ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ขณะนี้รถไฟฟ้ามือสอง Tesla Model S (เทสลา โมเดล เอส) เป็นรถน่าใช้ ด้วยราคาท้องตลาดไม่สูงนัก ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายสำหรับการเดินทางทั้งครอบครัว แต่ด้วยอายุการใช้งานมากกว่า 10 ปี แบทเตอรีเริ่มเสื่อม ทำให้มีระยะเดินทางลดลง จากที่เคยเดินทางได้กว่า 200 ไมล์ (320 กม.)/การชาร์จ 1 ครั้ง
นับว่าเป็นความโชคดีสำหรับเจ้าของ Model S 70D (โมเดล เอส 70 ดี) ที่แบทเตอรีแรงดันกระแสไฟสูง สามารถสับเปลี่ยนไปใช้แบทเตอรีที่มีความจุสูงกว่าได้ นอกจากจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้น ยังได้ความเร็วการชาร์จสูงขึ้น โดยเจ้าของอู่ซ่อมรถไฟฟ้าได้ทดลองกับ Tesla Model S 70D ซึ่งถูกใช้งานถึง 4.7 แสนไมล์ (7.56 กิโลเมตร) ได้ถอดแพคแบทเตอรีขนาดเล็กออก และแทนที่ด้วยแพคแบทเตอรีขนาดใหญ่
จากค่าใช้จ่ายสำหรับการอัพเกรด เพื่อแลกกับแพคแบทเตอรีขนาดใหญ่ ราคา 8,500 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.75 แสนบาท) และค่าขนส่งอีก 1,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.24 หมื่นบาท) ส่วนค่าแรงไม่ต้องเสียเพราะทำเอง แต่ได้ประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าของ Model S หรือ Model X (เอกซ์) ในการสลับแบทเตอรี โดยน่าจะจบที่ 12,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.89 แสนบาท) โดยค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับการเลือกชุดแบทเตอรีใหม่ และสภาพของแบทเตอรีเก่า ที่จะลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลงได้
Tesla Model S เดิมเมื่อชาร์จเต็ม สามารถทำระยะเดินทางได้ 200 ไมล์ (320 กิโลเมตร) เมื่ออัพเกรดแบทเตอรีแล้ว สามารถทำระยะเดินทางได้ถึง 300 ไมล์ (480 กิโลเมตร) คิดเป็นระยะเดินทางเพิ่มขึ้นถึง 50 % ทั้งได้ความเร็วในการชาร์จเร็วขึ้น เพียงเท่านี้รถไฟฟ้าที่มีอายุกว่าทศวรรษสามารถใช้งานได้เหมือนรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ได้อย่างไร้ที่ติ
นอกจากนั้น รถไฟฟ้าคันนี้ยังได้ระบบ Supercharge แบบไม่จำกัด จึงทำให้รถคันนี้เหมาะกับการเดินทางไกล ด้วยระบบชาร์จเร็วเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถเดินทางต่อได้ระยะทางมากกว่า 200 ไมล์ (320 กิโลเมตร) ขณะนี้รถ Model S เจเนอเรชันแรก มือสองในสหรัฐฯ มีราคาระหว่าง 6,000-20,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.9-6.48 แสนบาท) หากได้รับการอัพเกรดจะสามารถใช้งานได้อีกนาน