ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
แจ้งเบาะแสรถทำผิดกฎหมาย รับส่วนแบ่งค่าปรับทันที !
งานไม่ยากได้เงินดี ! แจ้งเบาะแสรถทำผิดกฎหมาย รับส่วนแบ่งค่าปรับ 30 %
แจ้งส่งหลักฐานรถกระทำผิด
กรมการขนส่งทางบก ระบุว่า เพียงถ่ายภาพ หรือคลิพวีดีโอรถที่ทำผิดเพื่อเป็นหลักฐาน พร้อมระบุวัน-เวลา สถานที่ รายละเอียดรถ ทะเบียนรถ โดยการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด เช่น ดัดแปลงไฟหน้า หรือไฟท้ายรถ รถควันดำ ล้อล้นออกจากตัวรถ ไม่ติดป้ายทะเบียน ปิดบังป้ายทะเบียน รถที่ไม่มี พรบ. หรือสภาพรถที่ไม่พร้อมใช้งาน ฯลฯ
มาตรการดังกล่าวเป็นของกรมการขนส่งทางบก ที่เปิดช่องทางรับแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ผู้แจ้งจะได้รับส่วนแบ่งค่าปรับ 30 % หลังหักเงินนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อร่วมกันสร้างวินัย และความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
เห็นรถผิดกฎหมาย แจ้งที่ไหนได้
- โทรศัพท์ : 1584 สายด่วนสำหรับการแจ้งร้องเรียน โดยกรมการขนส่งทางบก
- Line : @1584DLT
- Facebook : 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ
- E-mail : dlt_1584complain@hotmail.com
- Website : ins.dlt.go.th/cmpweb
- เดินทางมาติดต่อด้วยตนเองที่กรมการขนส่งทางบก หรือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบได้ทันที
- กรมการขนส่งทางบก : หน่วยงานนี้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนรถ และการขับขี่ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เช่น รถที่ไม่มีป้ายทะเบียน หรือสภาพรถที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
- ตำรวจจราจร : หากพบเห็นรถที่ทำผิดกฎจราจร หรือดัดแปลงสภาพจนเป็นอันตราย เราสามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบได้ทันที
จากนั้นกรมการขนส่งทางบกจะเรียกตัวผู้ถูกร้องเรียนมารายงานตัว และสอบถาม เมื่อได้ข้อยุติ ผู้แจ้งจะได้รับ SMS ยืนยัน เพื่อรับการโอนเงินส่วนแบ่งค่าปรับ 30 % หลังหักเงินนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
..........................................................................................................................................................................................
Leapmotor เปิดตัว B10
Leapmotor Thailand บุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า C-Segment เปิดตัว Leapmotor B10 (ลีพมอเตอร์ บี 10) ทั้ง 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Life, Style และ Design มาพร้อมแบทเตอรีขนาด 56.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง และขนาด 67.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางในการขับขี่ 442 กม. และ 516 กม. ตามมาตรฐาน NEDC
ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการบริหาร บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Leapmotor อย่างเป็นทางการในประเทศไทย กล่าวว่า Leapmotor B10 รุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่ม C-Segment ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Leapmotor Thailand ที่ต้องการมอบทางเลือก และตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น
หลังจากการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก Leapmotor C10 (ลีพมอเตอร์ ซี 10) ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และปีนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะดี และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ทั้งในเรื่องของระบบความปลอดภัย ระบบช่วยขับขี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และความคุ้มค่า พร้อมยกระดับมาตรฐานการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในอนาคต
Leapmotor B10 ทั้ง 3 รุ่น ประกอบด้วยรุ่น Life ราคา 698,000 บาท รุ่น Style ราคา 758,000 บาท และ Design 798,000 บาท พร้อมแคมเปญ Pre Booking ที่เริ่มให้ลูกค้าจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ Leapmotor B10 เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าที่สนใจจองสิทธิ์เข้ามาเป็นจำนวนมากทำให้เราต้องขยายเวลาเปิดจองสิทธิ์-10 ตุลาคมนี้ โดยผู้ที่สนใจจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ Leapmotor B10 ได้ง่ายๆ เพียง 1,010 บาท พร้อมรับส่วนลด 10,000 บาท สำหรับกลุ่มลูกค้ากลุ่มแรกที่จองสิทธิ์เข้ามาทั้งหมด จะได้สัมผัส Leapmotor B10 คันจริงที่โชว์รูม Leapmotor Thailand ทั้ง 15 สาขาทั่วประเทศ โดยมีรถพร้อมส่งให้ลูกค้าทันที
........................................................................................................................................................................................
