ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Mitsubishi แนะนำ Xpander HEV Play
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ เปิดตัว Mitsubishi Xpander HEV Play (มิตซูบิชิ เอกซ์แพนเดอร์ เอชอีวี พเลย์) รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด สะกดทุกสายตาด้วยดีไซจ์นสปอร์ทพรีเมียม ที่สะท้อนตัวตนของครอบครัวรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความทันสมัย และไลฟ์สไตล์แอคทีฟ ตอกย้ำความแข็งแกร่ง และโดดเด่นในการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก
เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า Mitsubishi Xpander HEV Play และ Mitsubishi Xpander Cross HEV Play (มิตซูบิชิ เอกซ์แพนเดอร์ ครอสส์ เอชอีวี พเลย์) เป็นรถรุ่นพิเศษ ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก ของรถจากซีรีส์ Mitsubishi Xpander มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สะท้อนความสปอร์ทพรีเมียมอันโดดเด่น และสะดุดตา ตอบสนองไลฟ์ไตล์สุดแอคทีฟของครอบครัวยุคใหม่ ที่พร้อมออกไปสนุกกับกับการใช้ชีวิต และกิจกรรมด้วยกัน มอบความอุ่นใจตลอดการใช้งาน ด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายกว่า 190 แห่งทั่วประเทศ พร้อมบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม ลูกค้าจึงสามารถเชื่อมั่นได้ในสมรรถนะที่เหนือชั้น และความคุ้มค่า
Mitsubishi Xpander HEV Play มอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เต็มเปี่ยมด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ปลอดภัย สะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวด ล้อม มาพร้อม Mitsubishi E:Motion ที่ผสาน 3 สุดยอดเทคโนโลยี อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mitsubishi Motors ประกอบไปด้วย ระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริดที่ทรงพลัง เพื่อพละกำลังที่เหนือกว่า และความประหยัดน้ำมัน โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ให้ความปลอดภัย ลุยได้ในทุกสภาพถนน และระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจสูงสุดขณะเข้าโค้ง ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ และมีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และรอง รับทุกไลฟ์สไตล์
ดีไซจ์นแบบสปอร์ทพรีเมียมโดดเด่นด้วยหลังคาสีดำ กระจกมองข้างสีดำ คิ้วขอบกระจกประตูสีดำ กระจังหน้าตกแต่งไดนามิคชิลด์สีดำ เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ และล้ออัลลอยสีดำ นอกจากนี้ ยังมีมือเปิดประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ และไฟท้ายแบบ LED สี Smoke โดย Mitsubishi Xpander HEV Play ยังมาพร้อมไฟหน้า และกรอบไฟหน้าสีดำ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง พร้อมด้วยชุดตกแต่งชายกันชนหน้า กันชนข้างและกันชนหลัง ขณะที่ Mitsubishi Xpander Cross HEV Play มาพร้อมกันชนหน้า แผงตกแต่งข้างประตู แบบ Cross Design สีดำ และกระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ
Mitsubishi Xpander HEV Play มีสีตัวถังให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว White Diamond พร้อมหลังคาสีดำ และสีเทา Graphite Gray พร้อมหลังคาสีดำ ขณะที่ Mitsubishi Xpander Cross HEV Play มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว White Diamond พร้อมหลังคาสีดำ สีเทา Graphite Gray พร้อมหลังคาสีดำ และสีเขียว Green Bronze พร้อมหลังคาสีดำ ในราคาจำหน่ายที่ 981,000 บาท ทั้ง 2 รุ่น
..................................................................................................................
