ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สอท. เผยยอดผลิตรถยนต์เดือน มค. 68 ลดลงร้อยละ 24.63
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เผย เดือนมกราคม 2568 ผลิตรถยนต์ 107,103 คัน ลดลงร้อยละ 24.63 ขาย 48,092 คัน ลดลงร้อยละ 12.26 ส่งออก 62,321 คัน ต่ำสุดรอบ 33 เดือน ลดลงร้อยละ 28.13 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 1,665 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 155.37 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 7,022 คัน ลดลงร้อยละ 28.08
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า จำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมกราคม 2568 มียอดดังนี้
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2568 มีทั้งสิ้น 107,103 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 24.63 เพราะผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 31.78 ตามยอดขายที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลงร้อยละ 21.10 ตามยอดส่งออกที่ลดลง
รถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 35,714 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 31.98 โดยแบ่งเป็น
รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 15,970 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 51.09
รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 1,665 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 155.37
รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 2,165 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 439.90
รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 15,914 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 15.36
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนมกราคม 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 71,389 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 20.31
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 70,604 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 18.65 โดยแบ่งเป็น
รถกระบะบรรทุก 10,273 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 36.14
รถกระบะ Double Cab 45,580 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 17.81
รถกระบะ PPV 14,751 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 3.26
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 785 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 71.91
ด้านการผลิตเพื่อส่งออก เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 75,044 คัน เท่ากับร้อยละ 70.07 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 21.10
รถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 13,954 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 49.42
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมกราคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 61,090 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 9.52 โดยแบ่งเป็น
รถกระบะบรรทุก 5,244 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 18
รถกระบะ Double Cab 42,668 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 11.6
รถกระบะ PPV 13,178 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 2.84
สำหรับในส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 32,059 คัน เท่ากับร้อยละ 29.93 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 31.78
รถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 21,760 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 12.68
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมกราคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 9,514 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 50.62 ซึ่งแบ่งเป็น
รถกระบะบรรทุก 5,029 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 48.11
รถกระบะ Double Cab 2,912 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 59.23
รถกระบะ PPV 1,573 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 35.37
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนมกราคม 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุก เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 785 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 71.91
ในส่วนของรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 214,071 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 4.68 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 175,856 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 1.11 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 38,215 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 18.29
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 12.26 เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูง และเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ร้อยละ 2.5 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ จึงขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจาก 4 เดือนเป็น 2 เดือนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น จ้างงานมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้นซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของนายกรัฐมนตรี
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,610 คัน เท่ากับร้อยละ 63.65 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 10.92
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 12,010 คัน เท่ากับร้อยละ 24.97 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 16.44
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 7,022 คัน เท่ากับร้อยละ 14.60 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 28.08
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 965 คัน เท่ากับร้อยละ 2.01 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 884.69
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 10,613 คัน เท่ากับร้อยละ 22.07 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.77
รถกระบะ มีจำนวน 12,261 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 17.51 รถ PPV มีจำนวน 3,102 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 0.91 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 982 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 36.40 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,157 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 19.52
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 156,350 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 1.52
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมกราคม 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 28.13 จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และจากเดือนธันวาคมมีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนมกราคม จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนมกราคมมีรถส่งออกได้น้อยตลาดออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนมกราคม 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
รถกระบะ 38,491 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 61.76 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 25.40
รถยนต์นั่ง ICE 13,151 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 21.10 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 33.80
รถยนต์นั่ง HEV 2,477 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 3.97 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 49.99
รถ PPV 8,202 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 13.16 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 20.38
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 41,445.30 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 31.57
เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,914.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 38.11
ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 14,998.50 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 0.26
อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,183.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 13.84
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 61,541.96 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 22.72
รถจักรยานยนต์
เดือนมกราคม 2568 มีจำนวนส่งออก 72,893 คัน (รวม CBU+CKD) ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 12.02 โดยมีมูลค่า 6,147.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 6.78
ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 177.56 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 19.39
อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 202.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 37.21
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 6,527.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 6.57
เดือนมกราคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 68,069.18 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ20.63
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมกราคม 2568
เดือนมกราคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 14,711 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้วร้อยละ 7.73 โดยแบ่งเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 12,397 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 8.67
รถยนต์นั่ง จำนวน 12,335 คัน
รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 53 คัน
รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 2 คัน
รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 7 คัน
รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 32 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 62.79
รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 2,263 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 0.44
รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 2,262 คัน
รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 1 คัน
รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 2 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้วร้อยละ 90.48
รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 17 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีที่แล้วร้อยละ 142.86
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนมกราคม 2568
เดือนมกราคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 13,545 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้วร้อยละ 4.23 โดยแบ่งเป็น
รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 13,467 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 4.62
รถยนต์นั่ง จำนวน 13,453 คัน
รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 1 คัน
รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 3 คัน
รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 10 คัน
รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 78 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 225
รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 78 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนมกราคม 2568
เดือนมกราคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,074 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้วร้อยละ 14.26 โดยแบ่งเป็น
รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 1,074 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้วร้อยละ 14.26
รถยนต์นั่ง จำนวน 1,071 คัน
รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 3 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 มกราคม 2568
ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 242,076 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 63.85 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 171,617 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.15
รถยนต์นั่ง มีจำนวน 168,318 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 64.77
รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 2,541 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 211.02
รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 82 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 60.78
รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 167 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 178.33
รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน
รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 506 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 143.27
รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 900 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 146.58
รถยนต์สามล้อ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,017 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 12.62
รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีจำนวน 113 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 37.80
รถยนต์รับจ้างสามล้อ มีจำนวน 904 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 10.11
รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 64,837 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 60.35
รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 64,717 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 60.59
รถจักรยานยนต์สาธารณะ มีจำนวน 120 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ11.11
อื่นๆ
รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2,791 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 14.39
รถบรรทุกมีจำนวนทั้งสิ้น 914 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 194.84
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 มกราคม 2568
ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 482,899 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 35.02 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 473,503 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35.86
รถยนต์นั่ง มีจำนวน 472,373 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35.87
รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 497 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.76
รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 75 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 31.58
รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 225 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.35
รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 150
รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 328 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 121.62
รถกระบะ และรถแวนมี จำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9,393 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.13
รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 9,393 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.13
อื่นๆ
รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 31 มกราคม 2568
ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 64,246 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 17.01 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 64,246 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 17.01
รถยนต์นั่ง มีจำนวน 64,171 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 17.02
รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 43 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.88
รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 21 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.67
รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 50
....................................................................................................................
