ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สอท. เผยเดือน พค. ยอดผลิตเพิ่มรอบ 21 เดือน
เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตรถยนต์ 139,186 คัน ผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือนที่ร้อยละ 10.32 ขาย 52,229 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.73 เป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 ส่งออก 81,071 คัน ลดลงร้อยละ 9.20 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 6,411 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 641.16 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 11,274 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 120.32
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของประเทศในเดือนพฤษภาคม 2568 ดังต่อไปนี้
การผลิต
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ร้อยละ 33.51 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 10.32 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือนจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ PHEV เพิ่มขึ้นร้อยละ 641.16 และ 130.49 ตามลำดับ ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.88 รวมทั้งผลิตรถ PPV เพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 138.65
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 7.82
รถยนต์นั่ง เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 54,135 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 15.30 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 25,211 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 15.78
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 6,411 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 641.16
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 1,837 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 130.49
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 20,676 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 34.66
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มีจำนวน 213,649 คัน เท่ากับร้อยละ 35.94 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 11.05 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 91,710 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 37.79
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 20,494 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 393.12
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 9,620 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 271.29
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 91,825 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 6.75
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนพฤษภาคม 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 85,051 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 7.37 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 380,843 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 5.91
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 84,475 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 7.86 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 377,186 คัน เท่ากับร้อยละ 63.45 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 4.35 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 60,453 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 11.04
• รถกระบะดับเบิลแคบ 242,443 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 6.78
• รถกระบะ PPV 74,290 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 12.09
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 576 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 35.35 รวมเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 3,657 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 64.94
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน เท่ากับร้อยละ 62.72 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 1.70 ส่วนเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 390,095 คัน เท่ากับร้อยละ 65.62 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 10.20
รถยนต์นั่ง เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 18,627 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 26.33 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 73,116 คัน เท่ากับร้อยละ 34.22 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 42.82
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนพฤษภาคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 68,670 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 8.10 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 316,979 คัน เท่ากับร้อยละ 84.04 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 3.41 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 36,073 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 36.26
• รถกระบะดับเบิลแคบ 221,633 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 1.70
• รถกระบะ PPV 59,273 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 8.55
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 51,889 คัน เท่ากับร้อยละ 35.65 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 38.92 และเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 204,397 คัน เท่ากับร้อยละ 37.28 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 2.91
รถยนต์นั่ง เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 35,508 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 63.88 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ผลิตได้ 140,533คัน เท่ากับร้อยละ 65.78 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.13
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนพฤษภาคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 15,805 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 6.83 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 60,207 คัน เท่ากับร้อยละ 15.96 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 31.42 ซึ่งแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 24,380 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 41.23
• รถกระบะดับเบิลแคบ 20,810 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 39.91
• รถกระบะ PPV 15,017 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 28.64
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนพฤษภาคม 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุก เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 576 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 35.35 และตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 3,657 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 64.94
รถจักรยานยนต์
เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 210,349 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 9.57 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 177,309 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.42 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 33,040 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 38.94
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,064,381 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 865,858 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 3.33 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 198,523 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 13
