ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เผยยอดผลิตรถยนต์เดือนสิงหาคม ลดลงร้อยละ 6.11
เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตรถยนต์ 112,366 คัน ลดลงร้อยละ 6.11 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 7,512 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2,034.09
ขาย 47,622 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.38 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 9,309 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.49 ส่งออก 71,179 คัน ลดลงร้อยละ 17.30 ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า 1,372 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 ส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 51 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2568 ดังต่อไปนี้
การผลิต
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนสิงหาคม 2568 มีทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 ร้อยละ 1.58 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 6.11 จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลงร้อยละ 10.67 จากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 21.27 จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า รวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลงร้อยละ 6.36 จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.11 จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565-2566
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 5.77
รถยนต์นั่ง เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 43,172 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 7.68 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 21,777 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 31.75
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 7,456 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 2,018.18
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 1,971 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 336.06
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 11,968 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 14.83
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มีจำนวน 346,240 คัน เท่ากับร้อยละ 36.53 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 7.92 แบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 162,369 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 32.76
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 34,998 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 497.54
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 12,328 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 207.20
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 136,545 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 9.51
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนสิงหาคม 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 69,194 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 5.10 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 601,457 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 4.49
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 68,410 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 4.95 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 595,559 คัน เท่ากับร้อยละ 62.84 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 3.40 แบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 96,483 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.43
• รถกระบะ Double Cab 379,420 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 7.33
• รถกระบะ Double Cab BEV 190 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 100
• รถกระบะ PPV 119,466 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 9.39
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 784 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 16.77 รวมเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ 5,898 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม -สิงหาคม 2567 ร้อยละ 55.17
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 73,956 คัน เท่ากับร้อยละ 65.82 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 10.67 ส่วนเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 623,069 คัน เท่ากับร้อยละ 65.75 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 9.24
รถยนต์นั่ง เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 18,835 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 21.27 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 134,228 คัน เท่ากับร้อยละ 38.77 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 33.35
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนสิงหาคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 55,121 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 6.36 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 488,841 คัน เท่ากับร้อยละ 82.08 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.77 แบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 54,425 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 37.91
• รถกระบะ Double Cab 342,609 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 4.48
• รถกระบะ PPV 91,807 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 5.56
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 38,410 คัน เท่ากับร้อยละ 34.18 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 4.11 และเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ 324,628 คัน เท่ากับร้อยละ 34.25 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.69
รถยนต์นั่ง เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 24,337 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 6.54 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ผลิตได้ 212,012 คัน เท่ากับร้อยละ 61.23 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.40
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนสิงหาคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 13,289 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.38 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 106,718 คัน เท่ากับร้อยละ 17.92 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 18.80 ซึ่งแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 42,058 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 28.01
• รถกระบะ Double Cab 37,001 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 27.11
• รถกระบะ PPV 27,659 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 24.35
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนสิงหาคม 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุก เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 784 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 16.77 และตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 5,898 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 55.17
รถจักรยานยนต์
เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 182,418 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 6.02 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 150,973 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 4.67 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 31,445 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 13.03
ยอดการผลิต
รถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,632,542 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.43 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,358,200 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.31 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 274,342 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 6.06
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2568 ร้อยละ 3.01 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 5.38 จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.62 จากปีที่แล้ว รถกระบะขายได้ 10,960 คัน ลดลงร้อยละ 10.92 รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่า 2 ปี จากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 30,797 คัน เท่ากับร้อยละ 64.67 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 10.96
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 9,611 คัน เท่ากับร้อยละ 20.18 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 18.19
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 9,246 คัน เท่ากับร้อยละ 19.42 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 26.62
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 465 คัน เท่ากับร้อยละ 0.98 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 400
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) 244 คัน เท่ากับร้อยละ 0.51 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 100
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 11,231 คัน เท่ากับร้อยละ 23.58 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 30.43
รถกระบะ มีจำนวน 10,960 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 10.92 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 63 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 3,576 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 34.08 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 1,191 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 4.87 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,035 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 14.74
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 130,283 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ร้อยละ 9.81 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.10
ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 รถยนต์มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 8 คัน จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้า แยกเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 256,669 คัน เท่ากับร้อยละ 64.26 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 6.96
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 88,222 คัน เท่ากับร้อยละ 22.08 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 16.96
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 72,274 คัน เท่ากับร้อยละ 18.09 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 51.69
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 6,136 คัน เท่ากับร้อยละ 1.54 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 321.43
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) 431 คัน เท่ากับร้อยละ 0.14 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 100
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 89,606 คัน เท่ากับร้อยละ 22.42 ของยอดขายรถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.89
รถกระบะ มีจำนวน 95,560 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.94 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 486 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถกระบะ REEV มีจำนวน 6 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 28,110 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 14.82 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 9,727 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 10.84 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 9,061 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 1.50 ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 1,180,906 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.47
รัฐบาลใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจ
อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้น จึงขอเสนอการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะได้เก็บภาษีมากกว่าเงินที่จะจ่ายซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายถ้าเศรษฐกิจดีวันดีคืน ข้อเสนอนี้เป็นของ กกร. ปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุนห้าพันล้านบาท เพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน โดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละห้าหมื่นบาท ให้แก่สถาบันการเงิน โดยมีข้อแลกเปลี่ยน หรือเงื่อนใขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30 %
ตัวอย่าง ปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30 % ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกิน 50,000 บาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000 คัน×50,000 บาท/คัน) แต่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3 %×24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาทx40,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น) เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษี 2 ประเภทนี้ "เพิ่มขึ้น" 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท และยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่น บริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น 160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้น ฯลฯ และยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย และพนักงานขายรถกระบะ รวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้น ชำระหนี้ได้มากขึ้น (หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศ และในประเทศลงทุนมากขึ้น และเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาท ขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีก 2 ปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้ว และประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป
เดือนสิงหาคม 2568 ส่งออกได้ 71,179 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 1.74 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 17.30 จากส่งออกรถกระบะใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 14.65 และรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันลดลงร้อยละ 35.09 เพราะการเข้มงวดในการปล่อยแกสคาร์บอนของบางประเทศ
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนสิงหาคม 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
• รถกระบะ 41,141 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 57.80 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 14.65