Motor Expo 2024 แจกจริง รถ 3 คัน มอเตอร์ไซค์ 1 คัน
“IMC สื่อสากล” ผู้จัดงาน “มหกรรมยานยนต์” จัดพิธีมอบรางวัลรถยนต์ 3 คัน จักรยานยนต์ 1 คัน แก่ผู้โชคดีที่ร่วมกิจกรรมชิงรางวัลจากงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ดังนี้
กิจกรรม "ซื้อรถ...ชิงรถ" รถยนต์ The Kia EV5 (เธอะ เกีย อีวี 5) รุ่น Light (ไลท์) มูลค่า 1,299,000 บาท ผู้รับรางวัล ได้แก่ อิทธิชัย พรหมประเทือง
กิจกรรม "ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิกไบค์" รถจักรยานยนต์ Triumph (ทไรอัมฟ์) รุ่น Scrambler 1200 X (สแกรมบเลอร์ 1200 เอกซ์) มูลค่า 599,000 บาท ผู้รับรางวัล ได้แก่ ไกรสร หนูด้วง
กิจกรรม "ซื้อบัตร...ชิงรถ" รถยนต์ Mazda (มาซดา) รุ่น New CX-3 Base Plus (ซีเอกซ์-3 เบส พลัส) ใหม่ มูลค่า 830,000 บาท ผู้รับรางวัล ได้แก่ ชมาพล ยิ้มน้อย
กิจกรรม "ชมงานผ่าน Motor Expo App ชิงรถ" รถยนต์ Suzuki (ซูซูกิ) รุ่น Swift GL (สวิฟท์ จีแอล) มูลค่า 567,000 บาท ผู้รับรางวัล ได้แก่ แพงจันทร์ เภาตะนะ
....................................................................................................................
Maserati เปิดตัว Gran Cabrio
Maserati ประเทศไทย เบิดตัว Gran Cabrio (กรัน กาบริโอ) ใหม่ สปอร์ทเปิดประทุน เปรียบกับเวอร์ชันเปิดประทุนของรุ่น Gran Turismo (กรัน ตูริสโม) ภายใต้คอนเซพท์ Drive Like The Best is Yet to Come ผลิตที่อิตาลี มาพร้อม 2 สไตล์ความแรง ทั้งรุ่น Trofeo (ทโรเฟโอ) เครื่องยนต์ Nettuno พลังแรงง และ Folgore (โฟลโกเร) ขับแคลื่อนด้ายไฟฟ้า 100 %
ปิยะเทพ ศิวากาศ ผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการ Maserati ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบมียอดขายที่ลดลง ซึ่งในส่วนของรถลักชัวรี ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย Maserati (มาเซราตี) มียอดส่งมอบรถรวม 50 คัน แต่สำหรับปีนี้ Maserati ยังนับว่าตลาดยังให้การตอบรับ เนื่องจากรถในกลุ่มลักชัวรีหากมีรถใหม่เข้ามาในตลาดก็จะส่งผลให้มียอดขายที่เติบโต โดยที่ผ่านมา Maserati มีรถรุ่นใหม่มาแนะนำโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่สะท้อนให้เหนความแตกต่างของการเติบโต
สำหรับปีนี้ Maserati พร้อมแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย ที่จะได้สัมผัสกับยนตกรรมเปิดประทุนสุดหรู ที่เป็นตำนานของ Maserati Gtan Cabrio ที่ได้รับการพัฒนาแบบคู่ขนาน โดยเปิดพร่อมกัน 2 รุ่น 2 สไตล์ คือ Gran Cabrio Trofeo เครื่องยนต์สันดาป Nettuno พลังแรง สำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบความคลาสสิค และรุ่นขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100 % Gran Cabrio Folgore เทคโนโลยีจากสนามแข่ง
Maserati Gran CabrioTrofeo ติดตั้งเครื่องยนต์สันดาป Nettuno เบนซิน วี 6 สูบ ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร 550 แรงม้า (CV) ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมา สะท้อนสมรระนะเหนือระดับตามแบบฉบับของค่ายตรีศูล ขณะที่ Maserati Gran Cabrio Folgore ใช้เทคโนโลยีจากสนามแข่ง Formula E สุดยิดรายการแข่งรถยนต์ไฟฟ้าชิงแชมพ์โลก อาทิ แบทเตอรี 800 โวลท์ ขับเคลื่อนด้วยพลัง 761 แรง ม้า (CV) แรงบิดมหาศาล 1,350 นิวทันเมตร จาก 3 มอเตอร์ไฟฟ้า (หน้า 1 หลัง 2) และใช้เทคโนโลยีการติดตั้งแบทเตอรีกับโครงสร้างรถเป็นทรงคล้ายตัวอักษร T ส่งผลให้ตำแหน่งการขับสามารถทำได้ดี และมีดีไซจ์นแบบรถสปอร์ทพันธุ์แท้ อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างตัวถัง เดินหน้าสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งอนาคต จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 18,900,000 บาท*
Maserati Gran Cabrio มอบความสะดวกสบายสูงสุดไม่ว่าจะเดินทางใกล้ หรือไกล ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive พร้อมหลังคาเปิดประทุนที่พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ ในการสัมผัสกับอากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ผลิตจากผ้าใบคุณภาพสูง มีให้เลือกถึง 5 สี ผู้ขับสามารถควบคุมการใช้งานได้ง่ายเพียงกดปุ่มที่แผงหน้าปัด และใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยเมื่อพับเก็บในท้ายรถแบบอัต โนมัติ ใช้เวลาเพียง 14 วินาที รวมถึงเปิดใช้งานได้ในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ขณะเดียวกันก็ยังคงความสวยงาม มีบุคลิกพิเศษ โดดเด่นไม่เหมือนใครในทุกมุมมอง
ห้องโดยสารนั่งสบายสำหรับผู้โดยสาร 4 คน เหมาะสำหรับเดินทางท่องเที่ยว เปิดหลังคาท้าสายลม ดื่มด่ำความสุนทรีย์สไตล์อิตาเลียนที่เป็นเอกลักษณ์ โดยหนึ่งในตัวเลือกพิเศษ คือ แผ่นบังลม เหมาะสำหรับการใช้งานเมื่อมีผู้โดยสาร 2 คน และสามารถพับเก็บได้ ช่วยลดกระแสลมปั่นป่วนในห้องโดยสาร ช่วยเพิ่มความรื่นรมย์ในการขับได้อย่างเต็มที่