ลุยค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ คาดเริ่ม เมย. นี้
คลังเตรียมค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ อนุมัติให้เช่าซื้อง่ายขึ้น คาดเริ่มสงกรานต์นี้
ค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
กระทรวงการคลัง เผยถึงตลาดยานยนต์ไทยปัจจุบัน ที่เกิดปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจากที่ได้ดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวพบว่า กำลังซื้อไม่ได้แย่ แต่สิ่งที่แย่ คือ ด้านการปล่อยสินเชื่อ พบว่าคนไทยถูกปฏิเสธการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ (คนขอกู้ไม่ผ่าน) ซึ่งกระทรวงการคลังได้สั่งการให้ บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยเน้นเข้าค้ำประกันแก่ผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์กระบะใหม่มือหนึ่ง เพื่อนำมาใช้ในการพาณิชย์
สำหรับการต้องไปค้ำประกันให้สถาบันการเงิน เรื่องดังกล่าว กระทรวงการคลังกําลังดูข้อกฎหมายขั้นสุดท้ายว่า สามารถทำได้แค่ไหน ให้สามารถปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยการค้ำประกันของ บสย. เรื่องนี้ไม่ต้องผ่านที่ประชุม ครม. สามารถทำได้ทันที โดยตลาดแรกที่จะลง คือ รถกระบะ คาดว่าจะเริ่มได้ก่อนวันสงกรานต์ปี 2568 หรือช่วงเดือนเมษายนนี้
บสย. ค้ำประกัน สินเชื่อรถกระบะ วงเงิน 10,000 ล้านบาท
บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขานรับนโยบายรัฐ ซื้อรถกระบะใหม่ โดยเตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อช่วย SMEs กลุ่มนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. คาดว่าช่วยผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ เข้าถึงสินเชื่อ 12,500 ราย และยังช่วยกระตุ้นตลาดรถเชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
การดำเนินการนี้ บสย. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากบริษัทลีซิงถึงความต้องการเพิ่มเติมว่าตอบโจทย์ลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน โดยคาดว่าก่อนสงกรานต์มาตรการนี้จะออกมาให้บริการได้ ซึ่งเป็นการเริ่มทดลองในเบื้องต้นก่อน
..................................................................................................................
เอเอเอสฯ เสริมศักยภาพการบริการเต็มรูปแบบ
เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche (โพร์เช) อย่างเป็นทางการแห่งแรกในประเทศไทย เดินหน้าก้าวเข้าสู่ความพร้อมอย่างเต็มรูปแบบของศูนย์บริการหลังการขาย Porsche Centre Pattanakarn รองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพลิกโฉมโชว์รูม และศูนย์บริการ Porsche Centre Bangkok รวมถึงการเปิดสาขาใหม่ของ Porsche Centre Kalaprapruk เพื่อเสริมเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตอกย้ำความเป็น “AAS The Name You Can Trust” และผู้นำในธุรกิจยนตรกรรมลักชัวรีของประเทศไทย
Porsche Centre Pattanakarn ก้าวเข้าสู่ความพร้อมที่จะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในฐานะศูนย์บริการหลังการขายที่ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับยนตรกรรม Porsche ของครอบครัวเอเอเอสฯ อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยพื้นที่กว่า 5,000 ตรม. พร้อมช่องซ่อมมากกว่า 20 ช่อง และช่องซ่อมพิเศษสำหรับ High Voltage Battery ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยมีเครื่องชาร์จไฟแบบ DC จำนวน 2 เครื่อง และทีม Qualified High-Voltage Battery Expert ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากโรงงาน Porsche ประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ศูนย์บริการฯ ยังมีทีม Porsche Classic Technician และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง ZPT3 Gold Theory Test & Recertification มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ตอบโจทย์มาตรฐานการดูแลยนตรกรรม Porscheในทุกมิติ พร้อมอำนวยความสะดวกสบายสูงสุดให้แก่ลูกค้าด้วยพื้นที่จอดรถในร่มที่รองรับได้ถึง 150 คัน
ในส่วนของพื้นที่โชว์รูมใหม่ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้มีการขยายพื้นที่รับรองลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า พร้อมเสริมความพิเศษด้วยโซนบาร์เครื่องดื่มที่ให้บริการโดยบาริสตามืออาชีพ อีกทั้งยังมีพื้นที่จัดแสดงชุดแต่ง Manthey Performance Kit ซึ่งเอเอเอสฯ เป็นผู้จำหน่าย และติดตั้งอย่างเป็นทางการแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโซนสินค้า Porsche Lifestyle และโซนจัดแสดงรถยนต์ใช้แล้ว Porsche Approved ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Destination Porsche ที่มุ่งเน้นให้ศูนย์บริการแห่งนี้เป็นมากกว่าศูนย์ดูแลยนตรกรรม แต่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้ที่หลงใหลใน Porsche อย่างแท้จริง