• รถกระบะ BEV 51 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.07 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง ICE 14,719 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 20.68 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 35.09
• รถยนต์นั่ง BEV 1,372 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 3.01 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
• รถยนต์นั่ง PHEV 317 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 9.20 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
• รถยนต์นั่ง HEV 3,099 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 4.35 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 11.86
• รถ PPV 10,480 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.72 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 10.21
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 45,553.26 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 24.50 แต่เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนส่งออกเพิ่มขึ้นดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,445.85 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.63
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,567.34 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.18
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,350.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.73
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 67,917.28 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 18.07
รถจักรยานยนต์
เดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนส่งออก 62,590 คัน (รวม CBU+CKD) ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2568 ร้อยละ 12.15 และเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 7.05 โดยมีมูลค่า 4,437.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 2.49
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 220.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.50
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 264.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.47
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนสิงหาคม 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 4,922.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 2.35
เดือนสิงหาคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 72,839.82 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 16.95
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 602,975 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 12.44 แบ่งเป็น
• รถกระบะ 378,555 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 62.78 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 3.93
• รถกระบะ BEV 169 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.03 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง ICE 101,494 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 16.83 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 39.99
• รถยนต์นั่ง BEV 2,156 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.53 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง PHEV 317 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 1.26 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง HEV 33,698 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.59 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.92
• รถ PPV 86,586 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.36 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 4.59
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 406,777.31 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 15.29 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 25,216.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 7.54
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 131,156.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 1.68
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 18,157.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 4.10
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 581,307.35 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 10.58
รถจักรยานยนต์
เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 570,018 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 7.24 มีมูลค่า 41,411.53 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 0.65
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,525.98 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.65
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,744.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 37.17
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 44,682.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.12
เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 625,989.76 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 9.89
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนสิงหาคม 2568
เดือนสิงหาคม 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,486 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 30.46 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 9,782 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 53.42
o รถยนต์นั่ง จำนวน 9,432 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 340 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 1 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 9 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 90 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 61.37
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 1,582 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 24.34
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 1,582 คัน
• รถยนต์สามล้อ มีทั้งสิ้น 1 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 97.92
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 19 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 46.15
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 12 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 72.09
เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 92,665 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 34.49 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 77,036 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 55.18
o รถยนต์นั่ง จำนวน 75,188 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 1,673 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 14 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 161 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 427 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 13.03
• รถยนต์สามล้อ มีทั้งสิ้น 15 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 88.89
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล จำนวน 11 คัน
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 4 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 14,833 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 18.67
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 14,832 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 1 คัน
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 89 คัน ลดลงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 62.45
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 265 คัน เพิ่มขึ้นเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 67.72
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนสิงหาคม 2568
เดือนสิงหาคม 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 10,575 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 3.86 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 10,575 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 3.27
o รถยนต์นั่ง จำนวน 10,565 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 6 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 4 คัน
• รถจักรยานยนต์ไม่มีการจดทะเบียน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 100
เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 94,703 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 0.10 แบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 94,009 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 0.42
o รถยนต์นั่ง จำนวน 93,735 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 26 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 142 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 104 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 694 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ร้อยละ 78.87
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 694 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนสิงหาคม 2568
เดือนสิงหาคม 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่ มีจำนวน 1,049 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 22.83 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 1,049 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 22.83
o รถยนต์นั่ง จำนวน 1,049 คัน
เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 13,681 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 108.04 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 13,681 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคมปีที่แล้วร้อยละ 108.04
o รถยนต์นั่ง จำนวน 13,653 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 20 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 8 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568
ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 318,574 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 59.20 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 235,979 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 69.70
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 230,364 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 68.67
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 4,192 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 111.40
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 223 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 201.35
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 226 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 76.56
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 3 คัน เท่ากับช่วงเดียวกันปี 2567
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 971 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 226.94
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1,298 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 68.79
• รถยนต์สามล้อ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,032 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 1.28
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีจำนวน 123 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 7.89
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ มีจำนวน 909 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 0.44
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 76,350 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 36.34
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 76,243 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 36.46
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ มีจำนวน 107 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 15.75
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2,860 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 7.76
o รถบรรทุก มีจำนวนทั้งสิ้น 1,055 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 72.95
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568
ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 562,894 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 28.66 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 553,004 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 29.14
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 551,505 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 29.08
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 512 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.23
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 216 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 195.89
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 318 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 57.43
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 7 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 40
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 446 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 153.41
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9,887 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.56
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 9,887 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.56
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568
ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 76,720 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 26.96 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 76,720 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 26.96
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 76,641 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 26.98
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 42 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 2.33
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 27 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 4 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 33.33
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 5 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
............................................................................................................