Maserati ให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซจ์น และทุกรายละเอียด ผสมผสานสมรรถนะ และความสนุกในการขับ นอกจากนี้ ความเหนือชั้นของเทคโนโลยีที่เป็นจุดเด่น และแตกต่าง ผ่านการสรรค์เป็นระ บบอินโฟเทนเมนท์ และบริการช่วยเหลือผู้ขับ ที่การันตีความปลอดภัย และความสุนทรีย์ในทุกเส้นทาง พร้อมจะสร้างประสบการณ์ในการเดินทางที่เหนือระดับ รักษาสมดุลระหว่างความงดงามในดีไซจ์น และการใช้งานที่เปี่ยมอรรถประโยชน์
Maserati Gran Cabrio ใหม่** เป็นยนตรกรรมเปิดประทุนระดับลักชัวรี ดีไซจ์นหรูหรา และร่วมสมัย ผลสำเร็จจากการผสมผสานประสิทธิภาพเหนือระดับ เข้ากับดีไซจ์นแห่งยนตรกรรมที่สวยงาม และเป็นเอกลักษณ์ตลอดกาล ยกระดับการเดินทาง ผ่านการสร้างความสุนทรีย์ของการขับ ผสานการหลอมรวมของทัศนียภาพ และจิตวิญญาณแห่งนักเดินทางอย่างแท้จริง จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 14,900,000 บาท*
*ราคารวม Warranty 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
** Battery Warranty นาน 8 ปี หรือ 160,000 กม.
..................................................................................................................
MINI เดินสายการผลิต Countryman
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ประกาศเดินหน้าผลิต MINI Countryman (มีนี คันทรีแมน) ที่โรงงานการผลิตอันทันสมัยในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิที จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นการกลับมาผลิตรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทยอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี การตัดสินใจครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย และภารกิจในการตอบสนองความต้องการรถยนต์ระดับพรีเมียมในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมพร้อมนำเสนอราคาที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้าในประเทศ
เอริค รูเก กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีความภาคภูมิใจที่ได้กลับมาประกอบรถยนต์ MINI Country man ในประเทศไทยอีกครั้ง การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อตลาดไทย และความเชื่อมั่นในศักยภาพของรถยนต์รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงรุ่นนี้ โรงงานผลิตของเราในประเทศไทยดำเนินงานภายใต้มาตรการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่า MINI Countryman ทุกคันได้มาตรฐานการประกอบระดับสูง ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศนี้ทำให้เราสามารถส่งมอบยนตรกรรมที่ผสานความโดดเด่นด้านดีไซจ์น และความสนุกในการขับขี่เข้ากับความน่าเชื่อถือได้อย่างลงตัว
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้พัฒนากระบวนการผลิตที่มีความยืดหยุ่น สามารถรองรับการผลิต MINI Countryman S All4 (มีนี คันทรีแมน เอส ออลล์ 4) ทั้งรุ่น Classic และ Hightrim บนสายการผลิตเดียวกัน ณ โรงงานระยอง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงสำหรับผู้บริโภค ส่งผลให้ MINI Countryman เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าชาวไทยที่มองหารถยนต์ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมคุณภาพมาตรฐานระดับโลก
MINI Countryman รถขวัญใจแฟนๆ ผลิตในประเทศไทย พร้อมลุยทุกเส้นทาง
MINI Countryman S All4 มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย และสเป็คระดับสูงที่ตอบรับกับทุกความต้องการของผู้ขับขี่ยานยนต์ในยุคปัจจุบัน ไล่ตั้งแต่ขุมพลังจากเครื่องยนต์อันทรงพลัง ไล่ไปจนถึงระบบอินโฟเทนเมนท์ชั้นนำของวงการ โดยในทุกองค์ประกอบของ MINI Countryman ต่างได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่จากยนตรกรรมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้
MINI Countryman S All4 มีดีไซจ์นสวยสะอาดตาซึ่งชนะใจแฟนๆ MINI ในไทยตั้งแต่การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2567 ด้วยความโดดเด่นจากเรื่องโครงสร้างตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ MINI ทั้งหน้าสั้น ท้ายยาว ฐานล้อที่ยาวขึ้น และกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม เติมสีสันให้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าด้วยตัวเลือกสีใหม่ น้ำเงิน Slate Blue ตัดกับหลังคาสีดำ Jet Black โดยในรุ่น Classic เลือกใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ดีไซจ์น Asteroid Spoke และรุ่น Hightrim มาพร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้วแบบทูโทน ดีไซจ์น Kaleido Spoke
ด้านเครื่องยนต์และสมรรถนะ MINI Countryman S All4 ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี Twin Power Turbo ที่แฟนๆ MINI รู้จัก และคุ้นเคย ส่งกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า และแรงบิด 300 นิวทันเมตร ลงสู่ล้อทั้ง 4 ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All4 ทั้งรุ่น Classic และ Hightrim มอบสมรรถนะ และความคล่องตัวระดับเดียวกัน ด้วยอัตราการเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ที่ 7.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 228 กม./ชม.
