ธุรกิจ
Michelin พิสูจน์สมรรถนะ 24 Hours of Le Mans 2025

การแข่งรถรายการ 24 Hours of Le Mans 2025 ที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 93 ปิดฉากลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาพอากาศปลอดโปร่ง การแข่งขันยอดนิยมรายการนี้มีทีมผู้ผลิตไฮเพอร์คาร์ 8 รายร่วมลงสนามแข่ง โดยทุกรายติดตั้งยาง Michelin (มิเชอแลง) ให้แก่รถแข่งของตน และเป็นอีกครั้งที่สมรรถนะ และประสิทธิภาพสม่ำเสมอของยาง Michelin ยังคงสร้างความประทับใจที่น่าจดจำให้แก่การแข่งขัน
บนสนามแข่งที่พื้นผิวอยู่ในสภาพแห้งตั้งแต่เริ่มจนจบการแข่งขัน ยาง Michelin Pilot Sport Endurance (มิเชอแลง ไพลอท สปอร์ท เอนดูรานศ์) สูตรเนื้อยางแข็งปานกลางเป็นหัวใจสำคัญของแผนกลยุทธ์หลักของทีม โดยความยืดหยุ่นในการใช้งานที่เหนือกว่าของยางรุ่นนี้ส่งผลให้ทีมนักแข่งสามารถใช้ยางชุดเดียววิ่งต่อเนื่อง 3 ช่วงการแข่งรถได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนยางในพิท (Triple Stints) และไม่กระทบต่อสมรรถนะในการขับขี่ แม้อุณหภูมิสนามแข่งระหว่างกลางวัน และกลางคืนจะผันผวน และแตกต่างกันอย่างมากก็ตาม
Pierre Alves (ปิแอร์ อัลเวส) ผู้จัดการฝ่ายการแข่งขันประเภทระยะยาวแบบมาราธอน หรือ Endurance ของ Michelin Motorsport เปิดเผยว่า การแข่งขัน 24 Hours of Le Mans 2025 ในปีนี้ มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง นอกจากสภาพอากาศจะแจ่มใสเป็นใจต่อการแข่งขันแล้ว ยังมีผู้สนใจเข้าชมการแข่งขันตลอดช่วงสุดสัปดาห์จำนวนสูงถึง 330,000 คน อีกทั้งยาง Michelin Pilot Sport Endurance สูตรเนื้อยางแข็งปานกลางยังได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการใช้งานที่เป็นเยี่ยม โดยให้ประสิทธิภาพสูงอย่างสม่ำเสมอในการวิ่งต่อเนื่อง 3 ช่วงการแข่งรถ หรือ Triple Stints ตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมงของการแข่งขัน
Michelin คว้าชัยชนะติดต่อกันเป็นสมัยที่ 28 ในการแข่งรถรายการ Le Mans
ชัยชนะในฤดูกาลแข่งขันล่าสุดของทีม AF Corse และทีม Ferrari ส่งผลให้ Michelin ครองตำแหน่งแชมพ์ในการแข่งขัน Le Mans ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 28 นับจากหวนกลับมาเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันรายการนี้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2541 ณ สนามแข่ง Sarthe (ซาร์ธ) ขณะเดียวกันยังเป็นการคว้าชัยในการแข่งรถรายการ 24 Hours of Le Mans ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 สำหรับทีม Ferrari ทำให้ทีมที่มีฉายา “ม้าลำพอง” โดดเด่นเป็นพิเศษในรายการแข่งรถระยะทางไกล FIA World Endurance Championship (WEC) ประจำปี 2568 ด้วยการประเดิมกวาดชัยชนะ 3 สนามแรก
ความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความยั่งยืน และเทคโนโลยี
นอกจากเรื่องสมรรถนะ การแข่งขัน Le Mans ปีนี้ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับ Michelin ในด้านกลยุทธ์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Strategy) ด้วย โดยการผสานพันธมิตรกับธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติสวีเดน Enviro (เอนไวโร) ทำให้ Michelin สามารถนำยางไฮเพอร์คาร์ทุกเส้นที่ใช้ในการแข่งขันเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลผ่านการย่อยสลายโดยใช้ความร้อนในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน หรือ Pyrolysis โดยได้รับ Carbon Black, น้ำมัน และเหล็กกล้า จากการรีไซเคิลกลับมาหมุนเวียนใช้ในการผลิตยางใหม่