Suzuki เปิดตัว Fronx
บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมความแข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ เปิดตัว All New Suzuki Fronx (ซูซูกิ ฟรองซ์) ใหม่ มาพร้อมแนวคิด “The Iconic Drive นิยามใหม่ของการขับขี่...ในแบบที่เป็นคุณ”
All New Suzuki Fronx เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทคโนโลยี Smart Hybrid Vehicle (SHVS) เอกสิทธิ์เฉพาะของ Suzuki สมรรถนะแรง และประหยัดน้ำมัน เติมเต็มความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี Suzuki Safety Support พร้อมมอบทุกความคุ้มค่า ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 689,000 บาท
ทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า All New Suzuki Fronx สปอร์ทเอสยูวี มาพร้อมดีไซจ์นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เทคโนโลยีล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์สำคัญอย่าง Global Model ตามที่เราได้เคยประกาศไว้
All New Suzuki Fronx
รถยนต์คุณภาพ ผลิตขึ้นภายใต้มาตรฐานระดับโลก สร้างความสำเร็จ และการตอบรับอย่างงดงามมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น และประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งรถเอสยูวีดีไซจ์นสปอร์ทคันนี้ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคนได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะผู้ที่มองหารถยนต์ที่พร้อมเป็นเพื่อนร่วมทางในทุกกิจกรรมของชีวิตประจำวัน ด้วยความสะดวกสบายในการขับขี่ ความคล่องตัวในการใช้งาน ระบบความปลอดภัยที่ครบครัน มอบทุกความมั่นใจในทุกเส้นทาง
All New Suzuki Fronx จึงเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนความตั้งใจของ Suzuki ที่จะมอบความคุ้มค่า และดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่เป็นเจ้าของ ไปจนถึงตลอดระยะเวลาการใช้งาน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าคุณภาพ และความคุ้มค่าของ All New Suzuki Fronx รวมถึงบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายยอดขายรถยนต์ Suzuki รวม 8,000 คัน ในปีนี้ หรือเติบโตขึ้น 41 % ได้อย่างแน่นอน
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า All New Suzuki Fronx ยนตรกรรมสไตล์สปอร์ทแบบเอสยูวี นำเสนอภายใต้แนวคิด “The Iconic Drive นิยามใหม่ของการขับขี่...ในแบบที่เป็นคุณ” ที่จะสะท้อนความเป็นตัวตน และตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ในการขับขี่ เพราะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้บริโภค ด้วยจุดเด่นของสมรรถนะ ความคล่องตัวทุกการขับขี่ ทั้งยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยครบครันสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพ และงานบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐานส่งต่อถึงมือผู้บริโภค โดยสิ่งที่ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่น และไว้วางใจจากผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
การจัดแคมเปญพิเศษก่อนการแนะนำ All New Suzuki Fronx อย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ All New Suzuki Fronx ผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม-24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา พร้อมรับบัตรเติมน้ำมัน 3,000 บาท ฟรี สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจ และตอบรับ ด้วยการลงทะเบียนจองสิทธิ์สูงถึง 5,364 คัน จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า และให้ความเชื่อมั่นว่าเราสามารถมอบความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้าได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เป็นเจ้าของรถอย่างแท้จริง
All New Suzuki Fronx มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งในรูปแบบเครื่องยนต์ K15B ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ K15C ที่มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ (Dualjet) ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Smart Hybrid Vehicle (SHVS) เอกสิทธิ์เฉพาะของ Suzuki ที่เป็นการผสานพลังเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี Integrated Starter Generator (ISG) และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน พร้อมมอบสมรรถนะที่เร้าใจด้วยอัตราเร่งที่เฉียบคม และประหยัดน้ำมัน ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างนุ่มนวล และเงียบสบายอย่างลงตัว
All New Suzuki Fronx ในรุ่น GL, GLX และ GLX Plus มาพร้อมหลากหลายเฉดสี ได้แก่
• Pearl Snow White
• Silky Silver Metallic
• Metallic Magma Gray
• Cool Black Metallic
• Savanna Ivory Metallic
All New Suzuki Fronx ยังมีสีพิเศษในรุ่น GLX Plus แบบ Two-Tone อีก 3 สี ได้แก่
• Pearl Snow White/Cool Black Metallic
• Savanna Ivory Metallic/Cool Black Metallic
• Ice Grayish Blue Metallic/Cool Black Metallic
ฉลองการเปิดตัว All New Suzuki Fronx
จัดเต็มข้อเสนอสุดพิเศษที่มอบความคุ้มค่าสูงสุด ให้แก่ลูกค้าที่จอง และรับรถตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน-31 ธันวาคม 2568 เท่านั้น โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้:
• ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 1.99 %
• ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 ปีแรก
• ฟรี ! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. ระยะเวลา 3 ปี
โปรแกรมพิเศษ Suzuki Fronx Worry Free Maintenance Package
นอกจากนี้ Suzuki ยังมอบทางเลือกที่คุ้มค่าตลอดการใช้งาน คลายกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ และเพื่อมอบความอุ่นใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า Suzuki ขอนำเสนอโปรแกรมพิเศษ Suzuki Fronx Worry Free Maintenance Package ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 27,999 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถตามระยะทาง นานถึง 7 ปี ซึ่งเป็นความคุ้มค่าที่ช่วยให้ลูกค้าวางแผนค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และมีความมั่นใจในการครอบครองรถในระยะยาว
All New Suzuki Fronx คือ ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เราเชื่อมั่นว่า ผู้บริโภคชาวไทยจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะนอกจากความนิยมของผู้บริโภคที่มีให้แก่รถในกลุ่มเอสยูวีจะขยายตัวมากขึ้นแล้วนั้น ด้วยดีไซจ์นการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ อุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหาความคุ้มค่า คุ้มราคา แต่ยังมาพร้อมคุณภาพของสมรรถนะการขับขี่ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพถนนของประเทศไทย ซึ่งจะถูกเสริมความมั่นใจด้วยบริการหลังการขายที่เรายกระดับคุณภาพขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำนวัตกรรม S-Solution มาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้เต็มรูปแบบ ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวก และมั่นใจในการใช้บริการผ่านระบบ Dealer Management System (DMS) พร้อมด้วยแอพพลิเคชัน Hello Suzuki ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถนัดหมายศูนย์บริการล่วงหน้า ตรวจสอบข้อมูลการเข้ารับบริการ และขอรับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชม.