สำหรับชุดแต่งภายนอก ทั้งรุ่น Classic และ Hightrim ติดตั้งไฟหน้า LED พร้อมระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติมาให้ทั้งคู่ เช่นเดียวกับฝาครอบกระจกข้างสีดำ และรางสำหรับขนสัมภาระบนหลังคารถ รุ่น Hightrim โดดเด่นกว่าด้วยบรรยากาศที่แตกต่างในห้องโดยสาร เปิดรับสภาพแวดล้อมภายนอกผ่านหลังคากระจกแบบพาโนรามา ส่วนรุ่น Classic ก็ยังสวย สะดุดตาทั่วทั้งห้องโดยสาร ด้วยพวงมาลัยแบบสปอร์ท เบาะนั่งคนขับแบบ Active Seat เบาะหลังปรับได้ แท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน และหน้าจอ OLED ทรงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจของการออกแบบห้องโดยสารในมีนีเจเนอเรชันนี้ ทั้งยังเป็นประตูสู่ฟังค์ชันอำนวยความสะดวกมากมายจาก MINI Connected และจุดชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายอีกด้วย
ส่วนรุ่น Hightrim ยกระดับความหรูหราภายในไปอีกขั้น ด้วยเบาะนั่งสไตล์สปอร์ทแบบ John Cooper Works เพดานห้องโดยสารมาดขรึมในสีดำ Anthracite และระบบเสียงเซอร์ราวนด์จาก Har man Kardon ส่วนวัสดุในรุ่น Classic เลือกหุ้มเบาะนั่งด้วยผ้า และหนังเทียม Vescin สีดำตัดน้ำเงิน และรุ่น Hightrim ใช้หนังเทียม Vescin ล้วนในโทนสีน้ำตาล Vintage Brown และดำ Dark Petrol
MINI Countryman S All4 ใหม่ ทั้ง 2 รุ่นย่อย มอบความมั่นใจบนทุกเส้นทางด้วยตัวช่วยครบครันสำหรับการขับขี่ และเข้าจอด ทั้ง Dynamic Stability Control (DSC), Dynamic Brake Control (DBC), Park Distance Control (PDC) ระบบแจ้งเตือนการชนหลังเกิดอุบัติเหตุ และอื่นๆ อีกมากมาย
MINI Countryman S All4 มีให้เลือก 6 สีด้วยกัน ได้แก่ น้ำเงิน Slate Blue, เขียว Smokey Green, น้ำเงิน Blazing Blue, ขาว Nanuq White, เงิน Melting Silver และแดง Chili Red II
MINI ประเทศไทย พร้อมนำเสนอราคา MINI Countryman S All4 ในราคาเริ่มต้นที่ 2,599,000 บาท สำหรับรุ่น Classic และ 2,799,000 บาท สำหรับรุ่น Hightrim
โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง : ความเป็นเลิศด้านการผลิตในประเทศไทย
บีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เริ่มดำเนินสายการผลิตตั้งแต่ปี 2543 โดยมีพื้นที่การผลิตครอบคลุมมากกว่า 253,000 ตรม. ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิที จังหวัดระยอง ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 114 กม. (70 ไมล์)
ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นต่างๆ ทั้งหมด 18 รุ่น โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์ BMW (บีเอมดับเบิลยู) และ MINI มากกว่า 30,000 คัน/ปี และรถจักรยานยนต์ BMW Motorrad (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) สูงสุดที่ 15,000 คัน/ปี ส่งผลให้เป็นหนึ่งในโรงงานประกอบรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด ทั้งยังมีความพร้อมในด้านบุคลากรไทยที่มีทักษะสูง และมีความทุ่มเทในการทำงาน โดยยานยนต์จากทั้ง 3 แบรนด์ (BMW MINI และ BMW Motorrrad ได้รับการผลิตในประเทศที่โรงงานระยอง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งเดียวในเครือข่ายการผลิตทั่วโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีการผสมผสานกระบวนการผลิตในลักษณะนี้ นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2543 บีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของ BMW ในตลาดไทย และจะยิ่งมีศักยภาพเพิ่มขึ้นจากการนำ MINI Countryman กลับมาผลิตในประเทศในครั้งนี้
...................................................................................................................