Porsche Centre Bangkok กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารโชว์รูม และอาคารศูนย์บริการแห่งใหม่ โดยขยายพื้นที่กว่า 20,000 ตรม. เพื่อตอบรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้า และเพิ่มศักยภาพด้านบริ การหลังการขายอย่างเต็มรูปแบบ รองรับปริมาณงานบริการได้มากขึ้นถึง 3 เท่า ด้วยจำนวนช่องซ่อมที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 35 ช่อง พร้อมอุปกรณ์ และเทคโนโลยีการซ่อมบำรุงที่ล้ำสมัย รองรับทั้งยนตร กรรม Porsche รุ่นเครื่องยนต์สันดาป รุ่นไฟฟ้า และรุ่นไฮบริด พร้อมอำนวยความสะดวกสูงสุดให้แก่ลูกค้าด้วยพื้นที่จอดรถในร่มที่สามารถรองรับได้ถึง 300 คัน อีกทั้งการบริการดูแล และซ่อมแซม แบทเตอรีมาตรฐานโรงงาน เช่นเดียวกับ Porsche Centre Pattanakarn ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการให้บริการ พร้อมติดตั้งเครื่องชาร์จแบทเตอรีจำนวนมากเพื่อรองรับการใช้งานของยน ตรกรรมพลังงานไฟฟ้า และยังคงรักษามาตรฐานความเป็นศูนย์บริการชั้นนำระดับโลก ด้วยการเป็น Porsche Classic Partner แห่งแรกของโลก และแห่งเดียวในประเทศไทย ให้บริการดูแล และบำ รุงรักษารถยนต์ Porsche รุ่น Classic ตามมาตรฐานของโรงงาน Porsche เยอรมนี
นอกจากการพัฒนาโครงสร้าง และศักยภาพงานบริการแล้ว พื้นที่โชว์รูมแห่งใหม่ยังถูกออกแบบให้รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ภายใต้แนวคิด Destination Porsche ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของศูนย์บริการ Porsche ทั่วโลก พื้นที่รับรองลูกค้าได้รับการออกแบบให้กว้างขวาง และหรูหรายิ่งขึ้น เสริมความสะดวกสบายด้วยห้องรับรองแบบ Private ที่เพิ่มความเป็นส่วนตัวระหว่างรอรับรถ และพื้น ที่ Co-Working Space สำหรับลูกค้าที่ต้องการพื้นที่ทำงานระหว่างเข้ารับบริการ อาคารแห่งใหม่นี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold Certified จากสถาบัน USGBC (U.S. Green Building Council) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกด้านการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงแนวคิดด้านความยั่งยืนของเอเอเอสฯ ในการดำเนินธุรกิจ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในช่วงกลางปี 2026 โดยเอเอเอสฯ มุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์การให้บริการที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า Porsche ในประเทศไทย
Porsche Centre Kalaprapruk กำลังดำเนินการก่อสร้างโชว์รูม และศูนย์บริการสาขาใหม่อย่างครบวงจร บนทำเลทองที่มีพื้นที่กว่า 10,000 ตรม. ในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เพื่อรองรับความต้อง การของลูกค้าภายในย่านสาทร พระราม 2 และพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะมีช่องซ่อมมากกว่า 15 ช่อง รองรับจำนวนสมาชิกครอบครัวเอเอเอสฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในบริเวณดังกล่าว พร้อมมาตรฐานการดูแล และซ่อมแซมระดับเดียวกับโรงงาน อีกทั้งตอบโจทย์การเอาใจใส่ Porsche ทุกคัน ด้วยที่จอดรถภายในอาคารถึง 150 คัน ซึ่งสะท้อนถึงความพิถีพิถัน และความใส่ใจของเอเอเอสฯ และอา คารแห่งนี้ได้รับการรับรอง LEED Gold Certified จากสถาบัน USGBC (U.S. Green Building Council) เช่นเดียวกับ Porsche Centre Bangkok เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยส่วนที่มีกำหนดเสร็จสิ้นก่อน ได้แก่ ศูนย์บริการคาร์ดีเทลิงครบวงจร AAS Auto Detailing Centre และศูนย์ซ่อมสี และตัวถัง AAS Body and Paint Centre of Excellence ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Porsche เยอรมนี พร้อมอัพเดทเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อการบริการที่มีคุณภาพสูงสุด คาดว่าโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2026 และการขยายสาขานี้เป็นการตอกย้ำความพร้อมในการรองรับยุคใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของตลาดรถยนต์ Porsche อย่างแท้จริง
