ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Toyota แจงยอดขายเดือน มค. ลดลง 12.3 %.
Toyota (โตโยตา) รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม 2568 ยอดขายตลาดรวม 48,082 คัน ลดลง 12.3 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 18,248 คัน ลดลง 22.1 % ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 29,839 คัน ลดลง 5 % และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 15,363 คัน ลดลง 14.4 %
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยตลาดรถยนต์เดือนมกราคม 2568 มียอดขาย 48,082 คัน ลดลง 12.3 % เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งชะลอตัวที่ 22.1 % ด้วยยอดขาย 18,243 คัน ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวเช่นกันที่ 5 % ด้วยยอดขาย 29,838 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ชะลอตัว ด้วยยอดขาย 15,363 คัน ลดลง 14.4 % ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 20,459 คัน คิดเป็นสัดส่วน 42.6 % ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตลดลง 4.6 % เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว รถยนต์ HEV ยังคงมาแรง เติบโตขึ้น 12 % ด้วยยอดขาย 11,441 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 7,268 คัน ลดลง 29.6 %
ส่วนเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มทรงตัว แต่คาดว่าอาจจะยังคงลดลงเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนต่อสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นอกจากนี้ สถาบันการเงินอาจยังคงความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้บริโภค ซึ่งอาจส่งผลต่อความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00/ปี ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันที อาจมีส่วนช่วยลดภาระประชาชน รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจ และการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม 2568
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 48,092 คัน ลดลง 12.3 %
อันดับที่ 1 Toyota 17,379 คัน ลดลง 0.8 % ส่วนแบ่งตลาด 36.1 %
อันดับที่ 2 Honda 7,062 คัน ลดลง 14.9 % ส่วนแบ่งตลาด 14.7 %
อันดับที่ 3 Isuzu 6,137 คัน ลดลง 22.6 % ส่วนแบ่งตลาด 12.8 %
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 18,254 คัน ลดลง 22 %
อันดับที่ 1 Toyota 5,844 คัน เพิ่มขึ้น 13.6 % ส่วนแบ่งตลาด 32 %
อันดับที่ 2 Honda 3,789 คัน ลดลง 17.8 % ส่วนแบ่งตลาด 20.8 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 948 คัน ลดลง 21.7 % ส่วนแบ่งตลาด 5.2 %
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 29,838 คัน ลดลง 5 %
อันดับที่ 1 Toyota 11,535 คัน ลดลง 6.8 % ส่วนแบ่งตลาด 38.7 %
อันดับที่ 2 Isuzu 6,137 คัน ลดลง 22.6 % ส่วนแบ่งตลาด 20.6 %
อันดับที่ 3 Honda 3,273 คัน ลดลง 11.3 % ส่วนแบ่งตลาด 11 %
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 15,363 คัน ลดลง 14.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 6,584 คัน ลดลง 17.3 % ส่วนแบ่งตลาด 42.9 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,498 คัน ลดลง 20.6 % ส่วนแบ่งตลาด 35.8 %
อันดับที่ 3 Ford 1,677 คัน ลดลง 15.4 % ส่วนแบ่งตลาด 10.9 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,102 คัน
Toyota 1,068 คัน-Isuzu 1,109 คัน-Ford 704 คัน-Mitsubishi 78 คัน-Nissan 43 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 12,261 คัน ลดลง 17.5 %
อันดับที่ 1 Toyota 5,516 คัน ลดลง 19.4 % ส่วนแบ่งตลาด 45 %
อันดับที่ 2 Isuzu 4,389 คัน ลดลง 25.6 % ส่วนแบ่งตลาด 35.8 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 982 คัน เพิ่มขึ้น 89.9 % ส่วนแบ่งตลาด 8 %
..................................................................................................................