Great Wall Motor เปิดโรงงานแนะนำแบทเตอรี
Great Wall Motor (ประเทศไทย) ผู้นำตลาดรถยนต์ระดับโลก พร้อมยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ชำแหละทุกชิ้นส่วนของแบทเตอรีแรงดันสูงของ GWM ORA Good Cat พร้อมเผยรายละเอียดศักยภาพความปลอดภัยที่เหนือชั้น และเบื้องหลังเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของรถยนต์ไฟฟ้า GWM ORA Good Cat ที่เป็นผลลัพธ์ของการวิจัย และพัฒ นาของ Great Wall Motor (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับสูงสุด เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วโลกและในประเทศไทยมั่นใจและอุ่นใจกับการใช้น้องเหมียวไฟฟ้าในทุกเส้นทาง โดย GWM ORA Good Cat ได้ถูกขนานนามว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง สามารถปกป้องผู้ขับขี่ และผู้โดยสารจากทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ Great Wall Motor (ประเทศไทย) กล่าวว่า องค์ประกอบสำคัญ 4 ด้านที่การันตีความปลอดภัยขั้นสูงของ GWM ORA Good Cat ประกอบด้วย โครงสร้างตัวถังรถที่แข็งแกร่ง แบทเตอรีที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านความปลอดภัยสุดอัจฉริยะ ระบบความปลอดภัยเชิงแก้ไข (Passive Safety) และเชิงป้องกัน (Active Safety) รวมถึงการรับรองมาตร ฐานความปลอดภัยจากเวทีระดับโลก
Great Wall Motor ได้มีการนำเหล็กกล้าคุณภาพสูงมาใช้ในการผลิต และประกอบรถยนต์พลังงานใหม่ในทุกๆ รุ่น ซึ่ง GWM ORA Good Cat มีตัวถังที่ใช้เหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงถึง 71.71 % ของส่วนประกอบทั้งหมด ประกอบไปด้วย เหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูง 31.89 % เหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงพิเศษ 24.89 % และเหล็กกล้าที่ผ่านการขึ้นรูปด้วยความร้อน 14.93 % ที่สามารถต้านทานแรงดึงได้สูงถึง 1,520 Mpa และสามารถทนแรงกดได้มากกว่า 10 ตัน อีกทั้งโครงสร้างของตัวรถได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นกรงทรงกลมเพื่อให้สามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดแรงกระแทกจากด้านข้าง โดยโครงสร้างด้านหน้าจะมีการออกแบบการกระจายแรงใน 3 ทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วยให้แรงชนถูกกระจาย ถ่ายโอน ผ่านส่วนบน กลาง และล่างของโครงสร้างรถ โดยจะทำงานร่วมกับแผ่นเสริมแรงบริเวณเสา B ของรถยนต์ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่จุดรับแรงที่สำคัญ ผนวกกับคานเสริมผนังกั้นด้านหน้าที่เชื่อมต่อกับเสา A ของรถยนต์ ช่วยปกป้องโครงสร้างรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของด้านหลังของรถยนต์มีโครงสร้างคานยาวด้านหลังออกแบบให้เป็นแนวตรง ผลิตจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวถัง ลดการเสียรูป และความเสียหายของรถยนต์แม้เกิดการชนท้าย
แบทเตอรีแรงดันสูงของ GWM ORA Good Cat ผลิตจากโรงงาน SVOLT Energy ในประเทศไทย มีจุดเด่น 4 ประเภท ได้แก่ การปกป้องจากการกระแทก ความต้านทานการกัดกร่อน ความทน ทานต่อไฟ และป้องกันการระเบิดได้ดี คุณสมบัติเหล่านี้ทำจากวัสดุนวัตกรรมใหม่ โดยมีวาล์วระบายความดันป้องกันการระเบิด และการควบคุมอุณหภูมิ ตัวแบตเตอรี่มีวัสดุฝาครอบบน (Upper Shell ) ทำจากวัสดุ SMC (Sheet Molding Compound) ซึ่งสามารถทนทานไฟ ป้องกันการลุกไหม้ มีความแข็งแรงสูง ส่วนวัสดุฝาครอบล่าง (Lower Shell) เป็นแผ่นเหล็กหนา 1.2 มม. มีการเคลือบพื้นผิวซึ่งทำจากอลูมิเนียมอัลลอยซีรีส์ 6 ซึ่งทนต่อการกัดกร่อน และมีความแข็งแรงสูงสามารถทนต่อแรงกด 25 kN (เทียบเท่ากับวัตถุน้ำหนัก 2.551 ตัน) ส่วนขอบด้านข้างของแบทเตอรีสามารถทนต่อแรงกด 100 kN (เทียบเท่ากับวัตถุน้ำหนัก 10.2 ตัน) แบทเตอรีแพคมีคุณสมบัติ คือ น้ำหนักเบา มีความแข็งแรงสูง ทนต่อแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือนได้ดี สามารถป้องกันการกัดของสัตว์ และช่วยปกป้องชุดแบทเตอรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งาน
นอกจากนี้ จุดเริ่มต้นของความปลอดภัยใน GWM ORA Good Cat เริ่มต้นที่เซลล์แบทเตอรี โดยมีเทคโนโลยีแบทเตอรีรูปทรงใบมีดสั้น (Short Blade Battery) ที่เพิ่มประสิทธิภาพ และความปลอด ภัยขั้นสูง ด้วยโครงสร้างเซลล์ลิเธียมเหล็กฟอสเฟท (LiFePO4) ซึ่งมีความเสถียรสูงและทนทาน สามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิระหว่าง -30 ถึง 60 องศาเซลเซียส ในช่วงความกดอากาศ -150 ถึง 5,000 ม. จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และภายใต้สภาวะความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 2 ถึง 98 % เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นในประเทศไทย นอกจากนี้ แต่ละเซลล์แบทเตอรียังมีการติดตั้งวาล์วป้องกันการระเบิดที่สามารถระบายแรงดันออกทางด้านข้าง เพื่อลดความเสี่ยงจากแรงดันที่มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น การจัดวางแบบ CTP Matrix ยังช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน ลดการใช้พื้นที่ และช่วยกระจายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แบทเตอรีมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น พร้อมรับประกันประสิทธิภาพที่เสถียรแม้ในสภาวะการใช้งานที่ท้าทายได้อีกด้วย
ในขณะที่กระบวนการประกอบแบทเตอรีของ GWM ORA Good Cat ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอน พร้อมระบบติดตามพารามิเตอร์ที่ละเอียดและแม่นยำเพื่อรับรองคุณภาพ และความปลอดภัยสูงสุด ในระหว่างการประกอบนั้น มีการตรวจสอบทุกจุดเชื่อมต่อสายไฟ ด้วยระบบติดตามที่สามารถตรวจวัดแรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิ กระแสไฟ และการส่งสัญญาณได้อย่างแม่นยำ กระบวน การตรวจสอบนี้ยังรวมถึงการทดสอบความทนทานต่อแรงกระแทก ความต้านทานต่อการกัดกร่อน และการป้องกันการรั่วซึมของของเหลวด้วยมาตรฐาน IPX9K และ IP67 ได้อีกด้วย ซึ่งแบทเตอรี GWM ORA Good Cat ผ่านการทดสอบที่เข้มงวด ทั้งการตกจากความสูง 1 ม. และการทดสอบการกัดกร่อนโดยการพ่นน้ำเกลือเป็นเวลา 40 วัน การแช่น้ำลึก 1 ม. นาน 1 ชม. โดยไม่มีการรั่วไหล ไม่มีการลัดวงจร ไม่เกิดสนิม การรั่วซึม ไฟไหม้ หรือระเบิด ด้วยมาตรฐานการประกอบที่พิถีพิถัน และให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยสูงสุดนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าแบทเตอรี GWM ORA Good Cat พร้อมมอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมและความปลอดภัยขั้นสูงอย่างแท้จริง
