บทความ
Ferrari 296 Speciale & Speciale A ม้าดุขับหลังอัพเกรดขั้นสุด

Ferrari 296 Speciale & Speciale A พัฒนาต่อยอดจากรุ่น 296 GTB และ 296 GTS ด้วยการปรับแต่งสมรรถนะ และน้ำหนักที่เบาลง พร้อมเสริมเทคโนโลยีจากสนามแข่งเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นพร้อมพละกำลัง V6 HybridHighlight
ช่วงปีที่ผ่านมาหลายคนตื่นตาตื่นใจอย่างมากเมื่อม้าลำพองอย่าง Ferrari (แฟร์รารี) ได้เปิดตัวรุ่น 296 GTB (296 จีทีบี) และ 296 GTS (296 จีทีเอส) รถยนต์ซูเพอร์คาร์ของเขาในรูปแบบไฮบริด คราวนี้เป็นการพัฒนาเครื่องยนต์ V6 ในรอบหลายทศวรรษ และกระแสดีเยี่ยมในหมู่ลูกค้าตั้งแต่วันเปิดตัวมา เป็นรถที่โดดเด่นเรื่องสมรรถนะ และการขับขี่ที่สนุกที่สุด เทคโนโลยีล้ำที่สุดรุ่นหนึ่งของค่ายก็ว่าได้ เพื่อสานต่อความสำเร็จม้าลำพองได้เวลาเปิดตัวรุ่นพิเศษ 296 Speciale (296 สเปชาเล) และรุ่นเปิดประทุน 296 Speciale A (296 สเปชาเล เอ) ที่เพิ่มความดุเดือด สปอร์ทขั้นสุด เอาใจเศรษฐีสายสะสมไม่น้อย
สำหรับ 296 Speciale ภายนอกมีการปรับชิ้นส่วนใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Diffuser ชิ้นหน้า กันชนหน้าออกแบบใหม่ ให้สามารถระบายอากาศได้มากขึ้น วัสดุฝากระโปรงหน้ามีช่องระบายอากาศเป็น Carbonfiber และที่สำคัญไฮไลท์อยู่ที่ด้านท้าย ที่เดิมมีปีกสปอย์เลอร์สำหรับยกขึ้นเพื่อการ Airbrake หรือการช่วยชะลอรถลง แต่ในรุ่นใหม่มีการออกแบบชิ้นส่วนใหม่ให้มีความคล้ายกลับรุ่นพี่ตัวสูงสุดอย่าง Ferrari F80 (แฟร์รารี เอฟ 80) สามารถปรับระดับการยกขึ้น-ลง ได้ตาม Driving Mode สร้างแรงกดรวม 435 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. ซึ่งมากกว่า 296 GTB ถึง 20 %
นอกจากนี้ ทั้งรุ่นหลังคาแข็ง และรุ่นหลังคาเปิดประทุนมองผ่านๆ ครั้งแรกนึกว่าเป็นรถที่เพิ่มชุดแต่งเท่านั้น แต่เนื้อในมีการเปลี่ยนวัสดุน้ำหนักเบาใหม่เกือบทั้งหมด ทำให้รถคันนี้สามารถลดน้ำหนักลงจากรุ่นปกติได้ 110-130 ปอนด์ หรือประมาณ 60 กิโลกรัม กับรุ่น Speciale และ 50 กิโลกรัมในรุ่น Speciale A เลยทีเดียว ล้อสำหรับรุ่นนี้จะเป็นแบบ Carbonfiber ลดน้ำหนัก และเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วงล่างมีการปรับปรุงเป็นแบบ Multimatic แบบที่ใช้สำหรับรถแข่งคลาสส์ GT3 (จีที 3) พร้อมสปริงไททาเนียมที่ช่วยลดการโคลงตัวลง 13 % ตัวรถเตี้ยลง 5 มม. พร้อมระบบควบคุม SSC 9.0 ที่คุมทั้งแชสซีส์ ระบบการทรงตัว การเบรค อัตราเร่งพร้อมแรงบิดแบบ Real Time
ความดุดันไม่ได้มีแค่ภายนอกเพียงอย่างเดียวแต่ภายในยังดิบ สะใจ และสปอร์ทยิ่งกว่าตั้งแต่การใช้ชิ้นส่วน Carbonfiber บริเวณแผงประตู แผงเกียร์ขั้นบันไดทั้งชิ้น เบาะนั่งแบบ Fixed Carbonfiber Seat น้ำหนักเบากว่ารุ่นปกติ 5 กิโลกรัม และมาพร้อมวัสดุ Alcantara บุรอบคัน มาพร้อมความล้ำสมัยควบคู่ไปด้วยหน้าจอแสดงผล 10 นิ้ว พร้อมออพชันหน้าจอแสดงผลด้านผู้โดยสาร Passenger Display ก็ยังมีให้
296 Speciale มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่วางอยู่ระหว่างเครื่องกับเกียร์คลัทช์คู่ 8 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 869 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 755 นิวทันเมตร 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.8 วินาที, 0-200 ใน 7 วินาที และความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์ 8 จังหวะ F1-DCT ที่ปรับปรุงให้รวดเร็วกว่าเดิม ตัวรถสามารถวิ่งแบบไฟฟ้า 100 % ด้วยโหมด eDrive โดยจะวิ่งได้ในระยะทาง 25 กม. ที่ความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม.
จุดเด่นอีกส่วน คือ มาพร้อมฟังก์ชัน Qualify Mode ที่จะเพิ่มกำลังพิเศษที่ยกมาใช้จาก SF90 XX Stradale ซึ่งใช้ประโยชน์จากความสามารถของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างเต็มที่เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในระยะเวลาจำกัด วัตถุประสงค์ของฟังก์ชันการเพิ่มกำลังพิเศษซึ่งมีให้ใช้งานเฉพาะในการตั้งค่า eManettino แบบ Qualify คือ โหมดที่ใช้สำหรับส่งกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อออกจากทางโค้งเพื่อช่วยลดเวลาต่อรอบ ระบบจะตรวจสอบประมวลผลการทำงานมอเตอร์ และเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง ถ้าขับขี่ในโหมดที่ใช้ความเร็วต่ำ ระบบจะส่งกำลังในค่ามาตรฐานได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ทำให้ระบบได้รับความร้อนมากเกินไป
รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นพิเศษของ Ferrari อย่างแท้จริง และเช่นเดียวกับรุ่นก่อนๆ อย่าง 360 Challenge Stradale, 430 Scuderia, 458 Speciale และ 488 Pista ก็ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในด้านความเร้าใจในการขับขี่ แน่นอนว่าลูกค้าที่จะเป็นเจ้าของได้ต้องได้รับการเชิญจาก Ferrari อีกเช่นเคย และยังต้องเป็นลูกค้าประจำต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งมันจะเป็นรถที่หมายปองของใครหลายๆ คน สนนราคาอยู่ที่ราวๆ 464,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 17 ล้านบาทไทย ไม่รวมภาษีนำเข้า