Porsche เปิดตัว Cayenne S E-Hybrid Coupe
Porsche ประเทศไทย เปิดตัว Cayenne S E-Hybrid Coupe (คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด คูเป) รุ่นปรับโฉมปี 2026 ซึ่งประกอบขึ้นในโรงงานที่ประเทศมาเลเซีย มาพร้อมล้อลาย RS Spyder Design ขนาด 21 นิ้ว เพิ่มความสปอร์ท และดุดัน
จากความสำเร็จของ Cayenne S E-Hybrid Coupe ที่ประกอบขึ้นสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ จากโรงงานในประเทศมาเลเซีย พร้อมแล้วกับรุ่นปรับโฉมปี 2026 ด้วยการผสมผสานความแรงจากเทคโนโลยี E-Performance และความหรูหราในแบบฉบับรถสปอร์ท SUV ระดับพรีเมียม ที่มาพร้อมการพัฒนาดีไซจ์นภายนอกโดยเฉพาะล้อ RS Spyder Design 21 นิ้ว ซึ่งมาพร้อมกับคิ้วตกแต่งซุ้มล้อสีเดียวกับตัวรถ ที่ช่วยเพิ่มความสปอร์ท และความดุดันให้แก่ตัวรถมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาวไทยทั้งในแง่ของคุณภาพ และราคา
Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นปรับโฉม ปี 2026
รุ่นปรับโฉมที่ผลิตขึ้นในประเทศมาเลเซีย ได้มีการพัฒนาเพื่อให้มีความสปอร์ท และดุดันมากยิ่งขึ้น ด้วยล้อ RS Spyder 21 นิ้ว ที่ช่วยยกระดับรถให้มีความโฉบเฉี่ยวแต่ยังคงให้ความหรูหรา โดยล้อ RS Spyder ขนาด 21 นิ้ว มาพร้อมกับคิ้วตกแต่งซุ้มล้อสีเดียวกับตัวรถ
มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครับครันเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า HD Matrix LED ที่ประกอบด้วยโมดูลความละเอียดสูง 2 ชุด และกว่า 32,000 พิกเซล/โคมไฟ พวงมาลัย GT Sports และแพคเกจ Sport Chrono พร้อมนาฬิกา Porsche Design รวมถึงเบาะนั่งไฟฟ้าแบบปรับได้ 14 ทิศทาง พร้อมระบบจดจำตำแหน่งที่มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ หรือสีดำ/สีแดง Bordeaux Red พร้อมลายสัญลักษณ์ Porsche (โพร์เช) บนพนักพิงศีรษะที่เบาะคู่หน้า
นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมอุณหภูมิแยก 4 โซน ระบบฟอกอากาศ ม่านบังแดดด้านหลังที่เปิด และปิดด้วยระบบไฟฟ้า และยังเพิ่มความทันสมัยให้แก่ห้องโดยสารด้วย Porsche Driver Experience ด้วยชุดหน้าปัดดิจิทอลโค้งมน 12.6 นิ้ว และหน้าจอ Infotainment 12.3 นิ้ว โดยตำแหน่งคันเกียร์อัตโนมัติที่จะอยู่ที่บริเวณด้านซ้ายของพวงมาลัยบนคอนโซลกลาง เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของ และแผงควบคุมระบบปรับอากาศในดีไซจ์นทันสมัยโทนสีดำ และแผงควบคุมมาพร้อมปุ่มกดขนาดใหญ่ พร้อมสวิทช์หมุนปรับอากาศ และปุ่มปรับระดับเสียงแบบสัมผัส ทำให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมความหรูหราที่ครบครัน
Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นปรับโฉม ปี 2026 ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบาย ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) และระบบช่วยจอด (Park Assist) พร้อมกล้องรอบทิศทาง (Surround View) ที่ช่วยให้การจอด และขับขี่ในพื้นที่จำกัดปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
รถสปอร์ท SUV ระดับพรีเมียม พร้อมสมรรถนะเต็มพลัง
Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นปรับโฉมปี 2026 เปิดตัวในประเทศไทยในราคาจำหน่าย 6,690,000* บาท เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสสมรรถนะไฮบริดเต็มพลัง ความแรง และความหรูหราที่ครบครัน โดยสามารถเลือกสีตัวถังได้ 3 สี ได้แก่ สีขาว Carrara White, สีดำ Chromite Black และสีเงิน Dolomite Silver พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบในทุกการเดินทาง
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
..........................................................................................................................................................................................
Kia แนะนำ Kia Carnival HEV 7-Seater
เกีย เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ เปิดตัว The New Kia Carnival HEV 7-Seater (เกีย คาร์นิวัล เออีวี 7-ที่นั่ง) เอมพีวีรุ่นเรือธงโฉมใหม่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายใต้คอนเซพท์ “Built for Every Move of Life" ยกระดับประสบการณ์การขับขี่รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวยุคใหม่
