ทดลองขับ
Lotus Hyper Drive- Driving Experience ลอง Hypercars ถึง 3 รุ่น
Lotus Cars Thailand จัดงาน Lotus Hyper Drive - Driving Experience ที่ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ เพื่อให้สื่อมวลชนและลูกค้า รวมถึงผู้ชื่นชอบความแรงสไตล์ Lotus ได้สัมผัสถึงประสบการณ์ขับขี่ตามแบบฉบับของ Lotus อย่างแท้จริง สะท้อน DNA ของแบรนด์รถสปอร์ทในตำนาน Formula 1 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 76 ปี
ก่อนหน้านี้ Lotus เปิด Evija สปอร์ท Hypercars ไฟฟ้า 100% เมื่อปี 2020 และตามมาด้วย Eletre เป็น Full Electric Hyper SUV พลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกของโลก เป็นรถ SUV 100% คันแรกของค่าย ที่ผลิต และ ส่งมอบล็อตแรกได้ในช่วงปี 2023 สำหรับตลาดประเทศจีน, อังกฤษ และ ยุโรป ในปีนี้ก็มี Emeya เป็น Full Electric Hyper GT พลังงานไฟฟ้า 100%
ภายใต้แผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของ Lotus จากนี้ถึงปี 2025 จะมีด้วย 4 รุ่น ตามลำดับ
1. Type 132 เป็น E-Segment SUV ในปี 2022 คือ Lotus Eletre
2. Type 133 เป็น 4-Doors Coupe’ ในปี 2023 คือ Lotus Emeya
3. Type 134 เป็น D-Segment SUV ในปี 2024 ยังไม่เปิดเผยชื่อ
4. Type 135 เป็น Sport Coupe’ ในปี 2025 ยังไม่เปิดเผยชื่อ
สำหรับ Lotus ในประเทศไทย นำเข้า และ จัดจำหน่าย โดย Wearnes Automotive ผู้นำเข้า และ จัดจำหน่ายรถยนต์ LOTUS อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จัดงาน Lotus Hyper Drive -Driving Experience เพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนและกลุ่มลูกค้าได้ลองขับ สัมผัสสมรรถนะของ Lotus Eletre ที่เป็น Full Electric Hyper-SUV และ Lotus Emeya ที่เป็น Full Electric Hyper-GT ทั้งรุ่น S กำลัง 603 แรงม้า และรุ่น R กำลัง 905 แรงม้า
ซึ่งในงานครั้งนี้ จัดเต็มไปด้วยกิจกรรมการขับขี่ที่เน้นการปฏิบัติจริงในสนามทดสอบให้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่ครบทุกรูปแบบ ทั้งสมรรถนะการขับขี่ ฟังก์ชั่นการใช้งาน อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และความสบายสำหรับห้องโดยสาร อันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความสปอร์ทระดับพรีเมียม
Lotus Emeya
Lotus Emeya รถไฟฟ้าสปอร์ทซีดาน (The World’s Fastest Electric Hyper-GT 4 Door with Dual Motor) มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
Emeya รุ่นเริ่มต้น : ให้กำลังสูงสุด 603 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 710 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 4.15 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม ได้ในระยะทาง 610 กม. (WLTP) ราคาเริ่มต้น 5.69 ล้านบาท
Emeya S : ให้กำลังสูงสุด 603 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 710 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 4.15 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม ได้ในระยะทาง 540 กม. (WLTP) ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
Emeya R : ให้กำลังสูงสุด 905 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 985 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 2.78 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 256 กม./ชม วิ่งได้ในระยะทาง 485 กม. (WLTP) ราคาเริ่มต้น 6.89 ล้านบาท
Lotus Emeya มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Active รูปทรงสามเหลี่ยมเป็นช่องดักอากาศ และ Splitter สร้างแรงกดด้านหน้าของรถ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนให้กับรถได้ดียิ่งขึ้นเมื่ออยู่ช่วงความเร็วสูง อีกทั้งจุดเด่นของฟังก์ชัน Active Spoiler ด้านหลังขนาดใหญ่ถึง 296 มิลลิเมตร มาในรูปแบบ Dual Layer หรือเรียกว่า Double Wing ช่วยเพิ่มแรงกดถนน (Downforce) ได้มากถึง 215 กิโลกรัม อีกทั้งยังมี Active Rear Diffuser ช่วยลดแรงหมุนของอากาศด้านท้ายรถ และช่วยระบายอากาศใต้ท้องรถให้เร็วขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพในช่วงความเร็วสูง เพิ่มความคล่องตัวได้ทุกรูปแบบในทุกย่านความเร็ว