ปัจจุบันมีศูนย์ซ่อมตัวถัง และสีมาตรฐาน 47 แห่งทั่วประเทศ และยังมีบริการ “Mobile Service” ที่พร้อมดูแลรถยนต์นอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตรวจสอบระบบเบรค แบทเตอรี หรือการบำรุงรักษาพื้นฐานต่างๆ พร้อมด้วยการขยายเครือข่ายศูนย์บริการมาตรฐาน 2S (Service & Spare Parts) เพื่อให้บริการควบคู่ไปกับศูนย์บริการหลักประเภท 3S (Sales, Service & Spare Parts) เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง และรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Suzuki ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้จำหน่ายทุกรายตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้สามารถรองรับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงยึดมั่นในแนวทาง "Suzuki Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือ ความเข้าใจทุกความต้องการ" ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาบริการ และผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน"
............................................................................................................
Omoda & Jaecoo ฉลองครบรอบ 1 ปี
Omoda & Jaecoo (โอโมดา แอนด์ เจคู) ในประเทศไทย ประกาศเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีของ บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด ประสบความสำเร็จด้วยยอดจองปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณมากกว่า 10,000 คัน โดย Jaecoo 5 EV (เจคู 5 อีวี) ที่มียอดจองสูงมากกว่า 5,000 คันในเดือนสิงหาคม
พร้อมกันนี้เตรียมผลิตเฟสแรกในไตรมาส 4 ของปีนี้ ประกอบด้วย รถยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ 6 EV, 5 EV และ C5 EV เฟสแรกคาดว่าจะผลิตประมาณ 50,000 คัน และจะขยายภายใน 5 ปี เพิ่มเป็น 80,000 คัน
1 ปีแห่งความสำเร็จ
Omoda & Jaecoo ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับพรีเมียม ฉลองครบรอบ 1 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมประกาศถึงผลตอบรับอันน่าประทับใจของ Jaecoo 5 EV ที่สามารถทำยอดจองได้กว่า 5,000 คันในเดือนสิงหาคม 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์
บิล จาง ผู้อำนวยการบริหารแบรนด์ Omoda & Jaecoo ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ 1 ปี Omoda & Jaecoo ประกาศวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งเน้น 3 พันธกิจหลักเพื่อตอบสนองตลาดไทย ได้แก่ การพัฒนา และผลิตยานยนต์คุณภาพสูงที่ตรงความต้องการของผู้บริโภค การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโรงงานผลิตภายในประเทศ และการเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่ม Chery (เชอรี) ในระดับโลก
ประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญของกลุ่ม Chery ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในรอบปีแรกนี้ ยืนยันว่าบริษัทฯ เดินมาถูกทิศทาง โดยเฉพาะการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผสานทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัย การออกแบบที่โดดเด่น และประสิทธิภาพการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างลงตัว
ด้านการลงทุนในประเทศไทย บริษัทฯ ได้จัดตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ โดยมีมูลค่าการลงทุนที่วางแผนไว้ทั้งสิ้นราว 5,000 ล้านบาท เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค พร้อมวางแผนขยายกำลังการผลิตในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปีหน้าขยายการผลิต C3
โรงงานแห่งนี้จะเป็น Hub of NEV (New Energy Vehicle) เริ่มจาก Jaecoo 6 EV (เจคู 6 อีวี) และเพื่อการตอบสนองความต้องการของตลาดได้มีการวางแผนผลิต Omoda C5 EV (โอโมดา ซี 5 อีวี) และ Jaecoo 5 EV ภายในปี 2568 และในไตรมาสที่ 3 ปี 2569 จะเพิ่มการผลิต C3 อีก 1 รุ่น
สำหรับปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 10,000 คัน และปี 2569 ตั้งเป้ามียอดขายรวม 25,000 คัน
นอกจากนี้ ยังวางแผนตั้ง Training Center+R&D ภายในปี 2570 อีกทั้งการพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 60 แห่ง และตั้งเป้า 90 แห่ง ภายในปี 2568 ควบคู่กับแผนการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า และไฮบริดรุ่นใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการขาย การรับประกันคุณภาพ ไปจนถึงการบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ
“1 ปีที่ผ่านมาทเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรา เรามีแผนการลงทุน และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรของเรา เราเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และทีมงานของเรา จะสามารถส่งมอบนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนไทยได้อย่างแท้จริง”
เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ และสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า Omoda & Jaecoo ได้ยกระดับมาตรฐานการบริการหลังการขายภายใต้ชื่อ “OJ O-Jai” (โอเจโอใจ) ครอบคลุมทุกความต้องการ เริ่มจากศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม. 7 วัน ผ่านช่องทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2020-8888 พร้อมบริการรถสำรอง (Courtesy Car) สำหรับกรณีที่รถมีปัญหาที่เกิดจากระบบ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance) ฟรีในระยะทาง 200 กม. (ขยายระยะจากเดิม 100 กม.) ด้วยมาตรฐานการเข้าถึงภายใน 30 นาทีในเขตกรุงเทพฯ และ 45 นาทีในต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีบริการ Mobile Service ที่พร้อมให้บริการถึงที่สำหรับงานซ่อมบำรุงเบื้องต้น และภายในปีหน้าจะเพิ่มบริการรับ-ส่งรถ (Pick-Up & Delivery) สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกเดินทาง โดยทั้ง 2 บริการนี้จำกัดการใช้งาน 2 ครั้ง/ปี ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
............................................................................................................