Aston Martin เปิดตัว Vantage ใหม่
Aston Martin Bangkok ผู้จำหน่ายยนตรกรรมสปอร์ทจากประเทศอังกฤษ Aston Martin อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรุ่น Vantage (วานเทจ) ใหม่ ที่เป็นเสมือนตัวแทนของสมรรถนะขั้นสูงสุดของสายพันธุ์ Vantage ที่ถือกำเนิดมากว่า 76 ปี ผสานจิตวิญญาณแห่งความเร็ว สร้างความเร้าใจสูงสุดให้ผู้ขับ ตอบโจทย์ผู้ถวิลหาพละกำลังระดับฮาร์ดคอร์ และการควบคุมที่เฉียบคมผสานโครงสร้างแบบเครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ที่มีสมดุลไร้ที่ติ
ธีรไนย มาศดิตถ์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขาย และการตลาด Aston Martin Bangkok กล่าวว่า นับเป็นโอกาสดีสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ที่จะได้สัมผัสกับ Aston Martin Vantage ใหม่ ภายใต้คอนเซพท์ "Thrill.Driven." ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์ และกลิ่นอายตามแบบฉบับดั้งเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน ทำให้ Vantage ใหม่ เป็นยนตรกรรมเปี่ยมสมรรถนะ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการขับจากสนามแข่งฟอร์มูลา วัน สะท้อนตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจน และทรงพลังที่สุด
Aston Martin เป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษ กำเนิดช่วงปี 1913 ปีนี้นับว่าครบรอบ 112 ปี ก่อตั้งโดย ไลโอเนล มาร์ทิน กับโรเบิร์ต แบมฟอร์ท ซึ่งทั้งคู่สร้างรถแข่งร่วมกัน เพื่อไปแข่งรายการ Aston Clinton Hillclimb และคว้าแชมพ์ได้สำเร็จ
Aston Martin Vantage ใหม่ มิติตัวถัง ยาว 4,495 มม. กว้าง 2,124 มม. และสูง 1,275 มม. ตัวถังกว้างขึ้น 30 มม. ระยะฐานล้อ 2,705 มม. น้ำหนักรถเปล่า 1,605 กก. โครงสร้างตัวถังอลูมิเนียม ปรับแต่งให้ทนต่อแรงบิดได้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อความแม่นยำในการควบคุม กระจังหน้ากว้างกว่าเดิม 38 % เพิ่มประสิทธิภาพการนำอากาศมาระบายความร้อนได้ดีขึ้น 29 % ไฟหน้า Matrix LED ดีไซจ์นใหม่ พร้อมเดย์ไทม์ รันนิง ไลท์ในตัว สะท้อนเอกลักษณ์ของ Aston Martin ยุคใหม่
ปิดท้ายด้วยล้อฟอร์จขนาด 21 นิ้ว ความกว้างหน้า 9.5J และหลัง 11.5J จับคู่กับยาง Michelin Pilot S 5 หน้า 275/35 ZR2 หลัง 325/30 ZR21 ปั๊มรหัส "AML" บ่งบอกว่าผลิตมาเพื่อใช้กับ Vantage ใหม่ โดยเฉพาะ
ห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ผสมผสานความหรูหรากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ตกแต่งด้วยหนังแท้ Bridge of Weir ที่ให้สัมผัสหรูหรา และกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมระบบเสียงมาตรฐาน Aston Martin 390W 11 ลำโพง พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า แปรผันอัตโนมัติ (Variable Electrical Power Assistance) ทัชสกรีนอเนกประสงค์ Pure Black ขนาด 10.25 นิ้ว ผสานปุ่มกดบริเวณใกล้เคียง สามารถใช้งานได้สะดวก และรวดเร็วระบบอินโฟเทนเมนท์แบบใหม่ รองรับทั้ง iOS และ Android มาพร้อม 5 โหมดการขับ ได้แก่ Wet, Sport, Sport Plus, Track และ Indivi dual ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับผสมผสานการตั้งค่าของระบบต่างๆ ได้ตามต้องการ
Aston Martin Vantage ใหม่ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตร ที่ผ่านการปรับแต่งใหม่ โดยการเพิ่มขนาดเทอร์โบ, ปรับแต่งแคมชาฟท์ (Dual Variable Camshaft Timing), ปรับอัตราส่วนการอัด 8.6:1 พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ห้องเผาไหม้ผ่านการกลึง CNC เต็มรูปแบบ (Fully CNC Machined Combustion Chamber) ทำได้ 665 แรงม้า (PS) แรงบิด 800 นิวทันเมตร มีกำลังสูงขึ้น 30 % หรือ 155 แรงม้า (PS) และแรงบิดเพิ่มขึ้น 15 % หรือ 115 นิวทันเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลัง (Rear Mounted) พร้อมเพลาขับคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fibre Prop Shaft) และเฟืองท้ายลิมิเทด สลิพควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์ (Electronic Rear Limited Slip Differential) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 3.4 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม.