ฌ็อง-ดาวิด คริสติญอง อาเรล รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า The Kia Carnival ไม่ใช่แค่รถยนต์ธรรมดา แต่เป็นรถเอมพีวีสำหรับครอบครัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และใน The New Kia Carnival HEV 7-Seater ได้สร้างสรรค์ยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกับครอบครัวที่ได้เป็นเจ้าของ มาพร้อมคอนเซพท์ “Built for Every Move of Life” จึงสะท้อนถึงสิ่งที่ทำให้ The New Kia Carnival HEV 7-Seater แตกต่าง และมีความหมายยิ่งกว่าใคร ด้วยการเป็นเอมพีวีสำหรับครอบครัวที่ทำให้เจ้าของรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อใช้งาน ด้วยดีไซจ์นอันทรงพลังที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก SUV สู่การเป็นรถเอมพีวีที่ทำให้คุณสามารถสนุกกับการขับขี่ได้ทุกวัน ด้วยตำแหน่งการขับขี่ที่นั่งสบายแบบรถซีดาน ผสานกับขุมพลังไฮบริดที่ทั้งทรงพลัง ประหยัด และมอบประสบการณ์ขับขี่ที่นุ่มนวลเหนือระดับ
ขณะเดียวกัน ยังเติมเต็มทุกช่วงเวลาแห่งครอบครัวด้วยฟีเจอร์ที่มอบความสะดวกสบายระดับพรีเมียม อาทิ ที่นั่งแบบ Relaxation Seat พร้อมระบบระบายอากาศ รวมถึงฟังค์ชันที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง เช่น ทางเดินที่เอื้อต่อการเข้า-ออกเบาะหลังได้สะดวกยิ่งขึ้น และเบาะที่สามารถพับเก็บราบได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยสูงสุดเมื่อต้องการ
The New Kia Carnival HEV 7-Seater ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ของไทย ทั้งครอบครัวที่มีลูก ครอบครัวขยายที่มีสมาชิก 5-7 คน หรือครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิก 3 เจเนอเรชันอาศัยอยู่ร่วมกัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานประจำวันในเมือง การเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด หรือการขนสิ่งของสำหรับกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัว จึงเรียกได้ว่า The New Kia Carnival HEV 7-Seater เป็นรถอเนกประสงค์ที่สร้างมาเพื่อตอบทุกจังหวะของชีวิตครอบครัวอย่างแท้จริง
The New Kia Carnival HEV 7-Seater เปิดราคาเริ่มต้นที่ 2,499,000 บาท
The New Kia Carnival HEV 7-Seater จำหน่ายในประเทศไทย 2 รุ่นย่อย ได้แก่ The New Kia Carnival HEV 7-Seat Luxury ราคา 2,699,000 บาท และ The New Kia Carnival HEV 7-Seat Premium ราคา 2,499,000 บาท มาพร้อมกับดีไซจ์นที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง สะท้อนทั้งความหรูหรา และความแข็งแกร่งในสไตล์ SUV มาพร้อมฟีเจอร์ต่างๆ ที่น่าสนใจ อาทิ กระจังหน้าแบบ "Tiger Nose" โคมไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED ดีไซจ์นดวงไฟทรงลูกบาศก์ ชุดไฟหน้า และไฟท้ายแบบ Star Map Lighting ดีไซจ์นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Kia (เกีย) และล้ออัลลอยดีไซจ์นใหม่ ขนาด 19 นิ้ว นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแรคหลังคาที่ไม่เพียงช่วยเสริมลุคความแข็งแกร่งแบบ SUV แต่ยังเป็นการเพิ่มความอเนกประสงค์ให้แก่การใช้งานจริง (แรคหลังคาสามารถรองรับน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 100 กก.) ช่วยปลดลอคขีดจำกัดให้การเดินทางไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันของครอบครัวให้สะดวกสบายกว่าที่เคย
The New Kia Carnival HEV 7-Seater มาพร้อมประตูสไลด์ไฟฟ้า (Smart Power Sliding Door) และฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Power Tailgate) ที่ให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้วยระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้ตัวรถโดยที่มีกุญแจ Smart Key อยู่ด้วย สำหรับในรุ่น The New Kia Carnival HEV 7-Seat Luxury จะมี Dual Sunroof ที่ให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งสบายให้กับห้องโดยสาร สำหรับตัวเลือกสีภายนอกของ The New Kia Carnival HEV 7-Seater มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว Snowflake White Pearl สีเทา Meteor Grey สีดำ Jet Black และสีน้ำเงิน Astra Blue
ห้องโดยสารของ The New Kia Carnival HEV 7-Seater ได้รับการออกแบบให้กว้างขวาง และร่วมสมัยด้วยดีไซจ์นใหม่ ประกอบด้วย จอโค้งแบบพาโนรามิคที่ผสานรวมจอแสดงผลแบบคลัสเตอร์ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว เข้าไว้ด้วยกันแบบไร้รอยต่อ มีระบบเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple Car Play แบบไร้สาย และฟังค์ชันสั่งงานด้วยเสียง มีระบบปรับอากาศด้านหน้าแบบอัตโนมัติที่สามารถปรับอุณหภูมิได้แบบแยกอิสระทั้งโซนด้านหน้าฝั่งซ้าย-ขวา และโซนด้านหลัง
