บทความ
Self-Driving Taxi แทกซีไร้คนขับ ธุรกิจใหม่ที่ยังไปไม่ถึงฝัน

ความหวังรถโดยสารไร้คนขับที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าใกล้จะเป็นจริงจากการเข้ามาของระบบ Autonomous Driving ในรถยนต์ กลับกลายเป็นธุรกิจที่หลายเจ้าสะดุดกลางทาง เมื่อต้องเผชิญทั้งเทคโนโลยีไม่พร้อม สังคมไม่มั่นใจ และต้นทุนพัฒนาที่สูงลิ่วHighlight
ช่วงต้นทศวรรษ 2020 โลกต่างจับตามอง Self-Driving Taxi หรือ "แทกซีไร้คนขับ" ว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ด้วยคำสัญญาว่าจะลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดต้นทุนค่าโดยสารในระยะยาว แม้จะมีบริษัทระดับโลกอย่าง Waymo, Cruise, Zoox หรือแม้แต่ Tesla เข้ามาลงสนาม Robotaxi อย่างเต็มตัว หรือในปี 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของ "ยุคแห่งการเดินทางไร้คนขับ" อย่างแท้จริง
เทคโนโลยีรถไร้คนขับ หรือ Autonomous Vehicle ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องมานานหลายสิบปี แต่เริ่มมีความหวังชัดเจนในช่วงหลังปี 2015 เมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์ AI, เซนเซอร์ Lidar, กล้องรอบคัน และระบบชิพประมวลผลแบบ Machine Learning มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เริ่มประกาศทดสอบระบบไร้คนขับในเมืองต่างๆ เช่น ซานฟรานซิสโก หรือเซี่ยงไฮ้ พร้อมตั้งเป้าว่าจะให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 3-5 ปี
Waymo บริษัทในเครือ Google คือ หัวหอกสำคัญที่มีประสบการณ์มากว่า 10 โดยเปิดให้ประชาชนทดลองนั่ง Waymo One แทกซีไร้คนขับในบางพื้นที่ของรัฐแอริโซนา ขณะที่ Cruise บริษัทในเครือ GM ก็เร่งเปิดบริการในซานฟรานซิสโก และออสติน สหรัฐอเมริกา ส่วนบริษัทที่เป็นขาใหญ่ในวงการอย่าง Tesla ก็มุ่งเน้นพัฒนา Full Self-Driving เพื่อต่อยอดฟลีทรถยนต์ของตัวเองให้กลายเป็นแทกซีอัตโนมัติ Robotaxi ที่เจ้าของรถทุกคนสามารถสร้างรายได้ และสามารถนำเทคโนโลยีรถยนต์ของตนอย่าง Tesla Vision AI Neural Network บนข้อมูลจากรถ Tesla ที่วิ่งจริงทั่วโลกกว่า 5 ล้านคันมาใช้เพื่อการโดยสารพาณิชย์ได้เป็นระบบ
แม้เทคโนโลยีในยุค 2025 แลจะดูพร้อมแล้ว แต่โลกแห่งความจริง การพัฒนาระบบให้พร้อมนั้น กลับเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความซับซ้อนของเมืองที่ไม่ใช่แค่การเลี้ยวซ้าย-ขวา แต่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนน ปัจจัยด้านคนเดินถนน จักรยาน เด็ก สุนัข และสภาพถนนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งเทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถคาดเดา “ความไม่แน่นอน” เหล่านี้ได้ดีพอ
แง่ของกฎหมาย และความรับผิดชอบ ที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุใครต้องรับผิด บริษัท ระบบ หรือผู้โดยสาร กฎหมายยังตามไม่ทันเทคโนโลยี ต้นทุนการดำเนินงาน รถไร้คนขับต้องใช้ชิ้นส่วนหลายส่วนในราคาที่สูง และต้องมีทีมควบคุมหลังบ้านจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัย และการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสวนทางกับแนวคิดลดต้นทุน ความเชื่อมั่นจากสาธารณะ หลายกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากรถไร้คนขับที่เคยเป็นข่าว แม้จะมีไม่มาก แต่ก็เพียงพอจะสร้างความกลัว และไม่ไว้วางใจจากประชาชน
ตอนนี้ภาพฝันของธุรกิจแทกซีไร้คนขับจะยังไม่กลายเป็นจริงในวงกว้าง โดยเฉพาะในต่างประเทศนอกจากสหรัฐฯ ก็ถือว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่เทคโนโลยีที่ได้พัฒนากลับส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม เช่น ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ADAS กำลังกลายเป็นมาตรฐานของรถรุ่นใหม่ รถยนต์ไร้คนขับแบบ Level 5 ที่สามารถขับได้เองทุกสถานการณ์โดยไม่ต้องมีคนในรถ หลายคนอาจต้องรอถึงปี 2030 ขึ้นไป ส่วนปัจจุบันเทคโนโลยีอาจจำกัดไว้เฉพาะพื้นที่ปิด หรือเส้นทางเฉพาะ เช่น สนามบิน นิคมอุตสาหกรรม หรือเส้นทางรถรับ-ส่งเฉพาะกิจ เท่านั้น
Self-Driving Taxi สะท้อนว่าเทคโนโลยีแม้จะก้าวหน้าแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจละเลย “ความจริง” บนท้องถนนได้ แต่ต้องใช้ทั้งเวลา และการออกแบบนโยบายที่รอบด้าน เพื่อให้รถไร้คนขับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างแท้จริง สำหรับอนาคตที่พร้อมกว่านี้