การขยายการให้บริการของเอเอเอสฯ ในครั้งนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าการเป็นโชว์รูมทั่วไปที่ต้อนรับลูกค้า แต่เป็นบ้านแห่ง Porsche ที่พร้อมรองรับ และเติบโตไปกับครอบครัวเอเอเอสฯ อย่างแท้จริง ด้วยศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั้ง 3 มุมเมืองของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้เอเอเอสฯ เป็นผู้แทนจำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการที่มีศักยภาพในการรองรับงานบริการสูงสุด และเป็นที่ยอมรับในกลุ่มรถยนต์ลักชัวรีในประเทศไทย เพื่อมอบความมั่นใจ และความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกท่านภายใต้นโยบายหลักของบริษัท “AAS Looking after You and Your Car” ดั่งที่ได้ดำเนินการมาตลอดกว่า 30 ปี
..................................................................................................................
Isuzu จัดใหญ่ ชูกลยุทธ์ “Isuzu Trusted Buddy”
ตลาดรถยนต์เมืองไทยได้รับผลกระทบจากการหดตัวอย่างรุนแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักเนื่องมาจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ของบริษัทไฟแนนศ์ เพราะการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) และหนี้ครัวเรือนในระดับสูง อีกทั้งยังมีผู้เล่นใหม่ๆ ในตลาดเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว Isuzu (อีซูซุ) ผู้นำตลาดรถยนต์เมืองไทยทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการหลังการขาย และกลยุทธ์การตลาดที่มัดใจลูกค้ามายาวนานเกือบ 7 ทศวรรษ มีวัตถุประสงค์จะรักษาฐานลูกค้าไว้ให้ได้อย่างมั่น จึงขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิดหลัก “Isuzu Trusted Buddy… อีซูซุเคียงข้างคุณ เคียงคู่ไทย”
ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “Isuzu Trusted Buddy” คือ การสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนของแบรนด์ Isuzu จากแบรนด์อื่นๆ ด้วยแนวคิดในการยกระ ดับแบรนด์ Isuzu ที่ไม่เพียงเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าชาวไทยให้ความไว้วางใจ แต่ยังเป็นแบรนด์ที่มีคุณค่าสูงต่อสังคมไทยด้วย เริ่มจากผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง มั่นใจได้ตามแบบฉบับญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานอย่างแท้จริงของคนไทย นั่นคือ ประหยัดน้ำมัน ทนทาน คุ้มค่าเงินสูงสุด รวมทั้งการยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่งขึ้น ผ่านเครือข่ายการจำหน่าย และบริการที่ใหญ่และดีที่สุดแบรนด์หนึ่งของประเทศ โดยในปีนี้จะมีการยกระดับการดูแลลูกค้าใหม่ หรือ Isuzu Operation Standard (IOS) 4.0 หลังจากที่ได้ดำเนินการสำเร็จมาแล้ว 3 พโรเจคท์ คือ IOS1.0, Hearty Smile และ Omotenashi โดยจะสร้างมาตรฐานการดำเนินงานระดับสูงทั้งในด้านการขาย และบริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้ามีความสุข วางใจแบรนด์ Isuzu ตลอดการใช้งาน นอกจากนี้ บริษัทฯ จะตอกย้ำคุณค่าแบรนด์ต่อสังคมไทยที่ Isuzu ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด คือ การถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี การส่งเสริมธุรกิจคนไทย การจ้างงาน ช่วยให้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมประเทศไทยเจริญเติบโตมาด้วยกันตลอดเกือบ 70 ปี
แคมเปญ “Isuzu Trusted Buddy… อีซูซุเคียงข้างคุณ เคียงคู่ไทย” จะเริ่มสื่อสารผ่านการใช้ Music Marketing ด้วยเพลง และมิวสิควีดีโอ “อีซูซุคู่ไทย” ซึ่งมี บอย ตรัย หนึ่งในนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง ขับร้องโดย นภ พรชำนิ ศิลปินอบอุ่นเจ้าของเพลงรักมากมาย และมะปราง-อลิสา ขุนแขวง ดาราสาวดีกรีนักแข่งรถยนต์ทางเรียบ โดยสามารถรับชมมิวสิควีดีโอได้ที่ https://youtu.be/Vh6zSFoplC8 พร้อมร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ความผูกพันกับ Isuzu ในกิจกรรม “ความทรงจำดีๆ กับอีซูซุ” พร้อมติด #IsuzuTrustedStory ในแอพพลิเคชัน my-CIRCLE และ Facebook : All-New Isuzu D-Max, All-New Isuzu MU-X และ Isuzu Trucks Thailand
Isuzu เริ่มธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2500 ก่อตั้งโรงงานผลิตในปี 2506 และในปี 2545 Isuzu ได้ย้ายฐานการผลิตรถพิคอัพจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทยเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก จวบจนปัจจุบัน Isuzu ได้ผลิตรถในประเทศไทยแล้วมากกว่า 6 ล้านคัน โดยเป็นการส่งออกจำนวนกว่า 3 ล้านคัน ไปยัง 100 กว่าประเทศทั่วโลก ซึ่งการผลิตรถพิคอัพ Isuzu ได้ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประ เทศไทยมากกว่า 90 % นับเป็น Thai-Made Vehicle อย่างแท้จริง ด้วยนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลทำให้รถพิคอัพเป็น Product Champion ของไทย นอกจากจะสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมากแล้ว ยังทำให้ประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทานทางด้านชิ้นส่วนยานยนต์ที่แข็งแกร่งระดับโลก โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์กว่า 2,500 บริษัท และมีพนักงานในอุตสาหกรรมนี้กว่า 850,000 คน