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ร้อยละ 10.67 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 4.73 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV, PHEV และรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายใน เพิ่มขึ้นร้อยละ 118.64, 234.68 และ 3.19 ตามลำดับ จากราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลงร้อยละ 24.84 จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูง และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย กังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกัน ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 35,560 คัน เท่ากับร้อยละ 68.08 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 19.82
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 13,769 คัน เท่ากับร้อยละ 26.36 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 3.19
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 11,188 คัน เท่ากับร้อยละ 21.42 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 118.64
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 743 คัน เท่ากับร้อยละ 1.42 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 234.68
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 9,860 คัน เท่ากับร้อยละ 18.88 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 10.34
รถกระบะมีจำนวน 11,148 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 24.84 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 86 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่ายรถ PPV มีจำนวน 3,099 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 9.93 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 1,178 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 7.97 และรถประเภทอื่นๆมีจำนวน 1,158 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 8.17
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 164,654 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 24.79 แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 0.41
ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 รถยนต์มียอดขาย 252,615 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 2.98 แยกเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 162,748 คัน เท่ากับร้อยละ 64.43 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 4.07
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 61,704 คัน เท่ากับร้อยละ 24.43 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 11.84
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 44,821 คัน เท่ากับร้อยละ 17.74 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 59.23
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 4,447 คัน เท่ากับร้อยละ 1.77 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 353.31
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 51,776 คัน เท่ากับร้อยละ 20.50 ของยอดขายรถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 9.58
รถกระบะมีจำนวน 62,467 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 17.27 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 259 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 15,365 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 5.48 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 5,853 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 14.01 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 5,923 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 9.54
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 751,848 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 1.60
การส่งออก
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนพฤษภาคม 2568 ส่งออกได้ 81,071 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว ร้อยละ 23.34 แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 9.20 ลดลงจากการหยุดผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นที่เลิกส่งออกไปสหรัฐอเมริกา และยุโรปจากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือในการขับ จึงไม่มีรถยนต์นั่งส่งออกไปในตลาดยุโรป แต่ส่งออกรถกระบะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการผลิตรถกระบะส่งออกมากขึ้นในเดือนพฤษภาคม และส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางด้วย รถยนต์ HEV ยังส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.48 การส่งออกรถยนต์ และชิ้นส่วนยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจ และการค้าโลกชะลอตัวลง
ส่วนการส่งออกเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ อะไหล่รถยนต์ เพิ่มขึ้นดังนี้
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนพฤษภาคม 2568 แบ่งเป็นดังนี้
• รถกระบะ 52,584 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 64.86 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 4.83
• รถยนต์นั่ง ICE 11,954 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.75 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 46.63
• รถยนต์นั่ง BEV ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง HEV 5,174 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 6.38 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 17.48
• รถ PPV 11,359 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.01 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 7.81
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 55,163.36 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 12.54
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,135.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 0.90
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 15,753.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 2.27
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,380.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 9.74
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 76,432.16 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 8.74
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 371,272 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 13.65 แบ่งเป็น
• รถกระบะ ICE 240,030 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 64.65 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.80
• รถยนต์นั่ง ICE 53,651 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.45 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 46.37
• รถยนต์นั่ง BEV 660 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.26 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง HEV 22,214 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.98 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 6.75
• รถ PPV 54,717 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.74 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 7.53
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 256,931.34 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ14.46 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 15,170.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 18.74
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 78,703.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 0.91
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 11,129.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 6.03
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 361,934.01 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 9.89
รถจักรยานยนต์
เดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนส่งออก 67,056 คัน (รวม CBU+CKD) ลดลงจากเดือนเมษายน 2568 ร้อยละ 9.53 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 26.27 โดยมีมูลค่า 4,792.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 3.99