ตัวถังภายนอกถูกแบบโดยเน้นหลักอากาศพลศาสตร์ มาพร้อมกับแรงเสียดทานต่ำเพียง 0.21 Cd. มอบอรรถรสการขับขี่อย่างเหนือระดับทุกวินาที โดดเด่นด้วยอัตราความเร็วเหนือความคาดหมายจาก 0-100 กม./ชม. ใน 2.78 วินาที รวมทั้งการวางแบทเตอรีให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ ซึ่งทำงานร่วม Anti-roll Control ช่วยรักษาสมดุลในช่วงความเร็วขณะเลี้ยวโค้ง พร้อมช่วงล่างถุงลมเป็นระบบกันสะเทือนแบบ Active ล้อ Forged น้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ ยังมีเทคโลยีจาก NVIDIA ขุมพลังการประมวลผลอัจฉริยะด้วยชิป Dual NVIDIA DRIVE Orin systems-on-a-chip (SoCs) ในการประมวลผลข้อมูลระบบ พร้อมรองรับ Autonomous Driving สูงสุดถึง Level 4 ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยโปรเซสเซอร์ Snapdragon 8155 ล่าสุดของ Qualcomm และซอฟต์แวร์ Unreal Engine 6 ยกระดับความปลอดภัยด้วยเซนเซอร์รอบคันถึง 34 ตัว ทำงานสูงสุด 30 ครั้ง/วินาที เพื่อให้การรับรู้แบบ 360 องศาได้อย่างครอบคลุม โดยการสแกนหาสิ่งกีดขวางในรัศมีสูงสุด 200 ม. รอบรถ เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกสภาพการขับขี่ พร้อมชุดไฟส่องสว่างแบบ Matrix LED ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ สามารถปรับตามสภาพการขับขี่อัตโนมัติ เพื่อให้ความสว่างสูงสุดอย่างต่อเนื่องโดยไม่ส่งผลกระทบกับรถที่วิ่งสวนมา
Emeya S
ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอเตอร์คู่หลังอัตราทด 2 จังหวะ (Dual-Speed) กำลังสูงสุด 603 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร ติดตั้งแบทเตอรี Lithium Ion Polymer ความจุ 112 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 22 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 355 kW พร้อมฝาปิดช่องชาร์จไฟระบบสัมผัส Touch Activated Electric Charging Port Cover
ตัวเลขสมรรถนะจากผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุด ทำได้ 250 กม./ชม. ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 610 กม. (มาตรฐาน WLTP)
Emeya R
ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอเตอร์คู่หลังอัตราทด 2 จังหวะ (Dual-Speed) กำลังสูงสุด 905 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 985 นิวตันเมตร ติดตั้งแบทเตอรี Lithium Ion Polymer ความจุ 112 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 22 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 355 kW พร้อมฝาปิดช่องชาร์จไฟระบบสัมผัส Touch Activated Electric Charging Port Cover
ตัวเลขสมรรถนะจากผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.78 วินาที ความเร็วสูงสุด ทำได้ 256 กม./ชม. ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 485 กม. (มาตรฐาน WLTP)
Lotus Eletre
Lotus Eletre รถไฟฟ้าไฮเปอร์เอสยูวี (Technology & Performance Electric Hyper-SUV) มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
Eletre รุ่นเริ่มต้น : ให้กำลังสูงสุด 603 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 710 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 4.5 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 258 กม./ชม. วิ่งได้ในระยะทาง 600 KM. (WLTP) ราคาเริ่มต้น 5.69 ล้านบาท
Eletre S : ให้กำลังสูงสุด 603 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 710 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 4.5 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 258 กม./ชม. วิ่งได้ในระยะทาง 535 KM. (WLTP) ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
Eletre R : ให้กำลังสูงสุด 905 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 985 นิวตันเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 2.95 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 265 กม./ชม. วิ่งได้ในระยะทาง 450 KM.(WLTP) ราคาเริ่มต้น 6.89 ล้านบาท
Lotus Eletre สร้างบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม Electric Premium Architecture (EPA) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า100% ที่สามารถปรับขนาดแบบ Modular ได้ตั้งแต่ C-Segment ถึง E-Segment โดยโครงสร้างตัวถังทำจาก Carbon Fibre
มิติตัวรถ ยาว 5,103 มม. กว้าง 2,135 (กระจกมองข้างแบบกล้อง) 2,231 (กระจกมองข้างปกติ) สูง 1,630 มม. และฐานล้อยาว 3,019 มม. ขนาดตัวพอๆ Urus
ดีไซน์ภายนอกเน้นช่องลมตามจุดต่างๆ คล้าย Evija เพื่ออากาศพลศาสตร์ และเป็นรถที่ใส่เซนเซอร์ LiDAR (Light Detection and Ranging อุปกรณ์ที่ใช้แสงเพื่อตรวจจับ และ คาดคะเนระยะทางของวัตถุ สำหรับใช้ในระบบ Autonomus Driving หรือ ระบบขับขี่แบบอัตโนมัติ ไร้คนขับ) ซ่อนเนียนแบบ Pop up ติดอยู่ 4 จุดด้วยกัน คือ เหนือซุ้มล้อหน้า 2 ฝั่ง และบนหลังคาหน้า/หลัง รองรับการขับขี่แบบอัตโนมัติ
