เรื่องเด่น Quattroruote
LAND ROVER DEFENDER 130
การโดยสารที่ลงตัว
ตัวถังที่ถูกเพิ่มความยาวมากกว่าเดิม เสริมด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มีให้อย่างเหลือเฟือสุดๆ รวมถึงการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 8 คน มาพร้อมขุมพลังที่มีกำลังสูงสุดในระดับ 300 แรงม้า จากเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร รองรับการขับเคลื่อนทุกรูปแบบตามแบบฉบับเอสยูวีขนานแท้
ทายาทตัวลุยระดับตำนานรุ่นที่ 2 ของสายพันธุ์ มีความแตกต่างจากรุ่นแรกโดยสิ้นเชิง แต่ยังสืบทอดความโดดเด่นหลายประการจากในอดีต นำมาสู่รุ่น 130 ในปัจจุบัน การตั้งชื่อของรถรุ่นนี้มีแบบอย่างมาจากรุ่นดั้งเดิม นั่นคือ รหัส 127 มาถึงรุ่นล่าสุดเปลี่ยนตัวเลขเล็กน้อยเป็น 130 โดยรุ่นก่อนหน้านี้ทำตลาดในช่วงปี 1980 และทำให้ตัวลุยจากค่าย LAND ROVER (แลนด์ โรเวอร์) มีจุดเด่นกว่าค่ายรถอื่นๆ เพราะเอสยูวีระดับเดียวกันทั่วไปสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดที่ 7 คน (แม้แต่ DEFENDER (ดีเฟนเดอร์) ก็รองรับได้ 7 คนเช่นกัน ในรุ่น 110) แต่การรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง “8 คน” แทบไม่ต้องใช้การบรรยายสรรพคุณใดๆ เพราะนี่คือ สิ่งที่ยังไม่มีรถยนต์ระดับเดียวกันทำได้ และคุณสมบัติที่แตกต่างดังกล่าว เราเชื่อว่ารถยนต์ลักษณะนี้ยังมีทำตลาดน้อยมากๆ เอาเข้าจริง ตัวลุยรุ่นนี้มีความยาวที่ 5,360 มม. มากพอที่จะทำให้รุ่น 130 บุกตะลุยไปได้แทบทุกที่ นอกเหนือจากการขับขี่ในตัวเมือง
ความแตกต่างของแต่ละรุ่นย่อยมีอยู่หลายจุด แต่โดยรวมแล้วองค์ประกอบต่างๆ มีความใกล้เคียงกับรุ่น 110 รวมถึงระยะโอเวอร์แฮงด้านหลังที่มีความยาวมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน คุณสมบัติดังกล่าวส่งผลกับตัวรถ 2 ประการด้วยกัน นั่นคือ เส้นสายโดยรวม และสัดส่วนของตัวรถไม่ได้แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี้ ระยะฐานล้อก็ยังเท่ากันด้วย ทำให้รูปทรงของรุ่น 130 อาจดูแปลกตาเล็กน้อย แลดูเทอะทะเมื่อเห็นในช่วงแรก (แม้ขุมพลังจะเสริมพละกำลังด้วยชุดแบทเตอรีก็ตามที) นอกจากนี้ ตัวถังที่ยาวขึ้นยังส่งผลต่อวงเลี้ยวที่มากขึ้นด้วย ทำให้ DEFENDER รุ่นนี้ถูกลดทอนความคล่องแคล่วลงเล็กน้อย โดยเฉพาะขณะทำการจอดรถในที่แคบ แม้จะมีกล้องมองภาพช่วยเหลือก็ตามที สิ่งที่ยังคงถูกรักษาเอาไว้ และเสริมความโดดเด่นให้แก่ตัวลุยคันนี้ คือ การติดตั้งยางอะไหล่บนประตูบานท้าย และยังมีอุปกรณ์ที่เรารู้สึกพอใจไม่น้อย กับกล้องมองภาพด้านหลัง ใช้งานทดแทนกระจกมองหลังได้ มีประโยชน์มากในกรณีที่มีผู้โดยสารตัวสูงนั่งด้านหลังหลายคน จนศีรษะบดบังมุมมองด้านหลัง การเปลี่ยนมาใช้งานกล้องมองภาพด้านหลังแทนกระจกสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดี
จุดเด่นของตัวลุยรุ่นนี้ คือ การติดตั้งเบาะนั่งสูงสุดถึง 8 ตำแหน่ง และยังมีคุณสมบัติของการบรรทุกสัมภาระที่มากขึ้นอีกด้วย แม้ในแง่การโดยสารแล้ว หากใช้งานเบาะครบทั้ง 8 ที่นั่ง การโดยสารอาจไม่สะดวกสบายมากนัก ส่วนหนึ่งมาจากความกว้างของตัวรถที่ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆ แม้มีความยาวเพิ่มขึ้นก็ตาม ถึงอย่างนั้น รุ่น 130 ยังเป็นทางเลือกที่ลงตัวทั้งการโดย สาร และการขนสัมภาระ เป็นสิ่งที่รถยนต์หรูระดับเดียวกันยังไม่สามารถเทียบเคียงได้ในปัจจุบันนี้ มีรถยนต์ที่ได้ใกล้เคียงกัน คือ MERCEDES-BENZ V-CLASS (เมร์เซเดส-เบนซ์ วี-คลาสส์) แต่ตัวลุยสัญชาติอังกฤษย่อมมีความได้เปรียบจากตัวรถที่มีความสูงตามสไตล์เอสยูวี พร้อมบุคลิกที่บึกบึน สมบุกสมบัน ภายใต้การใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แม้ต้องแลกกับราคาที่สูงกว่ารุ่น 110 ประมาณ 9,000 ยูโร ก็ตามที