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 203.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 26.32
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 220.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 292.91
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนพฤษภาคม 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 5,217.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 8.10
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 370,375 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 3 มีมูลค่า 26,653.58 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 6.76
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 898.67 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 10.32
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,064.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 46.63
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 28,617.24 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 5.59
เดือนพฤษภาคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 81,649.16 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 7.82
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 390,551.25 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 9.58
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนพฤษภาคม 2568
เดือนพฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่จำนวน 13,935 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 70.65 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 12,054 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 120.97
o รถยนต์นั่ง จำนวน 11,827 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 221 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 2 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 4 คัน
• รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 14 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 40
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 1,843 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 28.57
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 1,843 คัน
• รถโดยสารมีทั้งสิ้น 3 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 95.95
• รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 29 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 16
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 53,955 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 22.85 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 43,715 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 37.76
o รถยนต์นั่ง จำนวน 42,916 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 652 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 12 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 135 คัน
• รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 122 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 24.69
• รถยนต์สามล้อมีทั้งสิ้น 8 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 84.31
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล จำนวน 6 คัน
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 9,948 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 14.53
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 9,947 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 1 คัน
• รถโดยสารมีทั้งสิ้น 53 คัน ลดลงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 70.72
• รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 109 คัน ลดลงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 30.13
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนพฤษภาคม 2568
เดือนพฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่จำนวน 12,152 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 12.63 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 12,044 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 12.26
o รถยนต์นั่ง จำนวน 11,999 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 3 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 26 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 15 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 1 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 108 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 80
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 108 คัน
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 60,793 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 2.49 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 60,352 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 2.07
o รถยนต์นั่ง จำนวน 60,167 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 17 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 102 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 64 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 441 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 130.89
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 441 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนพฤษภาคม 2568
เดือนพฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่จำนวน 2,402 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 241.19 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 2,402 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ 241.19
o รถยนต์นั่ง จำนวน 2,402 คัน
เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 9,822 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคมปีที่แล้ว ร้อยละ142.34 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 9,822 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 ร้อยละ 142.34
o รถยนต์นั่ง จำนวน 9,799 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 20 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 3 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568
ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 280,600คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 60.05 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 202,803 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 67.18
o รถยนต์นั่งมีจำนวน 198,524 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.19
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 3,159 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 121.53
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 217 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 228.79
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 182 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 68.52
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีจำนวน 718 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 183.79
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 993 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 122.15
• รถยนต์ 3 ล้อ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,028 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 9.25
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีจำนวน 119 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 29.35
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ มีจำนวน 909 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 7.07
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 71,933 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 45.15
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 71,824 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 45.32