โครงสร้างตัวถังอลูมิเนียม (Bonded Aluminium) ได้รับการพัฒนาเพิ่มความแข็งแกร่ง ทนต่อการบิดตัวได้สูงขึ้น มาพร้อมความสมดุลในการกระจายน้ำหนัก 50:50 ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ดับ เบิลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงทช่วงล่างหน้าหลังแบบมัลทิลิงค์ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนแบบอแดพทีฟ (ADS-Adaptive Damping System) พร้อมเทคโน โลยี Skyhook และ Intelligent Adaptive Dampers คานขวางช่วงล่างด้านหน้า (Cross-Member) ออกแบบใหม่ และย้ายตำแหน่งติดตั้งไปข้างหลังมากขึ้น
เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จุดยึดช่วงล่างหน้าแบบดับเบิลวิชโบน ค้ำตัวถังในห้องเครื่องด้านหน้า น้ำหนักเบาลง แต่แข็งแกร่งขึ้น ช่วยลดการบิดของตัวถัง ช่วงล่างหลังเพิ่มความแข็งแกร่ง 29 % ผสานชอคอับแบบอแดพทีฟของ Bilstein DTX ที่มีช่วงการทำงานที่กว้างขึ้นถึง 500 % เทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้มีแฮนด์ลิงคมกริบ และขับสนุกยิ่งขึ้น จานเบรคโลหะเจาะรูระบายความร้อน หน้า 400x36 มม. หลัง 360x36 มม. จับคู่คาลิเพอร์เบรคหน้า 4 พอท และหลัง 6 พอท โดยมีชุดจานเบรคเซรามิคให้เลือกติดตั้งเป็นออพชัน จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 21.9 ล้านบาท ราคารวม Warranty 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
....................................................................................................................
Ford เปิดตัว Everest Sport Special Edition
Ford ประเทศไทย สร้างสีสันให้ตลาดรถยนต์อีกครั้ง ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด Ford Everest Sport Special Edition (ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สปอร์ท สเปเชียล เอดิชัน) ในราคา 1,619,000 บาท ด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร เสริมความเข้ม และดุดันยิ่งขึ้น ด้วยการตกแต่งโทนสีดำรอบคันสไตล์สปอร์ท พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ขั้นสูง ตอบโจทย์ผู้ที่มองหารถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่ผสานสไตล์ และสมรรถนะได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดจองแล้ววันนี้ที่ผู้จำหน่าย Ford (ฟอร์ด) ทั่วประเทศ สัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกได้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 และโชว์รูมทั่วประเทศ พร้อมช่องทางการจองออนไลน์ผ่าน www.ford.co.th ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
เมธัส ลิขิตสัจจากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Ford ประเทศไทย กล่าวว่า Ford มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างความตื่นเต้น และรุ่นพิเศษต่างๆ เห็นได้จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของส่วนแบ่งทางการตลาด โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 21.6 % และในปีนี้ เรายังคงสานต่อความสำเร็จของ Ford Everest ด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ Ford Everest Sport Special Edition ที่ผสานดีไซจ์นสปอร์ทเข้มดุดัน สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น และเทคโนโลยีล้ำสมัย ในราคาคุ้มค่า ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหารถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่ต้องการความคล่องตัว โฉบเฉี่ยว และมีสไตล์เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างลง ตัว
Ford Everest Sport Special Edition รุ่นย่อยใหม่ล่าสุดในตระกูล Ford Everest เป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่ขับสนุก ผสานสมรรถนะที่พร้อมลุย ให้ความสะดวกสบาย ครบครันด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในสไตล์ที่แตกต่าง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 405 นิวทันเมตร
ภายนอก Ford Everest Sport Special Edition สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ด้วยความเข้ม ดุดันที่ชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการตกแต่งโทนสีดำรอบคันสไตล์สปอร์ท โดดเด่นด้วยหลังคาสีดำ สปอยเลอร์ท้ายสีดำ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ดีไซจ์นใหม่ สีดำ Asphalt Black พื้นผิวด้าน คู่กับก้านสีแดง 1 ก้าน และก้านสีดำเงาอีก 5 ก้าน พร้อมยาง 255/55 R20 แบบเดียวกับ Ford Ranger Stromtrak (ฟอร์ด เรนเจอร์ สตรอมแทรค) และตัวอักษร Everest สีดำบนฝากระโปรงหน้า