การขับขี่บนถนนเป็นสิ่งที่ตัวลุยรุ่นนี้ทำได้ดีเกินคาด การโดยสารโดยรวมให้ความสะดวกสบายที่น่าพอใจ อัตราเร่งอาจไม่ใช่จุดเด่นสำคัญของรถคันนี้ แต่การแล่นบนทางเรียบมีความนุ่มนวล และมั่นคงที่พอเหมาะ สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือ การตอบสนองของระบบรองรับให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย สะดวกสบายแก่ผู้โดยสาร ประกอบกับการใช้งานที่ลงตัวสำหรับการโดยสารเป็นกลุ่มใหญ่ มีจุดสังเกตอยู่บ้าง คือ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับที่ทันสมัยหลายรายการไม่ได้เป็นอุปกรณ์ติดตั้งจากโรงงาน รุ่นที่เราได้ทดสอบใช้เครื่องยนต์รหัส D300 วางอยู่ในห้องเครื่องอย่างลงตัว เป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแรงบิดมหาศาล มีใช้งานตั้งแต่ช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำ สามารถขับเคลื่อนตัวลุยที่มีน้ำหนักโดยรวมในระดับ 2.7 ตัน ได้อย่างไม่ยากเย็น ตัวถังที่เน้นความบึกบึนทำให้มีแรงเสียดทานอากาศที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมีค่อนข้างมากขณะใช้ความเร็วสูง เครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียงบลอคนี้ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ประมาณ 10 กม./ลิตร ขณะใช้ความเร็วคงที่ที่ประมาณ 130 กม./ชม.
รุ่น D300 MHEV
ราคาของรถทดสอบ
● 124,400 ยูโร (ประมาณ 5,680,000 ล้านาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
● ดีเซล เทอร์โบคู่ 6 สูบเรียง
● ความจุ 2,996 ซีซี
● กำลังสูงสุด 300 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
● จากผู้ผลิต 11.5 กม./ลิตร
● จากการทดสอบ 11.0 กม./ลิตร
● ความคุ้มค่า 15.11 ยูโร/100 กม.
อัตราการปล่อยไอเสีย
● จากผู้ผลิต 228 กรัม/กม.
จุดแข็ง
โดยรวมแล้ว รุ่น 130 ตอบสนองในเรื่องความสะดวกสบายได้ยอดเยี่ยม พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่เหลือเฟือ เหมาะกับการโดยสารเป็นหมู่คณะเป็นระยะทางไกล ขณะที่ประสิทธิภาพของการลุยทางสมบุกสมบันยังคงเป็นหนึ่งในจุดเด่นของสายพันธุ์ แม้ตัวถังจะมีระยะโอเวอร์แฮงค่อนข้างมาก และความยาวของตัวรถมากกว่ารุ่นอื่นๆ ก็ตาม
จุดอ่อน
น้ำหนักโดยรวมของตัวรถที่ 2,762 กก. ถือว่ามากพอสมควร ผนวกกับตัวรถที่มีรูปทรงเน้นสันเหลี่ยมบึกบึน ทำให้ความคล่องแคล่วถูกลดทอนลงพอสมควร อีกหนึ่งจุดสังเกต คือ ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ยุคใหม่ในระดับที่ 2 หลายรายการควรเป็นอุปกรณ์ติดตั้งมาจากโรงงาน
พื้้นที่่ใช้สอย และทัศนวิสัย
การประเมินผลของ QUATTRORUOTE
เปรียบเทียบ 3 รุ่นย่อย
เบาะผู้ขับ •••••
ผู้ขับนั่งสูงขึ้นมาจากพื้นถนนประมาณ 900 มม. ทำให้มีมุมมองโดยรวมที่ปลอดโปร่ง และชัดเจน การปรับทิศทางทำได้ละเอียด มีการใช้งานที่ครอบคลุม รวมถึงที่รองส่วนขา