สำหรับระบบการจัดการแบทเตอรี หรือ Battery Management System (BMS) ของ GWM ORA Good Cat ได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัยสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะที่สามารถตรวจสอบ และควบคุมสถานะของแบทเตอรีได้แบบเรียลไทม์ ทั้งแรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิ สภาพการชาร์จ (SOC) สภาพสุขภาพของแบทเตอรี (SOH) การควบคุมคอนแทคเตอร์ (Contactor) และการจัด การแรงดันสูง พร้อมระบบวิเคราะห์ และแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างแม่นยำ โดย BMS ทำหน้าที่เสมือนสมองของมนุษย์ ที่จะสามารถตรวจจับความผิดปกติ และดำเนินการตามระดับความรุนแรงที่กำหนดไว้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อการทำงานของระบบ ไปจนถึงข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ต้องหยุดระบบทันที นอกจากนี้ เมื่อตรวจพบแรงกระแทก หรืออุบัติเหตุ ระ บบไฟฟ้าจะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติภายในเวลาเพียง 0.1 วินาที เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าลัดวงจร และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างทันท่วงที
GWM ORA Good Cat มาพร้อมถุงลมนิรภัยถึง 6 ตำแหน่ง เสริมความปลอดภัยรอบตัวคันรถ พร้อมลดความรุนแรงให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารอันเนื่องมาจากการชน และการกระแทก ประกอบไปด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ช่วยปกป้องศีรษะ และหน้าอกของผู้ขับขี่และผู้โดยสารแถวหน้า ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บร้ายแรง ถุงลมนิรภัยด้านข้าง พองตัวบริเวณแผงประตู ป้องกันการกระแทก และเศษกระจก พร้อมเสริมการป้องกันช่วงกลาง และช่วงล่างของร่างกาย และม่านถุงลมนิรภัย คลุมหน้าต่างทั้ง 2 ฝั่ง ปกป้องศีรษะ และใบหน้าจากการชนด้านข้าง ยิ่งไปกว่านั้น GWM ORA Good Cat ยังมาพร้อมกับ 2 ปุ่มฉุกเฉิน ได้แก่ ปุ่ม SOS สำหรับกดโทรออกในกรณีฉุกเฉินเมื่อเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมส่งพิกัดตำแหน่งเพื่อขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าหน้าที่ได้อย่างทันท่วงที และปุ่ม Call Center สำหรับกดโทรออกเพื่อขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าหน้าที่ Call Center โดยตรง จากทั้งตัวถัง ถุงลมนิรภัย และปุ่มฉุกเฉินที่ถูกคิดค้น และผลิตด้วยความพิถีพิถันทำให้ GWM ORA Good Cat สามารถดูดซับแรงกระแทก และลดความเสี่ยงในการที่ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารจะได้รับผลกระทบจากการชนรุนแรงที่ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ GWM ORA Good Cat ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบความปลอดภัยสำหรับการขับขี่แบบอัตโนมัติในระดับ L2+ ที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจ เช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 และระบบอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ได้อย่างครบครัน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับพแลทฟอร์มโมดูลาร์อัจฉริยะที่มีการเสริมความปลอดภัยในการขับขี่อย่าง GWM E-Lemon ด้วยน้ำหนักเบาจึงช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่ง การเบรค และการควบคุมพวงมาลัยได้อย่างฉับไว อีกทั้งพแลทฟอร์มดังกล่าวยังผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการขับขี่บนถนนที่มีพื้นผิวที่ขรุขระ และสภาพแวดล้อมแบบสุดขั้วได้อย่างเต็มรูปแบบ
จากเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่อัดแน่นมาแบบครอบคลุมใน GWM ORA Good Cat ส่งผลให้ได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัยจากเวที และมาตรฐานต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ทั้งการรับรองความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จาก Australasian New Car Assessment Program (ANCAP) และจาก European New Car Assessment Programme (Euro NCAP) ซึ่งทั้ง 2 สถาบันเป็นสถาบันประเมินรถยนต์ใหม่ตามมาตรฐานออสตราเลเซีย และยุโรปตามลำดับ นอกจากด้านความปลอดภัยแล้ว Great Wall Motor ยังได้รับการประเมินสุขภาพยานยนต์ของจีน (C-AHI) กับคะแนนระดับ 5 ดาวในทุกๆ ด้าน การรับรองมาตรฐานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระดับ 5 ดาว จาก การวัดประสิทธิภาพที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปี 2566 หรือ Green NCAP 2023 และรางวัลรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายที่ดีที่สุดในประเทศไทย ปี 2565 เรียกได้ว่าเจ้าเหมียวไฟฟ้าคันนี้ได้รับการยอมรับจากทั้งประเทศไทย และต่างประเทศได้เป็นอย่างดีในฐา นะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เต็มไปด้วยความปลอดภัยในทุกสถานการณ์ได้อย่างรอบด้าน
ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงที่ครอบคลุมในทุกมิติ GWM ORA Good Cat จึงเป็นยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100 % ที่มอบความมั่นใจ อุ่นใจ ให้แก่ผู้ใช้งานในทุกการเดินทาง ผ่านเทคโน โลยี และนวัตกรรมที่ออกแบบระบบความปลอดภัยมาเพื่อปกป้องและป้องกันทุกชีวิตใน GWM ORA Good Cat ได้อย่างรอบด้าน จนเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นสำคัญที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าทุกคน ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ที่ Great Wall Motor มอบให้แก่รถ GWM ORA Good Cat ทุกคัน มีทุนประกันที่ครอบคลุมราคารถ 100 % เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ลูกค้าก็จะได้รับค่ารถคืนเต็มจำนวนจากบริษัทประกันภัยอีกด้วย
..................................................................................................................