กันชนหน้าส่วนล่างยังมีช่องลมแอคทีฟลายสามเหลี่ยมกลีบดอกไม้ซึ่งจะปิดเมื่อรถจอดนิ่ง หรือขณะวิ่งเพื่อลดแรงต้านอากาศ และจะเปิดเมื่อต้องการป้อนอากาศเข้าสู่หม้อน้ำลดอุณภูมิทั้ง มอเตอร์ไฟฟ้า แบทเตอรี และเบรกหน้า กระจกมองข้างใช้แบบกล้อง ท้ายรถมีสปอยเลอร์หลังคาแบบแยกส่วน และสปอยเลอร์อีกชิ้นเป็นแบบแอคทีฟบนฝากระโปรงหลัง ไฟท้ายแนวยาวสามารถเปลี่ยนสีได้ 4 สี โชว์ลูกเล่นขณะปลดลอครถได้ รวมถึงเป็นไฟแสดงบอกสถานะขณะชาร์จได้อีกด้วย ล้ออัลลอย ขนาด 22 นิ้ว ระบบเบรค 6-pots
ห้องโดยสารใช้จะเป็นไมโครไฟเบอร์เน้นความทนทาน ผ้าวูลผสมบนที่นั่งซึ่งจะเบากว่าหนังทั่วไป 50% มาตรวัดเรียวเล็กสูงเพียงแค่ 3 ซม. ส่วนกลางติดจอ Infotainment สัมผัส OLED ขนาด 15.1 นิ้ว มีแท่นชาร์จไร้สาย ที่วางแก้ว 2 ช่อง ช่องเก็บของตามแผงประตูและใต้คอนโซลกลางขนาดใหญ่ ระบบเสียงมาตราฐานจะใช้ของ KEF สัญชาติอังกฤษ ลำโพง 15 ตัว 1,380 วัตต์ พร้อม Uni-Q และเทคโนโลยีเสียงเซอร์ราวด์ ถ้ายังไม่พอใจอีกมีอัพเกรดเป็น KEF Reference ลำโพง 23 ตัว 2,160 วัตต์ พร้อม Uni-Q และเทคโนโลยีเสียงเซอร์ราวด์แบบ 3 มิติ
Eletre S
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 603 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 710 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) ความจุแบทเตอรีขนาด 112 kWh อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้ระยะเวลา 4.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 258 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ระยะทาง 490-535 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
Eletre R
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 905 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 985 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) ความจุแบทเตอรีขนาด 112 kWh อัตราเร่งจาก 0-100 กม.ต่อชม. ใช้ระยะเวลา 2.95 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 265 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ระยะทาง 410-450 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
ทั้งคู่รองรับการชาร์จแบบ AC รองรับสูงสุด 22 kW ส่วนชาร์จไวแบบ DC จะรองรับสูงสุด 350 kW ใช้เวลาชาร์จแค่ 20 นาที
โหมดการขับขี่เลือกได้ทั้ง Range, Tour, Sport, Off-Road และ Individual
หลังจากลองขับแบบเต็มรอบสนามครบทั้ง 4 รุ่นแล้ว Lotus ยังจัดกิจกรรมพิเศษ Gymkhana Challenge ให้ลงแข่งจับเวลากันอีกคนละ 2 รอบ แต่จะเป็นขับเจ้า Lotus Emira First Edition สปอร์ทเล็กขับสนุก ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบวางกลาง ได้สัมผัสอรรถรสการขับขี่อันเร้าใจสำหรับเฉพาะรุ่น Lotus Emira First Edition
Lotus Emira
Lotus Emira First Edition รถสปอร์ท เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,991 cc พร้อมเทอร์โบชาร์จ กำลังสูงสุด 360 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 8-Speed Dual Clutch Transmission (DCT) สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 275 กม./ชม. ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.4 วินาทีเท่านั้น
โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ภายนอก เริ่มต้นจากไฟหน้า LED แนวตั้งเป็นมาตรฐาน แบบ Twin blade ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรถรุ่น Lotus Evija ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างรถยนต์ที่ออกแบบอย่างโดดเด่นและปราณีต ส่งต่อเอกลักษณ์มาในรุ่น Emira First Edition
ตัวรถมีน้ำหนักเบาเพียง 1,405 กิโลกรัม ด้วยขนาดความยาว 4,412 มม. ความกว้าง 1,895 มม. ความสูง 1,225 มม. และฐานล้อ 2,575 มม. อีกทั้งการออกแบบรูปทรงโมเดิร์นด้วยพื้นผิวที่ลื่นไหล และเส้นลักษณะที่คมชัด ด้วยรายละเอียดทางเทคนิค อีกทั้งฝากระโปรงหน้าที่มีช่องอากาศโดดเด่นสะดุดตา และช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ที่ตัดเข้าไปในด้านท้ายของรถ เพื่อ Aerodynamic อย่างแท้จริงและขับขี่ที่สปอร์ทจนอยากครอบครอง โดยในประเทศไทย มีให้เป็นเจ้าของเพียง 3 คัน เท่านั้น เปิดราคาเริ่มต้นที่ 10.99 ล้านบาท
อีกทั้ง ไฮไลท์ในงานยังมีรถโชว์รุ่น Lotus Emira V6 First Edition เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร พร้อมกับซูเพอร์ชาร์จเจอร์ Edelbrock 1740 ซึ่งให้กำลังขับเคลื่อนกว่า 400 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร ในงานครั้งนี้