..................................................................................................................
GWM รับประกันคุณภาพ 1,000,000 กม. เครื่อง 2.4T เจนใหม่
GWM (Thailand) พร้อมยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน เผยนวัตกรรมใหม่กับ “ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด” พร้อมเกียร์อัตโน มัติ 9 จังหวะ ใน New GWM Tank 300 Diesel (กเรท วอลล์ มอเตอร์ แทงค์ 300 ดีเซล) ใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น โดย GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ได้เริ่มพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลมาอย่างยาวนานมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเครื่องยนต์ดีเซลถือเป็นความเชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของแบรนด์ ผ่านการลงทุนด้านการวิจัย และพัฒนามาหลากหลายเจนเนอเรชัน ซึ่ง GWM มีการลงทุนในการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นนี้กว่า 200 ล้านหยวน (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) มีการพัฒนาห้องปฏิบัติการวิจัยเครื่องยนต์อย่างครบชุด สะท้อนให้เห็นถึงนวัตกรรม และความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้น และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในประเทศจีน และทั่วโลก การันตีด้วยผู้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเกือบ 2 ล้านคน ใน 170 ประ เทศ และทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซีย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยม และความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ดีเซลของ GWM ในระดับโลก
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด มี 4 จุดเด่นสำคัญที่จะยกระดับทุกประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งกว่าเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมๆ ได้แก่ การประหยัดพลังงานที่ดีมากขึ้น ฉีกกฏเครื่อง ยนต์ดีเซลทั่วไป ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวลกว่าเคย ประสิทธิภาพการขับขี่ที่สูงขึ้น และการรับประกันคุณภาพที่ยาวนานขึ้น โดยในประเทศจีนได้นำร่องเปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนใหม่นี้ ในรถยนต์ 2 แบรนด์ผลิตภัณฑ์อย่าง GWM Tank และ GWM Poer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเร็วๆ นี้ GWM (Thailand) เตรียมนำ New GWM Tank 300 Diesel ที่มาพร้อมเครื่อง ยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่นี้ ให้ชาวไทยได้สัมผัสกับขุมพลังดีเซลอันทรงประสิทธิภาพ ผสานความหล่อ เท่ ให้โดดเด่น ครบเครื่องในทุกเส้นทาง เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่หลากหลายทั้งในเมืองหรือนอกเมือง ออนโรด และออฟโรด
4 จุดเด่นการันตีคุณภาพ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด
· เพิ่มประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น (High Efficiency & Low Fuel Consumption)
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่นี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอีเลคทรอนิคส์ Exhaust Gas Recirculation (ECR) และระบบปั้มน้ำมันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อย์ไอเสีย NOx และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนั้นเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ที่มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 ทำให้รถสามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กม./ชม. ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพถนน และสอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นออกไป โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ New GWM Tank 300 Diesel อยู่ที่ 14 กม./ลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco Sticker ในประเทศไทย) สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งน้ำมัน 1 ถัง (ดีเซล B7) สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลมากกว่า 1,000 กม. ดังนั้น เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขับขี่ คุ้มค่า และประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น
· มอบการขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวล ฉีกกฏเครื่องยนต์ดีเซลโดยทั่วไป (Low Noise, Vibration, and Harshness)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM มาพร้อมกับเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยม ด้วยการออกแบบใหม่ของท่อไอเสีย เพลาลูกเบี้ยว ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อน้ำมันแรงดันสูง สายพาน Timing และ Balance Shaft จึงทำให้ห้องโดยสารมีระดับเสียงต่ำกว่า 68 เดซิเบลในช่วง Idle Speed ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นิ่ง ไม่สั่น เทียบเคียงได้กับเครื่องยนต์เบนซิน ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น และสะดวกสบายในทุกสภาพถนน
· พละกำลัง และแรงบิดที่ยอดเยี่ยม (High Performance)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T คอมมอนเรลไดเรคท์อินเจคชันชนิดแรงดันสูง ควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดนี้ เป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิ ภาพสูง มอบพละกำลังสูงสุดถึง 135 กิโลวัตต์ หรือ 181 แรงม้า ที่ 3,600 รตน. ด้วยแรงบิดที่สูงถึง 260 นิวทันเมตร ในรอบเครื่องต่ำ และแรงบิดสูงสุด 480 นิวทันเมตรแบบต่อเนื่อง หรือฟแลททอร์คที่ 1,500-2,500 รตน. ทำให้การออกตัว และการขับขี่ในพื้นที่ที่มีความท้าทายเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และยังทำให้การอัตราการบริโภคน้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถเร่งความ เร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 11 วินาที การตอบสนองที่ฉับไวนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทาง หรือเพิ่มความเร็วได้ทันใจในทุกสถานการณ์ และการใช้โครงสร้างช่วงล่างที่แข็งแรง และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นคงในทุกสถานการณ์ ทั้งการขับขี่ในเมือง และการขับขี่แบบออฟโรด สร้างความมั่นใจ และมอบประสบการณ์การขับขี่เพื่อคนเมือง และสายลุยได้เต็มที่
· ความทนทานสูง รับประกันคุณภาพที่ยาวนานถึง 1 ล้านกิโลเมตร (High Durability with Long Term Warranty)
เพื่อแสดงถึงความใส่ใจในคุณภาพ และความทนทานของเครื่องยนต์ GWM ได้ทำการทดสอบเครื่องยนต์นี้ในสภาพอากาศหนาว และร้อนสุดขั้ว 300 ชม. ทดสอบการทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุด 500 ชม. และในสภาพถนน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวม 6 ล้านกิโลเมตร GWM มุ่งมั่นและใส่ใจในคุณภาพ และความทนทานของเครื่องยนต์เป็นอันดับแรก จากโครงสร้างการออกแบบที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความทนทานสูง ทั้งการใช้งานแบบขับขี่ในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ หรือแม้แต่การขับขี่แบบออฟโรดที่ต้องใช้พละกำลังและแรงบิดสูง GWM พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าด้วยการมอบการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนาน และครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในคุณภาพของ GWM ในเครื่องยนต์นี้
ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าวว่า GWM มุ่งมั่นส่งมอบเทคโนโลยีใหม่ และนวัตกรรมล้ำหน้า เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งกว่า เหนือกว่า และครอบคลุมทุกความต้องการที่มากกว่าเพื่อผู้ใช้งานชาวไทยทุกคน ผ่านแนวคิด GWM Go with More ที่สะท้อนถึงพันธกิจของ GWM ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีกว่าและเหนือกว่าในทุกมิติของการใช้รถ ยนต์ที่ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่นี้ เป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นความเชี่ยวชาญของ GWM โดยมีการวิจัย และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน จนประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก ทั้งในด้านสมรรถนะ ประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน และความทนทาน พร้อมปฏิวัติการขับขี่เครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมๆ สำ หรับ New GWM Tank 300 Diesel ขุมพลังใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T คอมมอนเรลไดเรคท์อินเจคชันชนิดแรงดันสูง ควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ พร้อมระบบเทอร์โบแปรผันนี้ จะมาพร้อม 3 รุ่นย่อย ที่ครอบคลุมทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ให้แฟนๆ รถเอสยูวีสไตล์ Premium Boxy ชาวไทย ได้เลือกเร็วๆ นี้
..................................................................................................................