ZEEKR 009 FWD เอมพีวีหรู 7 ที่นั่ง มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า
Zeekr เปิดตัว Zeekr 009 FWD หรือ Zeekr 009 Standard FWD เป็น MPV หรู รุ่นที่ 3 ในตระกูล 009 หลังจาก จัดเต็มด้วยมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) กำลังสูงสุด 450 กิโลวัตต์ หรือ 603 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 693 นิวทันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.5 วินาที ทั้ง รุ่น Flagship AWD (6 ที่นั่ง) และรุ่น Premium AWD (7 ที่นั่ง)
Zeekr 009 FWD หรือ Zeekr 009 Standard FWD รถอเนกประสงค์ไฟฟ้าหรู 7 ที่นั่ง ขับเคลื่อนล้อหน้า แบทเตอรี NMC 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทางเลือกใหม่ กับความแรงจากมอเตอร์เดี่ยวกำลัง 250 กิโลวัตต์ หรือ 335 แรงม้า แรงบิด 373 นิวทันเมตร พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่มีครบ ในราคา 2,399,000 บาท ถูกกว่า รุ่น Premium AWD ถึง 700,000 บาท
Zeekr 009 Standard FWD มีรายละเอียดความแตกต่าง Premium AWD เพียงเล็กน้อย ถ้าตัดเรื่องมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า และภายในเป็นสีดำ ออกไป
Zeekr 009 Standard FWD
ภายนอก Zeekr 009 Standard FWD มาเต็มแบบ AWD
รูปร่างหน้าตาเหมือน Premium AWD
มิติตัวรถ ยาว 5,209 มม. กว้าง 2,024 มม. สูง 1,812 มม. ที่มีระยะฐานล้อ 3,205 มม.
ไฟหน้าแบบ LED
ระบบปรับไฟหน้าตามพื้นที่การขับขี่ Adaptive Driving Beam (ADB)
ระบบปรับไฟหน้าตามมุมการเลี้ยวของรถ Adaptive Front Lighting System (AFS)
ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวันแบบ LED (LED Daytime Running Lights)
ไฟท้ายแบบ LED
ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร (Ambient Light)
ประตูสไลด์ไฟฟ้า ด้านซ้าย และด้านขวา
ประตูท้ายรถไฟฟ้า พร้อมระบบปรับความสูง และจดจำตำแหน่ง
กระจกมองข้างปรับ และพับไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า ระบบจดจำตำแหน่ง และปรับลงอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง
กระจกมองหลังแบบไร้กรอบ พร้อมตัดแสงอัตโนมัติ
ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ
ล้อขนาด 19 นิ้ว และยางซีรีส์เดียวกันกับรุ่น Premium AWD (7 ที่นั่ง AWD)
ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/50R19 (Pirelli P Zero 255/50 R19)
ภายใน Zeekr 009 Standard หรูระดับ Premium
ภายในตกแต่งด้วย Soft Nappa และ Ultrasuede Soft Nappa
พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชันแบบปรับ 4 ทิศทาง
ตู้เย็น พร้อมระบบทำความเย็น และระบบทำความอุ่น
วัสดุหุ้มเบาะแบบ Soft Nappa
เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า แบบปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง
เบาะผู้โดยสารแถวที่ 2 แบบปรับไฟฟ้า ระบบนวดไฟฟ้า และระบบระบายอากาศ ฟังค์ชันปรับเอนนอนอัตโนมัติ (Eames Lounge Chair Mode) พร้อมที่รองขา และที่วางแก้วน้ำ
เบาะผู้โดยสารแถวที่ 3 ปรับ และพับพนักพิงได้
หลังคากระจกทั้งห้องผู้โดยสาร ด้านหน้า และด้านหลัง พร้อมม่านบัง แดด
ม่านบังแดดกระจกข้าง
Airbag 7 Positions
เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง แถวที่ 1 และแถวที่ 2 มีเบาะนวด 5 โปรแกรมเหมือนกับรุ่น Premium AWD
ประตู 2 บานหน้า ปิดแบบปกติ ไม่มี Soft Close ประตูสไลด์แถวที่ 2 เป็นไฟฟ้า Soft Close
Intelligent Technology
ความอัจฉริยะของภายในตัวรถที่มาพร้อมกับจอแสดงผล 5 ส่วน ทั้ง
หน้าจอมาตรวัดแบบ Full HD ขนาด 10.25 นิ้ว
หน้าจอกลาง Touch Screen ขนาด 15.05 นิ้ว แบบ OLED
หน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารด้านหลังขนาดใหญ่ถึง 17 นิ้ว
หน้าจอ AR HUD ที่มีขนาดใหญ่ถึง 35.95 นิ้ว