นอกจากนี้ ยังมีสวิทช์สำหรับสลับการควบคุมระบบอินโฟเทนเมนท์ และระบบปรับอากาศที่ผสานการควบคุมทั้งระบบไว้บนอินเตอร์เฟศเดียวกัน เพียงแค่สัมผัส 1 ครั้งก็สามารถสลับการควบคุมไปมาระหว่างระบบอินโฟเทนเมนท์กับระบบปรับอากาศ ช่วยลดความซับซ้อนของเลย์เอาท์ในขณะที่ยังคงความสะดวกในการใช้งาน และภายในห้องโดยสารยังได้ติดตั้งพอร์ท USB-C มาตรฐาน รวม 6 พอร์ทกระจายทั้ง 3 แถวที่นั่ง ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถชาร์จอุปกรณ์ของตนได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะนั่งอยู่ตำแหน่งใดของตัวรถ
ในรุ่น The New Kia Carnival HEV 7-Seat Luxury ยังได้ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ ด้วยการติดตั้งลำโพง Bose รอบคัน 12 จุด เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่รื่นรมย์ให้แก่ผู้โดยสารทุกคน ไฟเรืองแสง Ambient Light สามารถแต่งสีไฟให้เข้ากับทุกบรรยากาศพร้อมสีให้เลือกถึง 64 เฉดสีครอบคลุมบริเวณคอนโซล และประตู ช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในรถให้ดูหรูหรามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์อัจฉริยะครบครันเพื่อมอบความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เช่น ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า (Head-up Display) ขนาด 11 นิ้ว ฉายข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญขึ้นบนหน้าจอกระจกหน้าในระดับสายของผู้ขับ และกระจกมองหลังแบบดิจิทอล ช่วยให้มองเห็นถนนด้านหลังได้อย่างชัดเจน แม้ว่ารถจะเต็มไปด้วยผู้โดยสาร หรือสัมภาระขนาดใหญ่
สำหรับเบาะที่นั่งของคนขับในรุ่น The New Kia Carnival HEV 7-Seat Luxury ยังได้ติดตั้งระบบจดจำตำแหน่งเบาะนั่งและระบบ Welcome Seat สำหรับผู้ขับ เบาะนั่งคู่หน้า และเบาะนั่งแถวที่ 2 มาพร้อมระบบระบายอากาศ และระบบอุ่นเบาะ สำหรับเบาะผู้โดยสารแถว 2 เป็นแบบ Relaxation Seat ที่เปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นความสะดวกสบายระดับเฟิร์สต์คลาสส์ด้วยฟังค์ชันปรับเอนนอนที่สามารถปรับระดับได้เต็มรูปแบบ พร้อมเบาะรองขาแบบปรับไฟฟ้า มีโหมด One-Touch Relaxation ที่สั่งงานด้วยการกดเพียงครั้งเดียวมอบความสบายให้กับผู้นั่งได้อย่างง่ายดาย
The New Kia Carnival HEV 7-Seat Premium
เบาะนั่งแถว 2 เป็นเบาะแบบ Captain Seats ที่สามารถถอดออกได้เพื่อเพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งาน และยังสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้เป็นแบบนั่งหันหน้าเข้าหากันได้ ให้สมาชิกในครอบครัวได้มีปฏิสัมพันธ์กันได้ตลอดทริพ พร้อมกันนี้ The New Kia Carnival HEV 7-Seater ทั้ง 2 รุ่นได้รับการปรับให้มีพื้นที่ทางเดิน (Walkthrough Access) ที่เอื้อต่อการเข้า-ออกเบาะหลังได้สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับสมาชิกครอบครัวทุกคน โดยเฉพาะเด็ก และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ด้วยจุดยึดสําหรับติดตั้งเบาะนั่งสําหรับเด็ก (Isofix) ที่มีให้ในตำแหน่งที่นั่ง 4 ตำแหน่งเป็นมาตรฐาน (2 จุดบนเบาะนั่งแถว 2 และอีก 2 จุดบนเบาะแถว 3) ซึ่งช่วยให้สามารถติดตั้งเบาะนั่งสำหรับเด็กในตำแหน่งต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เสริมความปลอดภัย และความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการของครอบครัวได้ดีที่สุด
The New Kia Carnival HEV 7-Seater ยังคงโดดเด่นในเรื่องความกว้างขวางสำหรับทั้งผู้โดยสาร และสัมภาระ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเรียงที่นั่งผู้โดยสารที่มีความยืดหยุ่น โดยถือเป็นรถเอมพีวีที่รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ที่นั่ง พร้อมด้วยสัมภาระของทุกคนได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถคันเดียว เบาะนั่งแถว 3 มาพร้อมฟังค์ชันพับราบ ที่เป็นการสร้างพื้นที่บรรทุกแบบเรียบที่รวดเร็ว และไม่ต้องใช้แรง ปรับเปลี่ยนได้ทันทีระหว่างความต้องการในการขนย้ายคน และขนส่งสินค้า
สมรรถนะ และเทคโนโลยีการขับขี่-เสริมความมั่นใจ และความปลอดภัยในทุกเส้นทาง
The New Kia Carnival HEV 7-Seater ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6 ลิตรเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 54 กิโลวัตต์ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 367 นิวทันเมตร ซึ่งไม่เพียงแต่ให้สมรรถนะที่ตอบสนองได้ดี และประหยัดน้ำมัน แต่ยังให้ประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล และเงียบเป็นพิเศษ พร้อมความสามารถของโหมด EV Drive และสามารถใช้งานระบบปรับอากาศแม้เครื่องยนต์หยุดทำงาน The New Kia Carnival HEV 7-Seater มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดเฉพาะรุ่นที่มุ่งยกระดับสมรรถนะ และความประหยัดน้ำมัน ควบคู่กับการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล และสบายยิ่งขึ้น ในโหมด Eco/Smart ผู้ขับสามารถใช้ Paddle Shift เพื่อปรับระดับการชะลอความเร็วของระบบ Regenerative Braking ได้ถึง 3 ระดับ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งคืนพลังงาน และการประหยัดเชื้อเพลิงในทุกการเดินทาง นอกจากนี้ ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์เฉพาะของ The New Kia Carnival HEV 7-Seater อาทิ