CUB House เปิดตัว New C125 Custom Edition
CUB House by Honda เปิดตัว New Honda C125 Custom Edition (ฮอนดา ซี 125 คัสตอม เอดิชัน) นำเสนอความหรูหราด้วยคู่สีใหม่ สีขาว (Original White) สีที่เป็นตัวแทนของความเรียบหรู และสีแดง (Artisan Red) สีที่เป็นตัวแทนของความหลงใหลผสมผสานกันอย่างลงตัว ภายใต้คอนเซพท์ The Craftpiece ตกแต่งด้วยความประณีต เปรียบงานศิลปะเมื่อปลายยุค 50 สะท้อนความคราฟท์เหนือระดับสำหรับคนมีคลาสส์ พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้
New Honda C125 Custom Edition สร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันด้วยวัสดุระดับพรีเมียม อีกทั้งยังคงเสน่ห์ของความคลาสสิคไว้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วย S-Shape Design รูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์เหนือกาลเวลาตามแบบ Honda Super Cub ปี 1958 สไตล์เรโทรคลาสสิค ตั้งแต่แฮนด์ไปจรดบังโคลนล้อหลังลงตัวคู่กับ Double Seat เบาะ 2 ตอนสุดคลาสสิคสีแดงใหม่ (Artisan Red) ที่ตัดกับสีขาวเสริมความหรูหราอย่างมีระดับ
New Honda C125 Custom Edition มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยเครื่องยนต์ 125 ซีซี หัวฉีด PGM-FI ระบายความร้อนด้วยอากาศ ส่งกำลังขับผ่านระบบเกียร์วน 5 จังหวะ อีกทั้งยังมีเทคโนโลโนยีครบครัน ไม่ว่าจะเป็นไฟส่องสว่างแบบ Full LED Light หน้าจอ LCD Meter แบบดิจิทอล และระบบกุญแจ Honda Smart Key มอบความสะดวกสบายได้ทุกการเดินทาง
CUB House by Honda พร้อมวางจำหน่าย New Honda C125 Custom Edition สีขาว (Original White) ราคาแนะนำที่ 94,600 บาท ที่ CUB House Flagship ทุกสาขาทั่วประเทศ
..................................................................................................................