ขณะเดียวกัน Michelin ยังคงทุ่มเทคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่ายางตัวอย่างสำหรับจัดแสดง (Demonstration Tires) ในปัจจุบันใช้วัสดุรีไซเคิล และวัสดุหมุนเวียนเป็นส่วนประกอบในสัดส่วนสูงถึง 71 % ถือเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จสู่การผลิตยางที่ยั่งยืน 100 % ภายในปี 2593 ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดมาใช้ในยางสำหรับรถยนต์ต้นแบบ H24EVO ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน และรถแข่ง Porsche GT4 e-Performance (โพร์เช จีที 4 อี-เพอร์ฟอร์มานศ์) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % แล้ว
ยางที่พัฒนาขึ้นด้วยระบบจำลองภาพเสมือนจริง และพิสูจน์ศักยภาพบนสนามแข่ง
Michelin Pilot Sport Endurance รุ่นปี 2568 ได้รับการออกแบบทุกขั้นตอนด้วยระบบจำลองภาพเสมือนจริง จึงช่วยลดจำนวนการผลิตยางต้นแบบลงได้อย่างมาก ซึ่งไม่เพียงเป็นการจำกัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง แต่ยังส่งผลให้ยางมีสมรรถนะในการใช้งานจริงที่ดีขึ้น
แนวทางสู่ปี 2569 : ผลิตภัณฑ์ยางภายใต้แนวคิด Race to Vision
ภายในปี 2569 Michelin จะรุกก้าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรุ่นใหม่สำหรับไฮเพอร์คาร์ที่ไม่เพียงใช้วัสดุรีไซเคิล และวัสดุหมุนเวียนเป็นส่วนประกอบในสัดส่วน 50 % แต่ยังโดดเด่นด้วยลวดลายกำมะหยี่บนดอกยางที่เรียกว่า Race to Vision พัฒนาการดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในแผนงานของกลุ่ม Michelin ที่มุ่งผสานสมรรถนะด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ทเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ความมุ่งมั่นที่โดดเด่นด้านลอจิสติคส์ และบุคลากร
ในการแข่งขัน Le Mans ประจำปีนี้ Michelin ได้ระดมสรรพกำลังของบุคลากรด้านมอเตอร์สปอร์ทจำนวน 110 คน เพื่อให้บริการแก่พันธมิตร 21 ราย ซึ่งลงแข่งขันประเภทไฮเพอร์คาร์ โดยสนับสนุนยางทั้งสิ้น 4,100 เส้น แต่ได้จัดส่งยางจำนวน 3,700 เส้นไปล่วงหน้าก่อนการแข่งขัน เพื่อลดปริมาณแกสเรือนกระจก หรือ Carbon Footprint ที่เกิดจากการขนส่ง
Alves กล่าวเสริมว่า ขอขอบคุณทีมงาน Michelin Motorsport ที่ทุ่มเทพลังกายใจให้บริการสนับสนุนพันธมิตรผู้ผลิตไฮเพอร์คาร์ทุกรายของเราอย่างเต็มที่ตลอดสัปดาห์การแข่งขัน ทั้งยังเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันให้แบรนด์ Michelin เป็นที่รับรู้ และจดจำในการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans
Michelin ครองโพเดียมในการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ประจำปี 2568
สำหรับผลการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ครั้งที่ 93 นี้ ทีม AF Corse ครองอันดับที่ 1 ด้วยรถแข่ง Ferrari 499P หมายเลข 83 จากฝีมือการขับของ Robert Kubica (โรเบิร์ท คูบิกา), Philip Hanson (ฟิลิป แฮนสัน) และ Ye Yifei (เย่ อี้เฟย) ตามมาด้วยทีม Porsche ซึ่งครองอันดับที่ 2 ด้วยรถแข่ง Porsche 963 หมายเลข 6 จากการขับของ Kévin Estre (เควิน เอสเตร), Laurens Vanthoor (ลอเรนส์ แวนธูร์) และ Matt Campbell (แมทท์ แคมพ์เบลล์) ที่ควบคุมสมรรถนะการขับขี่ และรับมือกับความกดดันจากการแข่งขันได้ดี โดยทีม Ferrari คว้าโพเดียมอันดับที่ 3 ไปครองด้วยรถแข่ง Ferrari 499P หมายเลข 51 จากการขับของ Alessandro Pier Guidi (อเลสซันดโร ปิแอร์ กีดี), James Calado (เจมส์ คาลาโด) และ Antonio Giovinazzi (อันโตนิโอ จิโอวินาซซี)
Matthieu Bonardel (แมทธิว โบนาร์เดล) ผู้อำนวยการของ Michelin Motorsport กล่าวทิ้งท้ายว่า การแข่งขันครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ยางจะให้ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ แต่ Michelin ยังคงคิดค้นนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง โดย Michelin ตอกย้ำบทบาทในฐานะแบรนด์ผู้บุกเบิกการสัญจรแห่งอนาคต ด้วยการผสานสมรรถนะ นวัตกรรมที่ยั่งยืน และความทุ่มเทของบุคลากร เข้าด้วยกัน