ภายในกว้างขวางสะดวกสบาย ตกแต่งโทนสีดำสปอร์ท อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก อาทิ เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง แท่นชาร์จไร้สาย เพลิดเพลินกับระบบการเชื่อมต่อแบบไร้สายบนหน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัสมัลทิทัชขนาด 12 นิ้ว รองรับ Wireless Apple Car Play และ Android Auto ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และ SYNC 4A และยังมีบริการแบบ "พร้อมเสมอ" หรือ "Always-On" ผ่านแอพพลิเคชัน Ford Pass ที่เชื่อมต่อกับฟีเจอร์อัจฉริยะต่างๆ ในรถ
เพิ่มวิสัยทัศน์ และความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยกล้องมองรอบคัน 360 องศา มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะครบครัน อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (Stop & Go) ระ บบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด (BLIS with Cross Traffic Alert)
Ford Everest Sport Special Edition มีสีภายนอกให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว Snowflake White Pearl และสีเงิน Aluminiun Metallic จำหน่ายในราคา 1,619,000 บาท มาพร้อมการรับประกันจากโรงงาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งในปีแรก
....................................................................................................................
Xpeng X9 ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ
Xpeng (เอกซ์เผิง) แบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค ส่งมอบ Xpeng รุ่น X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ทอัจฉริยะ Ultra Smart Coupe MPV พวงมาลัยขวาลอทแรกของโลก ถึงประ เทศไทย พร้อมประกาศราคาจำหน่าย 2,749,000 บาท
He Xiaopeng ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท กวางโจว เสี่ยวเผิง มอเตอร์ส เทคโนโลยี จำกัด เผยว่า ประเทศไทยนับเป็นตลาดยานยนต์สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง Xpeng มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัยสู่ผู้บริโภค โดยรุ่น X9 เป็นยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค ที่เน้นการนำระบบ AI ล้ำยุคมาใช้ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าด้านความปลอดภัย รวมถึงระบบควบคุมอันชาญฉลาด ลงตัว กับทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต เราภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทเรนด์ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ
อภิวันท์ สิงห์ทวีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Xpeng ประเทศไทย ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค Xpeng อย่างเป็นทางการ กล่าวว่า Xpeng X9 ได้กระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม หลังการเปิดตัวครั้งแรก ในประเทศไทย ในงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41" เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ด้วยยอดจองสิทธิ์สะสม จนถึงปัจจุบันกว่า 500 คัน สะท้อนถึงความสนใจของลูก ค้าชาวไทย ที่มีต่อเทคโนโลยีอัจฉริยะ และการออกแบบล้ำสมัยของ Xpeng จะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และส่งมอบให้แก่ลูกค้า ที่จองสิทธิ์ไว้ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ด้วยราคา 2,749,000 บาท
Xpeng X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ทอัจฉริยะ Ultra Smart Coupe MPV ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีแบทเตอรี 800 โวลท์ SiC Architecture รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 330 กิโลวัตต์ โครงสร้างตัวถังสถาปัตยกรรม SEPA2.0 พัฒนาโดย Xpeng รูปลักษณ์ได้แรงบันดาลใจจากยานอวกาศ (Starship) ห้องโดยสารกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 7.7 ตรม. ผสานเบาะแถว 2 ที่มาพร้อมฟังค์ชัน Zero-Gravity เพื่อความสบายเหนือระดับ โดยที่เบาะแถว 3 สามารถพับแบนราบด้วยระบบไฟฟ้า ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ปรับเปลี่ยนการโดยสารเป็นแบบ 4 หรือ 7 ที่นั่ง ติดตั้งจอภาพแบบสัม ผัสขนาด 21.4 นิ้ว รองรับความบันเทิงเต็มรูปแบบ ขับกล่อมด้วยลำโพง Xopera 23 ตำแหน่ง ติดตั้งชิพเซท Qualcomm Snapdragon 8295 เด่นด้วยระบบเลี้ยว 4 ล้ออัตโนมัติ ช่วยให้วงเลี้ยวแคบเพียง 5.4 ม. คล่องตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับรถกลุ่มเดียวกัน มาพร้อมช่วงล่างถุงลม Dual-Chamber ปรับสูง-ต่ำ และความหนืดอัตโนมัติ เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพสูงสุด
..................................................................................................................