• E-Handling ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมการตอบสนองของรถเมื่อเข้า และออกจากโค้ง
• E-Ride ช่วยลดแรงสะเทือน และมอบความนุ่มนวลในการขับขี่เมื่อต้องผ่านพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ
• E-Evasive Handling Assist ออกแบบมาเพื่อช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของรถในสถานการณ์ที่ต้องหักหลบกะทันหัน
และเมื่อผู้ขับต้องการการตอบสนองที่เฉียบคม และการขับขี่ที่เร้าใจกว่าเดิม โหมด Sport มอบอิสระในการควบคุมผ่าน Paddle Shift ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ด้วยความสูงจากพื้น 172 มม. ทำให้ The New Kia Carnival HEV 7-Seater มีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่เหนือระดับพร้อมศักยภาพการขับขี่ในแบบรถ SUV ในการรับมือกับถนนขรุขระ ลูกระนาด หรือพื้นผิวที่ไม่เรียบได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งยังมีความคล่องตัว และง่ายต่อการควบคุมไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมือง และนอกเมือง ทำให้ The New Kia Carnival HEV 7-Seater เป็นรถเอมพีวีระดับพรีเมียมที่ผสานความนุ่มสบายเข้ากับความมั่นใจในสไตล์ SUV ได้อย่างลงตัว
เทคโนโลยี Parking Aid Assist
การจอดรถกับ The New Kia Carnival HEV 7-Seater เป็นเรื่องง่าย และไร้กังวล ด้วยเทคโนโลยี Parking Aid Assist ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจตลอดการใช้งานด้วยกล้องมองรอบทิศทาง (Surround View Monitor) ที่ให้มุมมองเสมือนมองจากมุมสูง ทำให้ผู้ขับเห็นทุกมุมอย่างชัดเจนเมื่อต้องเข้าจอดในพื้นที่แคบ ขณะที่เซนเซอร์รอบคันด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ช่วยให้ประเมินระยะห่างได้อย่างแม่นยำ และหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางรอบตัวรถได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกันการชนด้านหลังขณะถอยจอด (Rear Parking Collision-Avoidance Assist) ที่จะส่งสัญญาณเตือน และสั่งเบรคอัตโนมัติทันทีหากตรวจพบสิ่งกีดขวางด้านหลังขณะถอยหลัง คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้การจอดรถไร้ความกังวล และเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นที่จอดที่ลงตัว นอกจากนี้ The New Kia Carnival HEV 7-Seater ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS-Advanced Driver-Assistance Systems) ที่ช่วยยกระดับความมั่นใจ และความปลอดภัยในทุกการเดินทาง อาทิ :
• Smart Cruise Control with Stop & Go
• High Beam Assist
• Forward Collision Avoidance Assist
• Blind Spot Collision Avoidance Assist (BCA)
• Blind-Spot View Monitor (BVM)
• Rear Cross Traffic Collision Avoidance Assist (RCCA)
• Lane Following Assist and Lane Keeping Assist
• Safe Exit Assist
พร้อมกันนี้ The New Kia Carnival HEV 7-Seater ยังได้ติดตั้งถุงลมนิรภัยมาตรฐาน 8 ตำแหน่ง ครอบคลุมทุกด้าน ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ถุงลมม่านด้านข้าง ถุงลมนิรภัยปกป้องเข่าผู้ขับ และถุงลมนิรภัยกลางระหว่างเบาะผู้ขับ และผู้โดยสารด้านหน้า (Front Center Airbag) ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ทั้งหมดนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บของผู้โดยสารทุกตำแหน่ง พร้อมทั้งเพิ่มความสบายใจให้แก่ทุกคนในครอบครัว เพื่อความมั่นใจกับผู้โดยสารในทุกเส้นทาง
..........................................................................................................................................................................................
Subaru แนะนำ Forester ใหม่
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ Subaru (ซูบารุ) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ประกาศแนะนำรถยนต์ All New Forester 2.5I-S ES AWD CVT 26MY (ซูบารุ ฟอเรสเตอร์) ใหม่ นำเข้าทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น
สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Subaru Forester ใหม่ เน้นคุณภาพของการประกอบในญี่ปุ่น โดดเด่นชัดเจนในเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัย และเทคโนโลยีการขับขี่ NVH (Noise-Vibration-Harshness) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่ของรถ ความโดดเด่นของ Forester ใหม่ อยู่ที่การรวมไว้ซึ่งเทคโนโลยีสำคัญ และจุดเด่นที่มีในรถธงของ Subaru ได้แก่ โครงสร้างตัวถัง 2 ชั้น Full-Inner Frame ที่กำจัด และลด NVH ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งปัจจุบันมีในรถธงรุ่น Outback (เอาท์แบค), ขุมพลังใหม่ 2.5 ลิตร FB25 สูบนอนที่มีศูนย์ถ่วงต่ำ กำลังแรงแต่ประหยัดน้ำมัน จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติลิเนียร์ทรอนิคส์ 8 จังหวะ Lineartronic TR58 และระบบพวงมาลัยไฟฟ้า Dual Pinion Electric Power Steering ที่ปัจจุบันมีในรถธงรุ่น WRX (ดับเบิลยูอาร์เอกซ์), ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบสมมาตร SAWD ที่ทำงานร่วมกับ X-Mode จนได้ระบบขับเคลื่อนที่ไปได้ทุกสภาพถนน, เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับ EyeSight 4.0 อัพเกรดเวอร์ชัน เพิ่มกล้องเลนส์กว้าง Wide Angle Monocular Camera อีก 1 ตัว และเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับแอดวานศ์ EDSS Emergency Driving Stop System
“การนำเข้าทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น ช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยได้ใช้รถที่มีเทคโนโลยีล่าสุดที่มีในประเทศญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกันกับลูกค้าในญี่ปุ่น และยังได้วัสดุคุณภาพสูง คงทน และการประกอบที่พิถีพิถันของญี่ปุ่น (Japan Quality) ดีไซจ์นสดใหม่สวยแบบไม่ตะโกน ผสมผสานสไตล์รสนิยมของอเมริกา และยุโรปไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้รูปลักษณ์ของ Forester ใหม่ โดดเด่น มีเสน่ห์ที่แตกต่างจากเอสยูวีอื่นในตลาดอย่างชัดเจน Subaru ใส่ใจกับการเข้าถึงฟังค์ชันต่างๆ แบบไม่ขัดกับหลักธรรมชาติของความปลอดภัย อาทิ คงการออกแบบระบบปุ่มกด หรือหมุน (Knob) สำหรับฟังค์ชันควบคุมที่ต้องใช้งานเป็นประจำ เช่น ควบคุมอุณหภูมิระบบปรับอากาศ หรือปรับระดับเสียงวิทยุ
อีกหนึ่งชื่อเสียงที่โด่งดังทั่วโลกของรถ Subaru คือ เทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดที่มีบนรถ ทำงานอย่างแม่นยำ และใช้งานได้จริง Forester ใหม่ มากด้วยอรรถประโยชน์ใช้สอยของรถเอสยูวีขนาดใหญ่ ที่มีความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) สูงถึง 220 มม. ผ่านได้ทุกสภาพถนน และระดับน้ำสูง 50 ซม. เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบของคนชื่นชอบการเดินทาง ใช้ทำงานก็ได้ ใช้เดินทางก็ดี
All-New Forester 2.5I-S ES
เป็นอีกหนึ่งรถคุณภาพพรีเมียม ในไลน์อัพทั้ง 5 ของ Japan CBU ในประเทศไทย วางจำหน่ายเพียงรุ่นเดียว คือ รุ่นทอพ I-S EyeSight AWD CVT โดยมีราคาจำหน่ายที่ 2,590,000 บาท รับประกันตัวรถนาน 5 ปี หรือ 100,000 กม. พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. นาน 5 ปี เริ่มจำหน่ายโดยเปิดรับจอง และนัดหมายทดลองขับที่โชว์รูมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และมีรถพร้อมส่งมอบทันที ส่งมอบลอทแรกในเดือนเปิดตัวได้ 30 คัน ลอทต่อไปส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 ตามลำดับการสั่งซื้อก่อน-หลัง ลูกค้าจะได้รับโปรโมชันช่วงเปิดตัวเป็นแพคเกจดูแลรักษาตามระยะ 3 ปี หรือ 60,000 กม. และประกันภัยชั้น 1 ของ AIG
นับจากการเปิดตัว Forester ใหม่ ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย)ฯ จะจำหน่ายเพียงรถ Subaru ที่นำเข้าทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น (Japan CBU) เป็นผู้ส่งผ่านคุณภาพต้นฉบับจากประเทศญี่ปุ่นสู่ลูกค้าชาวไทย โดยปัจจุบันนำเข้ารถมาจำหน่ายทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่ Forester ใหม่, Outback, WRX, WRX Wagon และ BRZ (บีอาร์เซด) ดูแลลูกค้าในระยะยาวด้วยแพคเกจมาตรฐานที่ให้พร้อมกับตัวรถ รับประกันนาน 5 ปี หรือ 100,000 กม. พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. นาน 5 ปี Subaru จะเป็นผู้นำเข้ารถยนต์เพียงไม่กี่รายที่มีโชว์รูมขาย และศูนย์บริการมาตรฐานครอบคลุมทั่วประเทศ
..........................................................................................................................................................................................