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ มีจำนวน 109 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 16.79
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2,838 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 9.11
o รถบรรทุก มีจำนวนทั้งสิ้น 1,005 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 118
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568
ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 529,549 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 31.59 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 519,891 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.21
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 518,551 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.18
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 507 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.11
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 175 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 165.15
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 278 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 49.46
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 7 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีจำนวน 373 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 131.68
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9,655 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 5.03
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 9,655 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 5.03
• อื่นๆ
o รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568
ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 72,920 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ 25.83 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 72,920 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ร้อยละ25.83
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 72,825 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 25.82
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 1 คัน ในปี 2567 ยังไม่มีการจดทะเบียน
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 62 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 51.22
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 21 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 8.70
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.67
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
........................................................................................................................
Lamborghini เปิดตัว Temerario
เรนาสโซ มอเตอร์ฯ ผู้จำหน่ายรถยนต์ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) อย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย เผยโฉม “Temerario” (เตเมรารีโอ) ซูเพอร์สปอร์ทคาร์พลัก-อิน ไฮบริดรุ่นล่าสุด จากแบรนด์ซูเพอร์สปอร์ทคาร์หรูสัญชาติอิตาเลียน สุดยอดยนตรกรรมหนึ่งเดียวที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ ใหม่ล่าสุด ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบสมรรถนะการเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รตน. พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านประสิทธิภาพอันทรงพลัง ประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ และสุนทรีย์แห่งการเดินทางอย่างเหนือชั้น
อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า Temerario โดดเด่นอย่างเหนือชั้นในฐานะยนตรกรรมรุ่นที่ 2 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) ของ Lamborghini ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นแห่งประวัติศาสตร์อย่าง Revuelto (เรบูเอลโต) ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ผสานกับชุดเกียร์ดับเบิลคลัทช์ 8 จังหวะ และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ในขณะที่ Temerario ได้เปิดศักราชใหม่ด้วยขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบสุดล้ำ ถือเป็นการเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดของ Lamborghini อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการเปิดตัว Urus SE (อูรุส เอสอี) ซูเพอร์เอสยูวีพลัก-อิน ไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์ เมื่อปีที่ผ่านมา
Stephan Winkelmann (ชเตฟาน วิงเคิลมันน์) ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Automobili Lamborghini เผยว่า การเปิดตัวของ Temerario ได้สร้างตำนานบทใหม่ในฐานะผู้บุกเบิกเซกเมนท์ที่นำเสนอไลน์อัพรถยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบเป็นรายแรก Temerario คือ ยนตรกรรมที่เปี่ยมไปด้วยความโดดเด่นอย่างเหนือชั้น ด้วยขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ 920 แรงม้า ที่มอบทั้งสมรรถนะ และความสะดวกสบายในระดับสูงสุด เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบ และพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ณ ฐานการผลิตของเราใน Sant’Agata Bolognese ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่มุ่งผลักดันความยั่งยืน และสร้างสรรค์เทคโนโลยี โดยผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับงานฝีมือชั้นสูงแบบอิตาเลียนอย่างลงตัว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัว Lamborghini Temerario อย่างยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยพลังงานอันมีชีวิตชีวา และได้ร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ไปพร้อมกับกลุ่มคนผู้รัก Lamborghini อย่างแท้จริง
Francesco Scardaoni (ฟรันเชสโก สการ์ดาโอนี) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค Automobili Lamborghini กล่าวว่า Temerario ได้สะท้อนถึงดีเอนเอแบรนด์สัญชาติอิตาเลียนของเรา ทั้งดีไซจ์นอันโดดเด่น เทคโนโลยียานยนต์ไฮบริดสุดล้ำ และสมรรถนะระดับสูงสุด ที่มอบสุนทรีย์ในการขับขี่อย่างแท้จริง พร้อมเสียงเครื่องยนต์อันทรงพลังที่บ่งบอกความเป็น Lamborghini อย่างชัดเจน ความพิเศษอันเหนือชั้นของรถคันนี้ ไม่จำกัดเพียงในด้านสมรรถนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสบาย และพื้นที่ใช้สอยด้วย นับเป็นซูเพอร์สปอร์ทคาร์ที่ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ทั้งในสนามแข่ง และบนถนนจริง ขณะเดียวกันยังมอบพื้นที่สำหรับผู้โดยสาร และสัมภาระได้มากกว่ารถรุ่นอื่นๆ ในเซกเมนท์เดียวกัน เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอยนตรกรรมอันโดดเด่นรุ่นนี้สู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้
Temerario ปรากฏโฉมในสีน้ำเงิน Blu Marinus พร้อมผิวสัมผัสแบบแมทท์ที่โดดเด่นจากความร่วมมือระหว่าง Lamborghini และพันธมิตร Bridgestone (บริดจ์สโตน) โดยเลือกใช้ยางสมรรถนะสูงระดับไอคอนจากตระกูล Potenza (โพเทนซา) โดยนำเสนอยางรุ่น Potenza Sport และ Potenza Race ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับ Temerario เพื่อการขับขี่บนถนน และในสนามแข่งขัน ยาง Potenza Sport รุ่นพิเศษนี้ มาพร้อมลายดอกยางที่ออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพการควบคุมบนถนนแห้ง การยึดเกาะบนถนนเปียก และสมรรถนะในความเร็วสูง ยกระดับความเร้าใจในการขับขี่สไตล์สปอร์ทให้ถึงขีดสุด
Temerario เปิดตัวด้วย 2 สีพิเศษใหม่ ได้แก่ สีฟ้า Blu Marinus และสีเขียว Verde Mercurius พร้อมมอบอิสระให้ลูกค้าปรับแต่งรถเพื่อสะท้อนตัวตนได้อย่างไม่รู้จบ ผ่านโปรแกรม Ad Personam ของ Lamborghini ที่นำเสนอสีตัวถังกว่า 400 เฉด รวมถึงลวดลายพิเศษ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมล้อแมกรุ่นใหม่ถึง 3 ดีไซจ์น และวัสดุที่แตกต่างกัน พร้อมออพชันคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับตกแต่งทั้งภายใน และภายนอกหลากหลายชิ้นส่วน ไม่ว่าจะต้องการสื่อถึงความสปอร์ท ความหรูหรา หรือทั้ง 2 อย่างในแบบเฉพาะตัว ทุกการคัสตอม คือ ภาพสะท้อนบุคลิก และไลฟ์สไตล์ของเจ้าของอย่างแท้จริง
........................................................................................................................