หน้าจอ Smart Door Panel Screens ที่สามารถปรับตั้งค่า พร้อมระบบควบคุมด้วยชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon จำนวน 2 ชุด เพิ่มสุนทรียภาพการเดินทางด้วยลำโพงจาก Yamaha 30 จุด
มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า Zeekr 009 Standard
ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ด้วยมอเตอร์เดี่ยวที่ให้กำลังสูงถึง 250 กิโลวัตต์ หรือ 335 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 373 นิวทันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. เท่ากับมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD)
ด้วยแบทเตอรีขนาด 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง เท่ากับมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำให้มีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 712 กม. (NEDC)/การชาร์จ แต่ยังรองรับการชาร์จเร็ว (DC) ถึง 150 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบทเตอรี 10-80 % ในเวลาเพียง 30 นาที และรองรับการชาร์จ (AC) 11 กิโลวัตต์ ชาร์จแบทเตอรี 0-100 % ในเวลา 13.5 ชม.
ช่วงล่างแบบ High Performance Air Suspension Package หรือช่วงล่างแบบถุงลมประสิทธิภาพสูง พร้อมระบบกันสะเทือน CCD Electromagnetic Vibration Reduction System ช่วยลดแรงกระแทกที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารเพื่อให้ทุกการเดินทางนุ่มนวล และผ่อนคลาย
ระบบช่วงล่างหน้า-ดับเบิลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบช่วงล่างหลัง-อิสระ มัลทิลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบช่วงล่างแบบถุงลมประสิทธิภาพสูง พร้อมระบบกันสะเทือน CCD
Electromagnetic Vibration Reduction System พร้อมระบบเบรคแบบ CST Braking System
ระบบช่วยเหลือการขับขี่มีครบ เหมือนกันกับรุ่น AWD
ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ZEEKR AD
ระบบช่วยควบคุมให้อยู่กลางเลน LCC (Lane Centering Control)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
ระบบป้องกันการชนด้านหน้า CMSF (Collision Mitigation Support Front)
ระบบเตือนการชนจากด้านหลัง CMSR (Colision Mitigation Support Rear)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keeping Assist) พร้อมระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอก LDW (Lane Departure Warning) และระบบช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DMS (Driver Monitoring System)
ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ APA (Automated Parking Assist)
ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินเมื่อจอดรถ PEB (Parking Emergency Braking)
ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ ALC (Automatic Lane Change)
Zeekr 009 รุ่น Standard ราคาเปิดตัวที่ 2,399,000 บาท
สีภายนอก 3 สี
ขาว Crystal White
เขียว Mineral Green
ดำ Phantom Black
และทุกสีมาพร้อมภายในสีดำ Stone Black
Zeekr 009 Standard ยังมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ดังนี้
ฟรี Wallbox ขนาด 11 กิโลวัตต์ พร้อมแพคเกจติดตั้ง
ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน
ฟรี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 พร้อม พรบ. คุ้มครองเป็นระยะเวลา 1 ปี*
ฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์
การรับประกันรถยนต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อน และแบทเตอรีแรงดันสูง เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 180,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชม. เป็นระยะเวลา 5 ปี
............................................................................................................