กรมธุรกิจพลังงาน เผยยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 8 เดือน
มกราคม-สิงหาคม 2568 ประเทศไทยใช้น้ำมันเชื้อเพลงที่ 155.23 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 0.5
สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 มีปริมาณอยู่ที่ 155.23 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแกสธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) มีปริมาณการใช้ลดลงสูงสุด ที่ร้อยละ 16 ตามด้วยแกสปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลดลงร้อยละ 5.0 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงร้อยละ 2.2 ขณะที่น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 และกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 โดยมีรายละเอียดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ดังนี้
ปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.64 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 โดยน้ำมันแกสโซฮอล 95 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.47 ล้านลิตร/วัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแกสโซฮอล 95 กับน้ำมันแกสโซฮอล 91 ลดลงมาอยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร (ราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแกสโซฮอล 95 กับน้ำมันแกสโซฮอล 91 อยู่ที่ 1.01 บาท/ลิตร จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้น้ำมันแกสโซฮอล 95 สูงขึ้นจากปีก่อน ขณะที่การใช้น้ำมันแกสโซฮอล 91 น้ำมันแกสโซฮอล E 20 น้ำมันเบนซิน และน้ำมันแกสโซฮอล E 85 มีปริมาณการใช้ที่ลดลงมาอยู่ที่ 6.61 ล้านลิตร/วัน 5.12 ล้านลิตร/วัน 0.39 ล้านลิตร/วัน และ 0.06 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) โดยมีสัดส่วนร้อยละ 6.8 ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน
ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เฉลี่ยอยู่ที่ 66.01 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 2.2 โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ลดลงมาอยู่ที่ 65.99 ล้านลิตร/วัน และดีเซลหมุนเร็ว B 20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.02 ล้านลิตร/วัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และภาคการส่งออกชะลอตัวจากผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงการชะลอตัวของการส่งออกสินค้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงหลังจากเร่งไปในช่วงก่อนหน้า
ปริมาณการใช้ Jet A1 เฉลี่ยอยู่ที่ 17.01 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนทั้งคนไทย และต่างชาติขยายตัวร้อยละ 1.64 รวมไปถึงการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสะสม 8 เดือนของปี 2568 มีจำนวน 21.87 ล้านคน ลดลงร้อยละ 6.4
ซึ่งเป็นการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (โดยเฉพาะจีน) ที่ลดลงร้อยละ 25.95 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น รวมถึง ททท. ได้มีการปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 40 ล้านคน เหลือ 33.4 ล้านคน ซึ่งลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อน
ปริมาณการใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.87 ล้าน กก./วัน ลดลงร้อยละ 5.0 ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ภาคปิโตรเคมี ที่ลดลงมาอยู่ที่ 7.68 ล้าน กก./วัน และภาคขนส่งลดลงมาอยู่ที่ 2.27 ล้าน กก./วัน ขณะที่การใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.86 ล้าน กก./วัน และภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.06 ล้าน กก./วัน
ปริมาณการใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.39 ล้าน กก./วัน ลดลงร้อยละ 16.0 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสมที่ลดลง และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงช่วยเหลือผ่านโครงการบัตรสิทธิประโยชน์ ให้แก่กลุ่มรถแทกซี และรถโดยสารสาธารณะ และได้ประกาศปรับขึ้นราคา NGV สำหรับรถทั่วไป 0.22 บาท/กก. ส่งผลให้ราคาอยู่ที่ 17.30 บาท/กก. โดยมีผลระหว่างวันที่ 16 กันยายน-15 ตุลาคม 2568 และจะมีการพิจารณาทุกๆ เดือน เพื่อสะท้อนกลไกต้นทุนที่แท้จริง
ปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,027,738 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 2.0 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 77,969 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการลดลงของการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) มาอยู่ที่ 35,408 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 46.0 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 2,066 ล้านบาท/เดือนขณะที่น้ำมันดิบมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 992,330 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 75,903 ล้านบาท/เดือน
ปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 142,500 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 16.9 โดยเป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 11,820 ล้านบาท/เดือน