GAC เปิดตัว Aion UT
Aion UT (ไอออน ยูที) รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดจาก GAC Group บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกโดย Aion UT มาพร้อมแนวคิด “Let’s Play” ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ผู้รักอิสระ ชอบความสนุก และมองหานวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อยกระดับทุกการเดินทาง
Aion UT มาพร้อมดีไซจ์น “Futuristic Minimalism” แรงบันดาลใจจากเมืองมิลาน ผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมกำหนดมาตรฐานใหม่แห่งยนตรกรรมไฟฟ้าระดับพรีเมียมเสริมด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ระดับ L2 และฟังค์ชันความปลอดภัยที่ครบครัน อีกทั้งยังรองรับการชาร์จเร็วจาก 30-80 % ในเวลาเพียง 24 นาที และวิ่งได้ไกลถึง 500 กม./การชาร์จ (มาตรฐาน NEDC)
การเปิดตัว Aion UT ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์ One GAC 2.0 ของเรา ซึ่งเราได้ขับเคลื่อนโครงการในประเทศไทยในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นทั้งผลิตภัณฑ์ การผลิต ช่องทางจำหน่าย บริการ และระบบพลังงาน & โมบิลิตี้ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีกว่า
ในด้านผลิตภัณฑ์ Aion UT เป็นโมเดลกลยุทธ์ระดับโลกใหม่ของ GAC ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกของโลกในประเทศไทย และจะมีผลิตภัณฑ์ระดับโลกเพิ่มเติมในอนาคต เรามอบคุณค่าหลัก 3 ประการ คือ
เทคโนโลยี : คุณค่าผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า เพื่อประสบการณ์ที่ดีกว่า
การเพลิดเพลินในไลฟ์สไตล์ : มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
คุณภาพระดับชั้นยอด : เรานำมาซึ่งคุณค่าที่ยั่งยืนเกินความคาดหมาย
ส่วนในด้านการผลิต เราจะเปิดตัวโมเดลดาวรุ่ง 2-3 รุ่น/ปี ทั้ง EV และ Hybrid พร้อมส่งเสริมการผลิตในท้องถิ่น โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์ท้องถิ่น อัตราการใช้ชิ้นส่วนท้องถิ่นปัจจุบันอยู่ที่ 51 % และจะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้
ด้านช่องทางจำหน่าย ภายในปี 2025 เราจะจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายมาตรฐาน One GAC จำนวน 80 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมตลาดสำคัญทั้งหมด เรากำลังเร่งการนำมาตรฐานการขาย และบริการระดับโลก (GSSW) มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตัวแทนจำหน่าย และคุณภาพการบริการ
ทั้งนี้ในส่วนของการบริการ ปีนี้จะมีการสร้างศูนย์บริการพรีเมียมมาตรฐาน 5 ดาวจำนวน 50 แห่ง พร้อมอะไหล่ในสตอคท้องถิ่นกว่า 6,000 รายการ (มีพร้อมใช้ 90 % สำหรับกรณีเร่งด่วน) บริการจัดส่งภายใน 24 ชม. ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 2 วันสำหรับต่างจังหวัด มีช่างเทคนิคที่ได้รับการรับรองกว่า 300 คน พร้อมสนับสนุนศูนย์บริการแบทเตอรแห่งแรกของ GAC ซึ่งเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่สามารถซ่อมแซมชุดแบทเตอรี โมดูล และเซลล์ในทุกระดับได้
ในด้านระบบพลังงาน และโมบิลิที GAC เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายเดียวจากจีนที่มีระบบนิเวศพลังงานครบวงจรในต่างประเทศ โดยดำเนินการสถานีชาร์จ 58 แห่งแล้ว ผ่านแผน "ร้อยเมือง พันเครื่องชาร์จ" และ "ร้อยร้านพลังงานแสงอาทิตย์" ร่วมกับพาร์ทเนอร์ และเรายังสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้าน EV อีกด้วย
สำหรับ Aion UT รุ่น Standard 449,900 บาท และรุ่น Premium 649,900 บาท ก่อน 31 กรกฎาคมนี้
................................................................................................................