มาร์เกซ คว้าแชมพ์สนามแรก MotoGP 2025
"MotoGP" ศึกสองล้อเบอร์หนึ่งของโลก เปิดฤดูกาล 2025 ที่ประเทศไทยอย่างสนุกสุดมันตลอด 3 วัน แฟนความเร็วทั้งไทย-เทศร่วมงาน 224,634 คน สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ 5,043 ล้านบาท โดย “มาร์ค มาร์เกซ” แชมพ์โลก 8 สมัยจาก Ducati (ดูกาตี) สร้างผลงานระดับมาสเตอร์ผงาดคว้าชัยชนะไปครองได้ทั้ง “เมน กรองด์ปรีซ์” และ “สปรินท์เรศ” ขณะ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิด MotoGP ชาวไทยคนแรกของประวัติศาตร์จาก Honda (ฮอนดา) ประเดิมพรีเมียร์คลาสส์เรศแรกในชีวิต เริ่มเกมกริด 22 บิดคว้าอันดับ 18 ท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มของแฟนมอเตอร์สปอร์ท
ศึก MotoGP รายการ “PT Grand Prix of Thailand 2025” การแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการใหญ่ที่สุด ที่มีการจัดในประเทศไทย และมีผู้ติดตามชมมากกว่า 800 ล้านคน จาก 220 ประเทศทั่วโลก ดวลความเร็วรอบ “Main Grand Prix” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จ. บุรีรัมย์
ไฮไลท์ของการแข่งขันอยู่ที่การดวลฝีมือของสุดยอดนักบิดระดับแชมพ์โลก นำโดย “มาร์ค มาร์เกซ” ยอดนักบิดสแปนิชจาก Ducati Lenevo Team และทีมเมทชาวอิตาเลียนอย่าง ฟรานเชสโก บันยาญา, ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร นักบิดเฟรนช์จาก Monster Energy Yamaha MotoGP, โจอัน เมียร์ นักบิดสแปนิชจาก Honda HRC Castrol และนักบิดแถวหน้าของโลกอีกหลายคน
รวมถึงการเปิดตัวลงสนามในพรีเมียร์คลาสส์ครั้งประวัติศาสตร์ของ “ก้อง” สมเกียรติจันทรา นักบิด MotoGP ชาวไทยคนแรกจากสังกัด Idemitsu Honda LCR รวมถึงนักบิด Rookie อีก 2 คนอย่าง ไอ โอกูระ นักบิดญี่ปุ่นจาก Trackhouse Racing และเฟร์มินอัลเดเกร์ นักบิดสแปนิชจาก Gresini Racing
กริดสตาร์ทเรศนี้มี มาร์ค มาร์เกซ เป็นเจ้าของโพล ขนาบข้างด้วยน้องชายอย่าง อเลกซ์ มาร์เกซ และบันยาญา ในแถวหน้า ขณะที่ โอกูระ Rookie ที่ทำผลงานสุดเซอร์พไรส์ในรอบ Sprint Race ได้ออกตัวจากกริดที่ 5 ส่วน “ก้อง” สมเกียรติ นักแข่งชาวไทยประเดิมเรศแรกในชีวิตด้วยกริดสตาร์ทอันดับ 22
เกมเรศนี้จบลงด้วยชัยชนะแบบหมดจดของ “มาร์ค มาร์เกซ” ที่ออกนำได้ตั้งแต่เริ่มเกม แม้จะตัดสินใจถอยลงมาบิดตามหลัง อเลกซ์ มาร์เกซ แต่ก็แซงคืนได้แบบง่ายดายในช่วง 3 รอบสุดท้าย เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกด้วยเวลา 39 นาที 37.244 วินาที กวาดแชมพ์ไปครองทั้งรอบ Main Grand Prix และ Sprint Race อันดับ 2 เป็นของ อเลกซ์ มาร์เกซ ตามหลัง 1.732 วินาที ส่วนบันยาญา ตามเข้าป้ายอันดับ 3 ตามหลัง 2.398 วินาที