เปรียบเทียบสเปค Chery V23 รุ่นย่อยไหนน่าใช้สุด
กระแส “รถกล่องไฟฟ้า” หรือ Boxy Car ที่มาแรงสุดๆ ในปี 2025 โดยเฉพาะการมาของ Chery V23 ที่เพิ่งเปิดตัวในไทยสดๆ ร้อนๆ กลายเป็นหนึ่งในรถทรงเหลี่ยมสุดน่ารักที่หลายคนพูดถึง ด้วยดีไซจ์นย้อนยุคแบบมีนีคาแรคเตอร์ พร้อมเทคโนโลยีไฟฟ้าล้วน 100 % และราคาที่จับต้องได้มากกว่าที่คิด
ทรงกล่องถูกใจ น่าใช้
สำหรับ Chery V23 มี 3 รุ่นย่อยให้เลือก คือ Play, Plus และ Peak แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันทั้งด้านกำลัง แบทเตอรี ระบบขับเคลื่อน และออพชันภายใน มาดูกันว่าสเปคจะแตกต่างอย่างไรบ้าง
สเปคของแต่ละรุ่น
|
V23 Play (2WD) |
V23 Plus (2WD) |
V23 Peak (4WD) |
ราคาไทย (เปิดตัว-ส่วนลด) |
~ 689,900-699,900 บาท |
~ 749,900-759,900 บาท |
~ 879,900-889,900 บาท |
มอเตอร์/ระบบขับเคลื่อน |
มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว, ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) |
มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว, ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) |
มอเตอร์คู่, ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) |
กำลัง/แรงบิด |
136 แรงม้า/180 นิวทันเมตร |
136 แรงม้า/180 นิวทันเมตร |
211 แรงม้า/292 นิวทันเมตร |
แบทเตอรี/ระยะทางสูงสุด (NEDC) |
LFP ความจุ 59.93 กิโลวัตต์ชั่วโมง, วิ่งไกลสุด 360 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง |
LFP ความจุ 59.93 กิโลวัตต์ชั่วโมง, วิ่งไกลสุด 360 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง |
NMC ความจุ 81.76 กิโลวัตต์ชั่วโมง, วิ่งไกลสุด 430 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง |
อัตราเร่ง (0-100 กม./ชม.) |
11 วินาที |
11 วินาที |
7.5 วินาที |
ความเร็วสูงสุด |
140 กม./ชม. |
140 กม./ชม. |
140 กม./ชม. |
ขนาดตัวถัง/มิติอื่นๆ |
ยาว 4,220 มม./กว้าง 1,915 มม/สูง 1,845 มม./ฐานล้อ 2,735 มม. |
ยาว 4,220 มม./กว้าง 1,915 มม./สูง 1,845 มม./ฐานล้อ 2,735 มม. |
ยาว 4,220 มม./กว้าง 1,915 มม./สูง 1,845 มม./ฐานล้อ 2,735 มม. |
ล้อ/ยาง |
ล้อ 19 นิ้ว ยาง 255/55 R19 |
ล้อ 19 นิ้ว ยาง 255/55 R19 |
ล้อ 21 นิ้ว ยาง 265/45 R21 |
ออพชัน/ฟีเจอร์เด่น |
ไฟหน้า LED อัตโนมัติ, จอสัมผัสกลาง, รองรับ Apple Car Play/ Android Auto, เบาะไฟฟ้าคู่หน้า+ระบบระบายอากาศ, ABS, EBD, BA, ESP, TCS, HAC |
เพิ่มระบบความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Adaptive Cruise Control, AEB (Auto Emergency Braking), BSD, กล้องรอบคัน 360° ฯลฯ |
เพิ่มโหมดขับขี่ 4WD 6 โหมดความสามารถในการปีนเนินลุยทางขรุขระ |
เปรียบเทียบตัวล่าง/ตัวทอพ
|
V23 Play/V23 Plus (2WD) |
V23 Peak (4WD) |
ค่าใช้จ่าย |
ราคาถูกกว่า เข้ากับคนที่ต้องการ “ใช้งานรถไฟฟ้าสไตล์กล่อง” คุ้มค่าแต่ไม่เน้นออพชันลุยแบบหนักๆ |
ราคาสูงขึ้น เหมาะกับคนที่อยากได้รถใช้ได้ทุกสถานการณ์ ได้สมรรถนะ และระยะทางขับขี่ยาวกว่า พร้อมฟีเจอร์สายลุยจัดเต็ม |
ระยะทางขับขี่ |
เหมาะกับการวิ่งใช้งานในเมือง และเดินทางไกลระดับปานกลาง 300 กม. สบายๆ |
เหมาะกับคนที่ต้องการเน้นขับขี่ออกทางไกลบ่อยๆ ได้ในระดับ 400 กม. |
สมรรถนะ |
อัตราเร่งไม่ทันใจ แต่เน้นอัตราการบริโภคไฟฟ้าที่ประหยัดกว่าตัวรุ่น 4WD |
เร็วกว่ารุ่น 2WD ชัดเจน รถมีแรงบิดเหมาะกับการออกตัว หรือขึ้นทางลาดชัน ทางไกลที่มีไหล่เขา แต่อัตราการบริโภคไฟฟ้ามากกว่า |
ออพชัน และฟีเจอร์ |
ได้ฟีเจอร์พื้นฐานคุ้มค่า แต่ไม่มีโหมด ขับขี่แบบออฟโรด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ |
ฟีเจอร์ครบสุดภายนอก/ภายใน พร้อมโหมดขับขี่หลากหลาย รองรับการใช้งานทั้งใน และนอกเมือง |
รุ่นไหนเหมาะกับใคร
-
ถ้าใช้งานในเมืองเป็นหลัก เดินทางไม่บ่อยมาก งบไม่สูงมาก → V23 Play 2WD ก็เพียงพอ ได้รถไฟฟ้าทรงกล่อง มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ ราคาดีกว่า บำรุงรักษาง่ายกว่า
-
ถ้าอยากได้ฟีเจอร์ช่วยเหลือการขับขี่มากขึ้น เช่น กล้องรอบคัน, ADAS, ความปลอดภัยสูงกว่า → V23 Plus 2WD คือ ทางสายกลางที่ให้ทั้งออพชันเยอะขึ้น แต่ยังไม่โดดไปใช้ระบบ 4 ล้อ หรือแบทเตอรีใหญ่สุด
-
ถ้าต้องเดินทางไกลเป็นประจำ อยากได้แรงเร่งดี เผื่อขึ้นเขาลุยบ่อยๆ และอยากได้รถที่ “ฟีเจอร์เต็มพิกัด” → V23 Peak 4WD เหมาะสม จ่ายแพงขึ้น แต่จะได้ทุกอย่างที่รุ่นล่างไม่มี
ตัวเลือกรุ่นที่น่าใช้ที่สุดโดยรวมมองว่า Chery V23 Play 2WD เป็นตัวที่บาลานศ์ที่สุดสำหรับใครหลายๆ คน เพราะได้ราคากลางๆ ไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับ Chery V23 Peak 4WD ที่เปิดราคาได้ถือว่าออพชันช่วยเหลือการขับขี่ที่สำคัญทั้งหมด ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยดีกว่า Play และ Plus แต่ยังคงได้สมรรถนะที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไปในเมือง และเดินทางไกลเล็กๆ น้อยๆ ได้
สำหรับ Chery V23 รถคันนี้ถือว่าตอบโจทย์ความคุ้มในแง่ฟีเจอร์ และประสบการณ์ใช้งานทุกสถานการณ์ได้เต็มที่ ที่สำคัญการเลือกรถที่เหมาะกับการใช้งานควรไปทดลองขับจริงจากศูนย์บริการในพื้นที่ใกล้บ้าน และเชคเงื่อนไขประกันแบทเตอรี มอเตอร์ รวมถึงวางแผนเรื่องชาร์จไฟ โครงข่ายการชาร์จในเส้นทางที่คุณใช้บ่อยให้ดีก่อนการตัดสินใจเลือกรถไฟฟ้า