Triumph แนะนำ Speed Twin 1200 RS
Triumph Speed Twin (ทไรอัมฟ์ สปีด ทวิน) ถือกำเนิดในปี 1937 มาพร้อมจุดเด่นเครื่องยนต์สูบคู่ระดับตำนานที่เปลี่ยนโฉมวงการสองล้อไปตลอดกาล และในปี 2025 นี้ Triumph (ทไรอัมฟ์) กลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง กับ Speed Twin 1200 RS (สปีด ทวิน 1200 อาร์เอส) รถจักรยานยนต์ Modern Classic ที่ไม่เพียงสืบทอดตำนานเท่านั้น แต่ยังยกระดับมาตรฐานใหม่ของการขับขี่ให้ดุดัน เร้าใจ และล้ำหน้ากว่าที่เคย
1937 จุดเริ่มต้นของตำนานสปอร์ทคลาสสิคสายเลือดอังกฤษ
ย้อนกลับไปในปี 1937 Triumph เปิดตัว Speed Twin รุ่นแรก รถจักรยานยนต์สัญชาติอังกฤษที่ผสมผสานดีไซจ์นโฉบเฉี่ยวเข้ากับสมรรถนะระดับหัวแถวในยุคนั้น สามารถทำความเร็วสูงสุดทะลุ 90 ไมล์/ชม. (144 กม./ชม.) จนทำให้ Speed Twin กลายเป็นต้นแบบของรถจักรยานยนต์สปอร์ทคลาสสิคยุคแรกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งความเป็นสปอร์ทคลาสสิคอันเหนือกาลเวลานี้ ไม่เคยหายไปจากใจของเหล่าไบเคอร์ แม้เวลาจะผ่านมากว่า 8 ทศวรรษ
การกลับมาของ Speed Twin 1200 RS ที่เหนือชั้นกว่าเดิม
จากตำนานเล่าขานสู่การสร้างตำนานบทใหม่ ในปี 2025 Triumph ได้เปิดตัว Speed Twin 1200 RS โฉมใหม่ ที่ไม่เพียงอัพเกรดสมรรถนะให้โดดเด่นยิ่งขึ้น แต่ยังปรับดีไซจ์นให้โฉบเฉี่ยว และมีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวในแบบที่ไม่มีใครเหมือน อีกทั้งเส้นสายตัวรถถูกออกแบบอย่างประณีต ผสานพื้นผิววัสดุสุดพรีเมียมเข้ากับกลิ่นอายคลาสสิคที่ยังชัดเจน Speed Twin 1200 RS มาในสไตล์ Nose-Down ให้ลุคสปอร์ท และดุดัน พร้อมชอคอับสเปคสูง ระบบกันสะเทือนระดับทอพ และยังเป็นรุ่นแรกในรถตระกูล Modern Classic ที่มาพร้อม Triumph Shift Assist ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ที่เนียนกริบโดยไม่ต้องกำคลัทช์ และมีการอัพเกรดโครงรถ และเทคโนโลยีเพิ่มเติม ได้แก่ ระบบ Optimised Cornering ABS และ Traction Control ที่ช่วยเสริมสมรรถนะในการเข้าโค้ง และมุ่งเน้นการควบคุมที่ไดนามิค
ด้านงานพื้นผิวสีทองสุดงดงาม และวัสดุหุ้มเบาะหนังกลับสุดพรีเมียม มาพร้อมถังน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ที่มีรูปทรง และเส้นสายที่โค้งมน และช่องเว้าลึกด้านหน้า ในขณะที่ฝาครอบเรือนปิดผีเสื้อสไตล์มีนีมอล มาในงานพื้นผิวอลูมิเนียมปัดเงา และเข้ากันกับแผงข้างขึ้นรูปภายในเฟรมหลังที่เพรียวบางได้อย่างแนบเนียน ถัดลงมาด้านล่าง กรอบเครื่องยนต์ทรงเหลี่ยมที่เพรียวบางนั้นได้รับการเคลือบสีฝุ่นดำ และตีกรอบด้วยการเดินท่อไอเสียยาวอย่างต่อเนื่องไปจนถึงท่อเก็บเสียงเฉียงขึ้นแบบคู่ทรง "Megaphone" ที่มอบเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ฟีเจอร์สมัยใหม่ อาทิ ไฟท้าย และไฟหน้า LED ทรงกะทัดรัด ที่มาพร้อมรูปแบบแสงไฟสุดโดดเด่น เสริมด้วยการตกแต่งดีไซจ์นคลาสสิค ตั้งแต่ครีบระบายความร้อนขึ้นรูปด้วยเครื่องจักรบนฝาสูบ และเฮเดอร์โรสทรงครีบ ไปจนถึงชอคอับหลังคู่แบบดั้งเดิม และเบาะนั่งทรงยาวแบบชิ้นเดียวสุดเพรียวบาง เสริมด้วยวัสดุ และงานพื้นผิวสุดพรีเมียม เช่น บังโคลนอลูมิเนียมปัดเงา และกรอบไฟหน้า เพื่อภาพลักษณ์ในดีไซจ์นร่วมสมัยที่มาพร้อมสไตล์อันโดดเด่นเหนือกาลเวลา
Triumph Speed Twin 1200 RS ไม่ใช่แค่การสานต่อตำนาน แต่คือ การสร้างนิยามใหม่ให้แก่คำว่ารถจักรยานยนต์ Modern Classic ที่มีขีดความสามารถแบบสปอร์ทได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เป็นรถจักรยานยนต์ที่ไม่เพียงพาเราย้อนรำลึกถึงวันวานเท่านั้น แต่ยังพาเราทะยานไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ผสานสไตล์ที่ไม่มีวันล้าสมัย ด้วยอุปกรณ์ และเทคโนโลยีครบครัน พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของผู้ขี่ในราคาเริ่มต้น 668,000 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สี Baja Orange และสี Sapphire Black โดยทั้ง 2 สีมาพร้อมลวดลาย RS สีทองที่เข้ากันกับชิ้นส่วนของระบบกันสะเทือนสีทองชุบอโนไดซ์ สุดพิเศษ ! สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ รับข้อเสนอทางการเงินมูลค่า 15,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-30 กันยายน 2568
............................................................................................................