ไทยฮอนด้าฯ เปิดตัว New Honda Giorno+ SC35 ThaiGP Limited Edition
ไทยฮอนด้าฯ เปิดตัวรถจักรยานยนต์ลายพิเศษ New Honda Giorno+ SC35 ThaiGP Limited Edition ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากลายรถแข่ง MotoGP ของ ก้อง-สมเกียรติ จันทรา นักแข่งไทยคนแรกที่ได้โลดแล่นในสนามความเร็วสุดยิ่งใหญ่อย่าง MotoGP ในปีนี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์รุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัด 99 คันในโลกเท่านั้น โดยเตรียมเปิดให้จองที่ Honda Exhibition Hall ในงาน PT Grand Prix of Thailand 2025 ระหว่างวันที่ 1-2 มีนาคม 2568 นี้
สำหรับ New Honda Giorno+ SC35 ThaiGP Limited Edition ได้นำเสนอลวดลายที่สะท้อนจากรถแข่งที่ ก้อง-สมเกียรติ จันทรา จะใช้ลงแข่งใน ThaiGP 2025 นี้ พร้อมถ่ายทอดทุกความภาคภูมิ ใจจากความมุ่งมั่น และความทะเยอทะยานของ ก้อง-สมเกียรติ ที่เริ่มต้นไล่ล่าความฝันจาก Honda Racing School สู่การคว้าแชมพ์ระดับเยาวชนจนก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งระดับโลกในรุ่น Moto2 ที่ได้สร้างผลงานก้องโลกจนกลายเป็นนักแข่งคนไทยคนแรกที่ได้มีโอกาสโลดแล่นในสนามความเร็วสุดยิ่งใหญ่อย่าง MotoGP
เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จก้าวแรกของก้องในการเข้าร่วมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไทยฮอนด้าฯ พร้อมเปิดโอกาสสุดพิเศษให้แฟนพันธุ์แท้มอเตอร์สปอร์ทได้เป็นเจ้าของรถ New Honda Giorno+ SC35 ThaiGP Limited Edition ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 99 คันเท่านั้น ราคาแนะนำที่ 74,400 บาท โดยเปิดจองผ่านแอพพลิเคชัน Krungsri GO ที่ Honda Exhibition Hall ในงาน PT Grand Prix of Thailand 2025 ที่เดียวเท่านั้น ! ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2568 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป
Triumph เปิดตัวรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่
Triumph Motorcycles เปิดตัว 2 รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ New Trident 660 (ทไรเดนท์ 660) ใหม่ รถจักรยานยนต์ตระกูล Roers ที่ได้อัพเกรดให้มีสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นเพื่อผู้ขับขี่มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ต่อด้วย New Tiger Sport 660 (ไทเกอร์ สปอร์ท 660) ใหม่ รถจักรยานยนต์ตระกูล Sport มาพร้อมกับสมรรถนะเครื่องยนต์ 3 สูบอันเป็นเอกลักษณ์ และการควบคุมที่คล่องตัวยิ่งขึ้น
ชินศักดิ์ กิตติอมรกุล ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า Triumph (ทไรอัมฟ์) ประเดิมความร้อนแรงตั้งแต่ต้นปีเปิดตัว 2 รถจักรยาน ยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ได้แก่ New Trident 660 รถจักรยานยนต์ Roers ที่ได้พัฒนาให้มีสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น โดยมาพร้อมขุมกำลังเครื่องยนต์ 3 สูบขนาด 660 ซีซี ให้พละกำลังสูงสุดที่ 81 แรงม้า ที่ 10,250 รตน. แรงบิดสูงสุด 64 นิวทันเมตร ที่ 6,250 รตน. ทำให้ได้เสียงเครื่องยนต์ 3 สูบที่ทรงพลัง และเร้าใจ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นเพื่อผู้ขับขี่มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ระบบ Optimised Cornering ABS ระบบ Triumph Shift Assist ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ขึ้น และลงได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องใช้คลัทช์ และ Cruise Control ที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ ไปจนถึงจอแสดงผลแบบ TFT ที่ได้รับการติดตั้งระบบ MyTriumph Bluetooth Connectivity เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมโทรศัพท์ เพลง และสามารถใช้ระบบนำทางแบบ Turn-by-Turn ได้ นอกจากนี้ ยังมาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ที่เพิ่มโหมด Sport ใหม่ เป็นต้น
ในขณะที่การควบคุมรถส่งมอบความมั่นใจ ตั้งแต่ตำแหน่งการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติด้วยความสูงของเบาะที่เข้าถึงได้ง่ายที่ 805 มม. และความกว้างของเบาะที่แคบทำให้เท้าของผู้ใช้งานสามารถสัม ผัสพื้นได้ ขณะที่ความสมดุลของตัวรถ ระบบคลัทช์ช่วยผ่อนแรง Slip & Assist รวมถึงระบบส่งกำลังที่นุ่มนวล ทำให้รถรุ่นนี้เหมาะอย่างยิ่งกับการขับขี่ในเมืองที่หนาแน่น ด้านระบบกันสะเทือนคุณ ภาพสูง และเบรคอันทรงพลัง มาพร้อมชอคอับหน้าหัวกลับ Showa ขนาด 41 มม. ซึ่งได้รับการอัพเกรดด้วยระบบกันสะเทือน Showa SFF-BF แบบลูกสูบใหญ่ เพื่อความสบาย และการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น และระบบกันสะเทือนหลัง Showa แบบปรับพรีโหลดได้ รวมถึงจานเบรคคู่ Nissin ขนาด 310 มม. และยาง Michelin Road 5 ที่เกาะถนนได้ยอดเยี่ยม