ประกาศผล "งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47"
สมาคมรถโบราณเเห่งประเทศไทย จัดแสดงรถโบราณ และรถคลาสสิค เพื่อประชันคุณค่ากว่าร้อยคัน ในงานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47 ภายใต้แนวคิด “ความหวังยุคหลังสงคราม The Post-War Hope” เมื่อวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568 ณ ฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ส่วนผลการประกวด มีดังนี้
ผลการตัดสิน "งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47"
ประเภทรถหลังสงคราม (Post-war Cars ปี 1946-1960)
รางวัลที่ 1 Alfa Romeo รุ่น Sprint 750 ปี 1958 Ong Chong Soo
รางวัลที่ 2 Mercedes-Benz รุ่น Ponton 190 ปี 1959 กันธิชา ฉิมศิริ
รางวัลที่ 3 Jaguar รุ่น XK120 OTS ปี 1950 อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี
ประเภทรถคลาสสิค (Classic Cars ปี 1961-1970)
รางวัลที่ 1 Porsche รุ่น 911S ปี 1967 อภิชัย ตั้งวงศ์ศิริ
รางวัลที่ 2 Alfa Romeo รุ่น GT Veloce ปี 1966 Ong Chong Soo
รางวัลที่ 3 Lancia รุ่น Fulvia Series 1 ปี 1967 จักรภพ ทวยเจริญ
ประเภทรถคลาสสิคร่วมสมัย (Modern Classic ปี 1971-ปัจจุบัน (-30 ปี))
รางวัลที่ 1 Alfa Romeo รุ่น Giulia Super ปี 1974 Giuseppe Gaviraghi
รางวัลที่ 2 Mercedes-Benz รุ่น W116 450SEL 6.9 ปี 1978 พลพัฒน์ พงษ์สถิต
รางวัลที่ 3 Mercedes-Benz รุ่น W460 300GD ปี 1980 พลพัฒน์ พงษ์สถิต
รถจำลอง และรถประดิษฐ์พิเศษ (Replica and Customized Cars)
Opel รุ่น 816 PS ปี 1910 Ton Hillebrand
รถดัดแปลง (Modified Cars)
รางวัลที่ 1 Chevrolet รุ่น Panel COE ปี 1950 ธนานิษฐ์ ฉายอรุณ
รางวัลที่ 2 Daihatsu รุ่น Mira ปี 1994 วรรณลพ มโนมัยวิบูลย์
รางวัลที่ 3 Chevrolet รุ่น Apache ปี 1961 อภินันท์ มั่งไม้วัฒนา
ประเภทรถแจกวาร์ (Jaguar Cars)
รางวัลที่ 1 Jaguar รุ่น XJ6 Series 1 ปี 1972 ชฤต ภู่ศิริ
รางวัลที่ 2 Daimler รุ่น Double-Six Vanden Plas Series 2 ปี 1974 ดร.ณวรา จันทรัตน์
รางวัลที่ 3 Jaquar รุ่น XJ6 ปี 19923 ณัฐพล ณัฎฐาชัย
ประเภทรถมีนี (Mini Cars)
รางวัลที่ 1 Austin MIni รุ่น Cooper S ปี 1963 พนัย ควรสถาพร
รางวัลที่ 2 Morris รุ่น Mini-Minor ปี 1960 พันเอกวัชรพันธุ์ อมราพิทักษ์
รางวัลที่ 3 Austin รุ่น Mini MKI ปี 1967 ไพลิน บุนนาค
ประเภทรถโฟล์คสวาเกน (Volkswagen Cars)
รางวัลที่ 1 Volkswagen รุ่น Karmann Ghia K1 Convertible ปี 1963 อภินันท์ มั่งไม้วัฒนา
รางวัลที่ 2 Volkswagen รุ่น 1303 Super Beetle ปี 1974 ชวลิต อันตรวงศ์
รางวัลที่ 3 Volkswagen รุ่น Beetle ปี 1958 ภัทร ศศิวิมลกุล
ประเภทรถอเมริกัน (American Cars)
รางวัลที่ 1 Ford รุ่น Mustang ปี 1967 จตุพล อ่ำสุ่น
รางวัลที่ 2 Ford รุ่น Mustang ปี 1967 นิติคุณ ยุกตะนันท์
รางวัลที่ 3 Ford รุ่น Mustang Fastback ปี 1968 ณัฐภัสฑร์ ม่วงศิริ
ประเภทรถเฟียต (Fiat Cars)
รางวัลที่ 1 Fiat รุ่น 500 D ปี 1961 เอกฐากร เที่ยงตรง
รางวัลที่ 2 Fiat รุ่น 850 Coupe ปี 1969 สิทธิ์ทัศห์ ณิพัฒอนันท์
รางวัลที่ 3 Fiat รุ่น X 1/9 ปี 1982 ชัยวัฒน์ กุมุทพงษ์พานิช
รางวัลเจ้าของรถที่มีความพยายามยอดเยี่ยม
Opel รุ่น Rekord P1 ปี 1958 ณัชธนัญชัย เกียรติวิทยาธร
รางวัลสภาพรถเดิมยอดเยี่ยม
Land Rover รุ่น Series 3 ปี 1973
รางวัลรถที่มีงานสียอดเยี่ยม
Alfa Romeo รุ่น Giulia Super ปี 1974 Giuseppe Gaviraghi
รางวัลรถบูรณะใหม่ยอดเยี่ยม
Alfa Romeo รุ่น Sprint 750 ปี 1958 Ong Chong Soo
รางวัลรถญี่ปุ่นโดดเด่น และหายาก
Honda รุ่น Accord ปี 1992 เดชา รัตนผล
ราชินีแห่งความสง่างาม
มาริษา รุ่งโรจน์
........................................................................................................................