GWM ยืนยันการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซล
GWM (Thailand) เผยถึงข้อกังวลของผู้ใช้งานรถยนต์ดีเซลในไทยที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความมั่นใจในการใช้รถยนต์ดีเซล โดยเฉพาะเมื่อระยะการใช้งานเกินกว่าระยะเวลารับประกัน 150,000 กม. หรือรถมีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ซึ่งมักเป็นมาตรฐานที่ค่ายรถในวงการรถยนต์ดีเซลได้กำหนดไว้ หลังจากถึง "ระยะวิกฤติ" ดังกล่าวแล้วนั้น ผู้ใช้งานจะรู้สึกกังวล และไม่มั่นใจเนื่องจากการบำรุงรักษา และซ่อมแซมที่จะตามมาในจำนวนมาก เพื่อแก้ปัญหา และคลายความกังวลใจนี้
GWM (Thailand) ชูจุดแข็งของนวัตกรรมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ที่พัฒนา และคิดค้นขึ้นเอง โดยอยู่ในรถยนต์ SUV ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ GWM Tank 300 Diesel (กเรท วอลล์ มอเตอร์ แทงค์ 300 ดีเซล) และ New GWM Tank 500 Diesel (กเรท วอลล์ มอเตอร์ แทงค์ 500 ดีเซล) ใหม่ เพื่อมอบความมั่นใจแม้จะใช้งานเกินระยะรับประกันที่รถยนต์ดีเซลในตลาดทั่วไปมักกำหนดไว้ กับระยะเวลาการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซลถึง 1,000,000 กม. หรือ 8 ปี* (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ตอบโจทย์ผู้ใช้งานหนัก และสายลุยที่ต้องการความอุ่นใจ และเชื่อมั่นในการใช้งานในระยะยาว
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด คำตอบที่ใช่ด้านคุณภาพ และความทนทาน
หนึ่งความกังวลใจของผู้ใช้งานในไทย คือ ความไม่มั่นใจในเทคโนโลยีดีเซลจากประเทศจีน ทั้งนี้ GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) เป็นแบรนด์ที่เกิด และเติบโตมาจากเครื่องยนต์ดีเซล ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งในประเทศจีนกว่า 30 ปี การันตีด้วยผู้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเกือบ 2 ล้านคน ใน 170 ประเทศ และทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแอฟริกาใต้ ละตินอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซีย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยม และความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ดีเซลของ GWM ในระดับโลก
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด มาพร้อมระบบเทอร์โบแปรผันมอบพละกำลังสูงสุดถึง 184 แรงม้าที่ 3,600 รตน. และแรงบิดสูงสุด 480 นิวทันเมตรแบบต่อเนื่อง หรือฟแลททอร์คที่ 1,500-2,500 รตน. ทำให้การออกตัว และการขับขี่ในพื้นที่ที่มีความท้าทายเป็นไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะที่มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 ทำให้รถสามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กม./ชม. ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพถนน และสอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นออกไป
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM มาพร้อมกับเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ และลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยมด้วยการออกแบบใหม่ของท่อไอเสีย เพลาลูกเบี้ยวปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อน้ำมันแรงดันสูงสายพาน Timing และ Balance Shaft จึงทำให้ห้องเครื่องยนต์มีระดับเสียงต่ำกว่า 68 เดซิเบลในช่วง Idle Speed ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นิ่ง ไม่สั่น ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น และสะดวกสบาย
เพื่อยืนยันประสิทธิภาพดังกล่าว เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ยังผ่านการทดสอบในสภาพอากาศหนาว และร้อนสุดขั้ว 300 ชม. ทดสอบการทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุด 500 ชม. ทดสอบการรับน้ำหนักในสภาวะต่างๆ 650 ชม. รวมถึงการทดสอบในสภาพถนน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวม 6 ล้านกิโลเมตร ซึ่งการทดสอบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพและความทนทานเพื่อรองรับการใช้งานหนักในระยะยาว ภายใต้สภาพถนนที่หลากหลาย และท้าทายของประเทศไทย ไม่ว่าจะขับขี่ในเมือง หรือออกทริพต่างจังหวัดแบบสมบุกสมบัน
เหนือกว่าเครื่องยนต์ดีเซลในตลาด GWM กล้ารับประกันเครื่องยนต์ดีเซลยาวนานที่สุดในไทย
GWM Tank 300 Diesel และ New GWM Tank 500 Diesel มีการรับประกันเครื่องยนต์ที่ยาวนานที่สุดในไทย โดยกล้ารับประกันเครื่องยนต์ดีเซลถึง 1,000,000 กม. หรือ 8 ปี (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) โดยครอบคลุมชิ้นส่วนหลักของเครื่องยนต์ 5 ส่วน ได้แก่
- ฝาครอบฝาสูบเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนภายใน
- ฝาสูบเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนภายใน
- เสื้อสูบเครื่องยนต์ส่วนบน และชิ้นส่วนภายใน
- เสื้อสูบเครื่องยนต์ส่วนล่าง และชิ้นส่วนภายใน
- อ่างน้ำมันเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนภายใน
การกล้ารับประกันเครื่องยนต์ดีเซลในระยะทางยาวนานถึง 1,000,000 กม. หรือ 8 ปี* คือ การตอกย้ำถึงความมั่นใจในคุณภาพ และความทนทานของเครื่องยนต์ และเป็นการสะท้อนความจริงใจของ GWM (Thailand) ที่ต้องการดูแลลูกค้าในระยะยาว และสร้างความมั่นใจสูงสุดให้แก่ผู้ใช้งานว่าการเลือก GWM Tank Series คือ การลงทุนในการใช้ชีวิต และการเดินทางที่ชาญฉลาด และยั่งยืน