ขณะที่อันดับ 4 ได้แก่ ฟรานโก มอร์บิเดลลี นักบิดอิตาเลียนจาก Pertamina Enduro VR46 Racing Team ตามหลัง 5.176 วินาที ด้านโอกูระ สร้างผลงานโดดเด่นสุดๆ แม้จะเป็น Rookie โดยขึ้นมาไล่บดกับรุ่นพี่อย่างสนุก ก่อนคว้าอันดับ 5 มาครองได้สำเร็จ ตามหลังผู้ชนะ 7.450 วินาที
ส่วน “ก้อง” สมเกียรติ ประเดิมเรศแรกในฐานะนักบิด MotoGP ได้อย่างยอดเยี่ยมออกตัวจากกริดที่ 22 ไล่แซงคู่แข่งได้ในช่วงต้นเรศ และบดกับ กวาร์ตาราโร, มาเวอริค บีญาเลส และอเลกซ์ รินส์ อย่างสุดมัน ก่อนบิดเข้าป้ายในอันดับ 18 ตามหลังผู้ชนะเพียง 31.480 วินาที
โดยผ่านการแข่งขันสนามแรกของปี มาร์ค มาร์เกซ ขยับขึ้นมารั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเพียนชิพ เก็บไปทั้งสิ้น 37 คะแนนเต็ม ตามด้วย อเลกซ์ มาร์เกซ อันดับ 2 มี 29 คะแนนส่วนอันดับ 3 ได้แก่ บันยาญา มี 23 คะแนน
ด้านเกมในรุ่น Moto2 World Championship ชัยชนะสนามแรกเป็นของ มานูเอล กอนซาเลซ นักบิดสแปนิชจาก Liqui Moly Danavolt Intact GP ด้วยเวลา 35 นาที 13.072 วินาที เหนืออันดับ 2 อย่าง แอรอน คาเนท นักบิดชาวสแปนิชจาก Fantic Racing Lino Sonego ถึง 2.600 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ เซนนา เอเจียส นักบิดออสซีจาก Liqui Moly Dynavolt Intact GP ตามหลัง 6.491 วินาที
สำหรับเกมในรุ่นเล็กอย่าง Moto3 World Championship เป็นอีกหนึ่งเรศที่ดวลกันอย่างเข้มข้น แต่จุดเปลี่ยนในกลุ่มหน้าเกิดจากการพลาดล้มของนักบิดหลายคน โดยชัยชนะเป็นของ “โฮเซ อันโตนิโอ รูเอดา” ดาวรุ่งชาวสแปนิชจาก Red Bull KTM Ajo ด้วยเวลา 32 นาที 14.402 วินาที เหนือทีมเมทอย่าง อัลบาโร คาร์เป อันดับ 2 ถึง 7.276 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ อาเดรียน เฟอร์นันเดซ นักบิดสแปนิชจาก Leopard Racing ตามหลัง 7.341 วินาที ขณะที่นักบิดไทยอย่าง “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี จาก Honda Team Asia เกี่ยวกันล้มกับคู่แข่งช่วงกลางเรศ พลาดการคว้าแต้มแรกในฤดู กาลอย่างน่าเสียดาย
ทั้งนี้ ศึก MotoGP 2025 สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม 2568 ที่สนามเทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด ประเทศอาร์เจนตินา ในรายการ Grand Prix of Argentina
..................................................................................................................