MINI แนะนำ Cooper SE Hightrim ใหม่
MINI ประเทศไทย ปลุกกระแสยานยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยอีกครั้ง กับการเปิดตัว MINI Cooper SE Hightrim (มีนี คูเพอร์ เอสอี ไฮทริม) ยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของ MINI Cooper SE อันเป็นเอกลักษณ์ สำหรับ MINI Cooper SE Hightrim ถือเป็นการก้าวสู่อีกขั้นของการพัฒนาดีไซจ์น และนวัตกรรม พร้อมด้วยชุดฟีเจอร์พรีเมียมใหม่ที่พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ในมิติที่เหนือกว่า พร้อมส่งมอบแล้ววันนี้ที่ผู้จำหน่าย MINI ทั่วประเทศ
MINI Cooper SE Hightrim ยังคงรักษาเสน่ห์ภายนอกในแบบฉบับ MINI Cooper SE ที่มาพร้อมกับไฟหน้า LED ทรงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีการยกระดับทั้งด้านดีไซจ์น และการใช้งาน ไฮไลท์ของรุ่นนี้ ได้แก่ ล้อแมก Night Flash Spoke 2-Tone ขนาด 18 นิ้ว และตัวเลือกสีใหม่สุดพิเศษอย่าง Indigo Sunset Blue ซึ่งเข้ากันกับรูปทรงที่โดดเด่นของ MINI Cooper SE ได้อย่างลงตัว มีความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารของรุ่นไฮทริมโดดเด่นด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ในหลากหลายด้าน โดยผู้ขับขี่จะได้สัมผัสกับระบบเครื่องเสียงเหนือระดับจาก Harman Kardon และเบาะไฟฟ้าพร้อมการตั้งค่าระบบจดจำการปรับเบาะแบบไฟฟ้า และฟังค์ชันนวดสำหรับเบาะผู้ขับขี่ เติมความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง
MINI Cooper SE Hightrim ยังคงผสานพลังกับประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ และตอบสนองเร็ว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ปลอดมลพิษ ในด้านของความจุแบทเตอรี รุ่นไฮทริมสามารถเดินทางได้สูงสุด 400 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP นอกจากนี้ เมื่อชาร์จที่สถานีชาร์จ DC แบทเตอรีสามารถเพิ่มขึ้นจาก 10 %-80 % ได้ในเวลาไม่ถึง 30 นาที
MINI Experience Modes ทั้ง 7 แบบช่วยปรับแต่งทุกการขับขี่ตามสไตล์ของผู้ขับ ปรับการแสดงผลหน้าจอกลม ไฟภายใน และเสียงให้เข้ากับประสบการณ์การขับขี่ของแต่ละบุคคล ในแต่ละโหมดมีการออกแบบพื้นหลังที่สวยงาม พร้อมการเคลื่อนไหวที่เพิ่มความสนุกโดยไม่รบกวนการขับขี่ี่ สำหรับรุ่นไฮทริมโดดเด่นด้วย MINI Navigation AR ระบบนำทางด้วยเทคโนโลยี AR ฉายวีดีโอเส้นทางของถนนแบบสมจริง ทำให้การนำทางในเมืองที่ซับซ้อนกลายเป็นคู่มือแบบเรียลไทม์ที่ใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีผู้ช่วยส่วนตัวกับ MINI Intelligent Personal Assistant ให้ผู้ขับขี่ควบคุม MINI ด้วยคำสั่งเสียง และจะแสดงผลบนหน้าจอ OLED อันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI และสำหรับคนที่ชอบหาประสบการณ์ใหม่ที่ใช้งานง่ายอยู่เสมอ MINI Connected Store เปิดให้เข้าถึงแอพพลิเคชันที่หลากหลายทั้งด้านประโยชน์ใช้สอย และความบันเทิง และมีการอัพเดทอย่างต่อเนื่อง
เพื่อยกระดับประสบการณ์พรีเมียมให้สูงยิ่งขึ้น MINI Cooper SE Hightrim ใหม่ มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการจอด Parking Assistant Plus อันทันสมัย ซึ่งประกอบด้วยกล้อง 360 องศา และระบบบันทึกการถอยจอด ทำให้การควบคุมรถ และการจอดรถเป็นเรื่องง่ายดาย สำหรับความสามารถในการจอดรถที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ฟีเจอร์การจอดรถระยะไกลล้ำสมัยอย่าง Parking Assistant Professional ทำให้ใช้สมาร์ทโฟนสำหรับการควบคุม และจอด MINI Cooper SE Hightrim ได้ ซึ่งมีให้บริการผ่านระบบสมาชิก (subscription)