ส่วนด้านการออกแบบมาในสไตล์ Retro-Modern อันเป็นเอกลักษณ์ของ Trident ผสานความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่ไร้ที่ติของ Triumph ทำให้รถรุ่นนี้แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายและรูปลักษณ์ที่ทรงพลังอัน นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งที่ได้รับการอัพเกรด รวมถึงประกับแฮนด์อลูมิเนียม และแป้นเบรคอลูมิเนียม ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเพิ่มการปกป้อง ความสะดวกสบาย สไตล์ สัมภา ระ และความปลอดภัยได้ ด้วยอุปกรณ์เสริมแท้ Triumph มีให้เลือกถึง 45 รายการอีกด้วย
ทั้งนี้รถจักรยานยนต์ Triumph New Trident 660 ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 319,000 บาท มีสี และธีมกราฟิคใหม่ให้เลือก ได้แก่ สี Cosmic Yellow, Cobalt Blue และ Diablo Red ซึ่งมาพร้อมสี Sapphire Black และคาดแถบเฉียงสีขาว รวมถึงมีสี Jet Black ให้จับจองเป็นเจ้าของ
ต่อด้วย New Tiger Sport 660 รถจักรยานยนต์ตระกูล Sport รุ่นล่าสุด ที่ได้พัฒนาเพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้แก่การเดินทางทั้งในเมือง และแบบทัวริง โดยมาพร้อมสมรรถนะสไตล์สปอร์ทจากเครื่องยนต์ 3 สูบอันเป็นเอกลักษณ์ขนาด 660 ซีซี ให้พละกำลังสูงสุด 81 แรงม้าที่ 10,250 รตน. และแรงบิดสูงสุด 64 นิวทันเมตรที่ 6,250 รตน. มอบกำลังที่นุ่มนวล การตอบสนองฉับไว และต่อเนื่องในทุกครั้งที่บิดคันเร่ง อีกทั้งได้เพิ่มเทคโนโลยีขั้นสูงติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งปกติจะมีเฉพาะในกลุ่มรถจักรยานยนต์ความจุขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Cruise Control ระบบ Triumph Shift Assist ระบบ Optimised Cornering ABS และระบบ Traction control
พร้อมกันนี้ New Tiger Sport 660 ยังได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล และการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยมีตำแหน่งการขี่ที่ตั้งตรง กระจกบังลมที่ปรับได้ และเบาะนั่งที่นุ่มสบายสำหรับทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร พร้อมการปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์เพิ่มเติม เสริมด้วยที่จับสำหรับคนซ้อน รวมถึงการออกแบบเพื่อความสะดวกสบายตลอดทั้งวัน ด้วยชอคอับหัวกลับจาก Showa ขนาด 41 มม. และระบบกันสะเทือนหลังที่ปรับพรีโหลดได้ ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะขับขี่คนเดียว หรือมีผู้ซ้อนท้าย ขณะที่ถังน้ำมันขนาด 17.2 ลิตร ให้ระยะทางที่เพียงพอสำหรับการผจญภัยที่ยาวนาน ด้านยาง Michelin Road 5 ให้การยึดเกาะที่เหนือกว่าในทุกสภาพถนน และจานเบรกขนาด 310 มม. พร้อมคาลิเพอร์เบรคจาก Nissin ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความคล่องตัว อีกทั้งน้ำหนักที่รวมของเหลวแล้วเพียง 207 กก. เบาะนั่งที่แคบ และมีความสูงเพียง 835 มม. จึงมีน้ำหนักที่เบา และคล่องตัว ทำให้ขับขี่ในสภาพการจราจรที่หนาแน่น หรือถนนคดเคี้ยวได้อย่างง่ายดาย
รวมทั้งยังมีโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ Road Rain และ Sport ที่เพิ่มเติมเข้ามา คันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และควบคุมได้ดี รวมถึงระบบไฟ LED เต็มรูปแบบ ตั้งแต่ไฟหน้าที่สว่างสดใส และไฟท้าย LED ที่เพรียวบาง สะดวกสบายด้วยหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ที่รวมหน้าจอ TFT สีเต็มรูปแบบ เชื่อมต่อระบบ My Triumph Connectivity ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตร ฐาน ช่วยให้สามารถนำทางแบบ Turn-by-Turn จัดการสายโทรศัพท์ และควบคุมเพลงได้ หรือหากผู้ขับขี่ต้องการปรับแต่ง New Tiger Sport 660 ตามสไตล์เฉพาะตัวยังมีอุปกรณ์เสริมแท้ให้เลือกมากกว่า 40 รายการ
สำหรับรถจักรยานยนต์ Triumph New Tiger Sport 660 ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 359,000 บาท มีให้เลือกทั้งสี Sapphire Black หรืออีก 3 สีสุดพรีเมียม ได้แก่ Roulette Green, Carnival Red และ Crystal White
นอกจากสเปค และเทคโนโลยีที่อัพเกรดจัดเต็มมาให้ทั้งใน New Trident 660 และ New Tiger Sport 660 ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ โดยมีระยะเวลาเข้ารับบริการที่อยู่ที่ 16,000 กม. หรือ 12 เดือนอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน ซึ่งถือเป็นผู้นำในรถจักรยานยนต์ในคลาสส์เดียวกัน และการรับประกันไม่จำกัดระยะทาง 2 ปี ครอบคลุมทั่วโลก และครอบคลุมไปถึงอุปกรณ์เสริมแท้ของ Triumph อีกด้วย
