอกจากนี้ ยังมี V6 Hybrid รุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังจะออกสู่ตลาดในชื่อ Ferrari F250 เร็วๆ นี้ตามมาด้วย
ด้วยตัวเลขการผลิต และการพัฒนาที่รุดหน้ากว่าคู่แข่งซูเพอร์คาร์ทั่วโลก จากแบรนด์ที่เกิดขึ้นจากสนามแข่งสู่การผลิตรถยนต์สู่ท้องถนนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก กำลังเป็นที่จับตามองในการเดินหน้าพัฒนารถยนต์หลากหลายรูปแบบอย่างครอบคลุม ทั้ง ICE, Hybrid และ EV เป้าหมายหลัก คือ การรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะผู้นำด้านรถสปอร์ทสมรรถนะสูง พร้อมๆ กับการปรับตัวเข้าสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่อาจทำให้ความหลงใหล และความชื่นชอบของสาวกม้าลำพองจางหายไปเลยแม้แต่น้อย
Ferrari F250 ไฮเพอร์คาร์โมเดลแรกของ Ferrari ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ V12
บทความแนะนำ