MINI Cooper SE Hightrim ใหม่ วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ผู้จำหน่าย MINI อย่างเป็นทางการ ในราคา 1,799,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และ MSI Standard Package คุ้มครองการบำรุงรักษา 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) โดยมีสีให้เลือก 9 สี ได้แก่ สีฟ้า Icy Sunshine Blue, สีน้ำเงิน Blazing Blue, สีเขียว British Racing Green IV, สีเขียว Ocean Wave Green, สีขาว Nanuq White, สีเงิน Melting Silver, สีเหลือง Sunny Side Yellow, สีแดง Chili Red II และสีน้ำเงิน Indigo Sunset Blue สียอดนิยมจาก MINI Aceman (มีนี เอศแมน)
นอกจากนี้ ยังเผยราคาของ MINI John Cooper Works (มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์) และ MINI John Cooper Works Convertible (มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ คอนเวอร์ทิเบิล)
MINI John Cooper Works ใหม่ ขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ 4 สูบ TwinPower Turbo อันทรงพลัง เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรนี้สร้างพลังขับเคลื่อนถึง 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวทันเมตร มอบความสนุกสนานในการขับขี่ และสมรรถนะระดับสูงสุด ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อความสปอร์ท ถ่ายทอดพลังของเครื่องยนต์สู่การเปลี่ยนเกียร์ที่ไดนามิคเป็นพิเศษ ส่งผลให้ MINI John Cooper Works สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม.
รูปลักษณ์ภายนอก MINI John Cooper Works ดึงดูดทุกสายตาด้วยดีไซจ์นที่ได้แรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ท ด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าสีดำเงาพร้อมช่องระบายอากาศในดีไซจ์น MINI John Cooper Works และโลโก JCW รูปแบบใหม่ ตอกย้ำถึงสมรรถนะอันเหนือชั้น ส่วนด้านหลัง การออกแบบอันโดดเด่นด้วยท่อไอเสียวางตำแหน่งกลางภายในดิฟฟิวเซอร์สีดำ เน้นย้ำถึงความสปอร์ท ดุดัน อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ MINI John Cooper Works
MINI John Cooper Works ใหม่ จำหน่ายในราคา 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีให้เลือกในสี Legend Grey (หลังคาสีแดง) Nanuq White (หลังคาสีแดง) และ Chili Red II (หลังคาสีดำ)
MINI John Cooper Works Convertible ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ TwinPower Turbo ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่สามารถสร้างพลังขับเคลื่อน 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวทันเมตร พร้อมการควบคุมระดับสูงสุด MINI John Cooper Works Convertible ใหม่นี้สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 245 กม./ชม.
ด้วยดีไซจ์นอันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI John Cooper Works ที่ได้แรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ทแล้ว รุ่น Convertible มาพร้อมหลังคาผ้าใบ เพื่อความอิสระสูงสุดในทุกการขับขี่ หลังคาผ้าใบสามารถพับเก็บได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียง 18 วินาที ที่ความเร็วสูงสุดถึง 30 กม./ชม.
MINI John Cooper Works Convertible ใหม่ จำหน่ายในราคา 3,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในสี Legend Grey