PTT Station เข้าร่วมโครงการ "หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน"
PTT Station ทุกสถานีทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ "หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน" ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการเสริมจากมาตรการทางกฎหมาย ผ่านการรับรองระดับสีเงิน 105 สถานี ถือเป็นแบรนด์สถานีบริการที่ได้รับการรับรองระดับสีเงินจำนวนมากที่สุด และมี PTT Station ที่ผ่านการรับรองหัวจ่ายมาตรฐานแล้ว 2,167 สถานี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ และรออนุมัติ พิสูจน์ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสูงสุดให้แก่ผู้บริโภค
วิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า โครงการ “หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง กรมการค้าภายใน ร่วมกับ บริษัทผู้ค้าน้ำมันทั้ง 10 บริษัท โดยให้สถานีที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องส่งรายงานผลการทดสอบน้ำมันของตน ให้แก่กรมการค้าภายใน เดือนละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน และหลังจากนั้นให้ส่งรายงานผลการทดสอบน้ำมันให้กรมเดือนละครั้ง ทุกเดือน หากสถานีใดดำเนินการได้ถูกต้องครบถ้วน จะได้การยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีเงิน (Silver) และหากปฏิบัติตามเงื่อนไขถูกต้องจนครบ 2 ปี จะได้รับการยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีทอง (Gold) ตามลำดับ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่ใช้บริการจากสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศว่าจะได้ปริมาณถูกต้องครบถ้วนอย่างแน่นอน ปัจจุบันนี้มีสถานีที่สมัคร และเข้าร่วมโครง การแล้วจำนวน 6,793 สถานี และได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 5,788 สถานี และมีสถานีที่ได้รับป้ายสีเงินแล้วทั้งสิ้น 211 สถานี
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า การเข้าร่วม "โครงการหัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” ของกรมการค้าภาย ใน สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานและความตั้งใจของ OR ที่ให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานการให้บริการของ PTT Station มาอย่างต่อเนื่องให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวอย่างที่สำ คัญที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของ OR ในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่าจะได้รับปริมาณน้ำมันเป็นไปตามมาตรฐานทุกหัวจ่ายตามที่กรมการค้าภายในกำหนด
ปัจจุบัน สถานีบริการ PTT Station ทุกแห่งทั่วประเทศจำนวน 2,340 สถานี ได้สมัครเข้าร่วมโครงการครบถ้วนทั้งหมด 100 % แล้ว โดยมีสถานีบริการ PTT Station ที่ได้รับการอนุมัติให้ผ่านการรับ รองแล้ว 2,167 สถานี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ และรออนุมัติ และยังมีสถานีบริการ PTT Station ที่ได้รับการรับรองระดับสีเงิน ซึ่งเป็นสถานีบริการที่รักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน จำนวน 105 แห่ง จากจำนวนสถานีบริการทุกแบรนด์ที่ได้รับการรับรองระดับเงินทั้งหมดทั่วประเทศ จำนวน 211 แห่ง ซึ่งถือเป็นแบรนด์สถานีบริการน้ำมันที่ได้รับมาตรฐานในระดับนี้จำนวนมากที่สุดในประเทศ และอยู่ระหว่างการการมุ่งสู่การรับรองระดับสูงสุด คือ ระดับสีทองที่ต้องรักษามาตรฐานต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี อีกด้วย
ทั้งนี้ OR มีหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการ PTT Station ทั่วประเทศ (Mobile Unit) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับทั้งสินค้า และบริการที่ได้มาตรฐานสูงสุด และที่ผ่านมา OR ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยตรวจสอบหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการ PTT Station และนำส่งราย งานการตรวจสอบให้กองชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่ามีค่าที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดจะปิดการจำหน่ายหัวจ่ายนั้นๆ ทันที และประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และให้คำรับรองมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ก่อนที่จะเปิดจำหน่ายอีกครั้ง