Michelin เปิดตัว Primacy 5
Michelin ผู้นำด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยียางล้อระดับโลก เปิดตัว Primacy 5 ยางสำหรับรถยนต์นั่ง และรถครอสส์โอเวอร์ทุกประเภทเครื่องยนต์ ภายใต้แนวคิด “ปลอดภัย มั่นใจในสมรรถนะที่ดีเยี่ยมรอบด้าน แม้เวลาเปลี่ยน” (Confidence Made to Last) ยางรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติเหนือกว่ายางรุ่นก่อนหน้าอย่าง Michelin Primacy 4 โดยมาพร้อมนวัตกรรมล้ำหน้าที่ช่วยให้ยางมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
สรพงษ์ จันทร์นฤกุล ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2C บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เปิดเผยว่า ยาง Michelin Primacy 5 พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับศักยภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของยานยนต์รุ่นใหม่ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์รุ่นใหม่โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า มีน้ำหนักมากขึ้น และแรงม้าสูงขึ้น จึงต้องใช้ยางล้อที่มีสมรรถนะสูงขึ้นตามไปด้วย โครงสร้างยางล้อจึงต้องมีประสิทธิ ภาพที่จะรองรับความต้องการเหล่านี้ได้ ความทนทานต่อการสึกหรอ และแรงต้านทานการหมุนของยางล้อที่ดีขึ้นไม่เพียงส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนในการใช้งานต่ำลง แต่ยังช่วยให้ยางมีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนเปียกที่ดียาวนาน จึงให้ความปลอดภัย และอายุการใช้งานที่ยาวนานเหนือกว่า สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย จุดเด่นเหล่านี้ไม่เพียงยกระดับประสบการณ์การขับขี่ แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ Michelin Primacy 5 เป็นยางที่เลือกใช้งานเพื่อการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ
จุดเด่นสำคัญของยาง Michelin Primacy 5 ได้แก่ ประสบการณ์ขับขี่ที่นุ่มสบายเหนือระดับ ด้วยดีไซจ์นดอกยางแบบใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Michelin Silent Rib Gen-3 ซึ่งช่วยลดการสั่นสะ เทือน จึงช่วยลดเสียงรบกวนลง และให้การขับขี่ที่นุ่มเงียบสบาย สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายตลอดการเดินทาง อายุใช้งานที่ดีเยี่ยมยาวนาน โดยมีอายุใช้งานเฉลี่ยยาวนานกว่ายางระดับพรีเมียมแบรนด์อื่นๆ ถึง 24 % ด้วยลายดอกยางสำหรับถนนเปียกที่ให้อายุใช้งานยาวนาน, ร่องรีดน้ำบริเวณไหล่ยาง (Lateral Groove Edges) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเทคโนโลยี Max Touch ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสระหว่างยางล้อกับผิวถนน และกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอตลอดหน้ายางขณะเร่งความเร็ว เบรค และเข้าโค้ง ส่งผลให้หน้ายางมีอายุใช้งานนานขึ้นโดยยังคงให้ความปลอดภัยขณะขับขี่ดังเดิม ผู้ขับขี่จึงเพลิดเพลินกับการเดินทาง และกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ ได้ยาวนานยิ่งขึ้น...ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง
ให้ความปลอดภัยบนถนนเปียกยาวนานกว่า โดยมีระยะเบรคสั้นกว่ายางระดับพรีเมียมแบรนด์อื่นๆ ถึง 8 % (ยางใหม่) และ 13 % (ยางใกล้หมดดอก) ด้วยเนื้อยางสูตรพิเศษ Functional Elastomers 3.0 ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี Michelin Ever Grip และ Michelin Ever Tread ที่ช่วยให้การรีดน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้สมรรถนะการเบรคบนถนนเปียกที่เป็นเยี่ยม เพิ่มความอุ่นใจ และปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในทุกการเดินทาง และรองรับการใช้งานร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยสูตรเนื้อยางสมรรถนะสูงบริเวณหน้ายางที่ช่วยลดแรงต้านทานการหมุนของยางล้อลงถึง 13 % จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และยืดระยะใช้งาน/รอบการชาร์จแบทเตอรี 1 ครั้งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากยาง Michelin Primacy 5 จะให้สมรรถนะ ความปลอดภัย และความนุ่มเงียบสบายที่เหนือกว่าแล้ว ยังเคารพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “ความยั่งยืนทุกด้าน” (All Sus tainable) ของกลุ่ม Michelin โดยแรงต้านทานการหมุนของยางล้อ มีประสิทธิภาพดีขึ้น 5 % ขณะที่อายุการใช้งาน ยาวนานขึ้น 18 % อีกทั้งการออกแบบโดยรวมยังช่วยให้ยางรุ่นนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลงถึง 6 %
ปัจจุบัน Michelin Primacy 5 มีวางจำหน่ายแล้ว ณ ร้านตัวแทนจำหน่ายยางอย่างเป็นทางการของ Michelin ทั่วประเทศ โดยมีให้เลือกรวมทั้งสิ้น 46 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 16-20 นิ้ว โดยยางขนาด 18 นิ้วขึ้นไป (21 รายการ) มาพร้อมแก้มยางกำมะหยี่ดีไซจ์นแบบเต็มวง