แผงคอนโซล และปุ่มควบคุมต่างๆ •••••
ภายใต้พื้นที่ใช้สอยที่มากมาย การใช้งานของระบบต่างๆ ก็มีหลากหลายไม่แพ้กัน กับการใช้งานผ่านปุ่มกดแบบดั้งเดิม แต่หากมองในแง่ของความทันสมัย รูปแบบการใช้งานผ่านปุ่มกดอาจดูล้าสมัยเล็กน้อย
แผงหน้าปัด ••••
การแสดงผลด้วยมาตรวัดผ่านจอภาพแบบดิจิทอล สามารถแสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ และมองเห็นได้ชัดเจน ปุ่มใช้งานสำหรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผล ควรออกแบบให้ใช้งานได้สะดวกกว่านี้
ระบบความบันเทิง ••••
หน้าจอแสดงผลหลักสามารถใช้งานได้หลากหลาย และสะดวกสบาย กราฟิคของภาพบนจอมีความคมชัด ตอบสนองการใช้งานระบบสัมผัสได้ดี รวมถึงการสั่งงานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับลุยทางสมบุกสมบัน ก็ทำได้ง่ายดาย
ระบบปรับอากาศ •••••
ระบบปรับอากาศแบบแยก 3 โซน พร้อมระบบกรองอากาศแบบอนุภาคเล็ก การปรับอุณหภูมิทำได้อย่างรวดเร็ว และรักษาอุณหภูมิได้คงที่ สามารถปรับอุณหภูมิของพวงมาลัย และเบาะนั่งทำความอุ่นถึง 6 ตำแหน่ง
ทัศนวิสัย •••
ขณะขับเคลื่อน ส่วนหลังคาที่หนา และทำมุมตั้งชัน รวมถึงกระจกมองข้างที่มีขนาดใหญ่ ทำให้มีจุดอับสายตาพอสมควร ขณะทำการจอดรถ (รวมถึงขณะลุยทางสมบุกสมบัน) เซนเซอร์ และกล้องมองภาพรองคัน มีส่วนช่วยได้มาก
คุณภาพการประกอบ •••••
แม้ภาพลักษณ์โดยรวมจะเน้นทางสมบุกสมบัน และความทนทานจากการใช้งาน แต่คุณภาพการประกอบยังทำได้ดีอย่างน่าพอใจมาก วัสดุที่เลือกใช้มีความลงตัวอย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการประกอบที่ทำได้แน่นหนา แข็งแรง
อุปกรณ์ใช้งาน ••••
อุปกรณ์ใช้งานของ DEFENDER รุ่นนี้ มีให้อย่างเหลือเฟือ เสริมความหลากหลายของการใช้งานอย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์หลายรายการยังจำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม หากผู้ขับต้องการจะติดตั้งให้ครบครัน
ระบบความปลอดภัย ••••
อุปกรณ์ความปลอดภัยในเบื้องต้นมีติดตั้งมาอย่างครบครันจากโรงงาน เช่น ระบบครูสคอนทโรลแปรผันความเร็ว และระบบเตือนนจุดอับสายตา ถูกติดตั้งมาพร้อม แต่ระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ในระดับที่ 2 หลายรายการกลับต้องจ่ายเงินเพิ่ม
พื้นที่ใช้สอย •••••
ระยะโอเวอร์แฮงส่วนท้ายที่เพิ่มขึ้นพอสมควร ทำให้การโดยสารของผู้โดยสารเต็มที่ 8 ตำแหน่ง ทำได้สะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม การนั่งบนเบาะแถว 3 ผู้โดยสารต้องแบ่งปันพื้นที่กันอย่างเหมาะสมด้วย
ที่เก็บสัมภาระท้าย •••••
หากใช้งานเบาะ 2 แถว สำหรับผู้โดยสาร 5 คน จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายมากกว่ารุ่น 110 ที่ประมาณ 44 ลิตร หากใช้งานเบาะนั่งทุกตำแหน่งจะมีความจุของที่เก็บสัมภาระท้ายที่ 145 ลิตรเท่านั้น และรูปทรงของที่เก็บสัมภาระไม่ได้มีลักษณะเรียบแบบสมมาตร
ความแตกต่างที่ชัดเจนของแต่ละรุ่นย่อย คือ สัดส่วนมิติตัวถังที่แตกต่างกัน รวมถึงความกว้างขวางของห้องโดยสารด้วย นอกเหนือจากตัวเลขของมิติตัวถังแล้ว ยังมีความแตกต่างกันในแง่ของการขนสัมภาระอีกด้วย โดยรุ่นย่อยรหัส 90 จะเป็น เอสยูวี สไตล์คูเป ที่นั่งแบบ 2+2 โดยมีพื้นที่ของเบาะด้านหลังที่ค่อนข้างจำกัด การใช้งานโดยรวมจึงไม่หลากหลายมากนัก รวมถึงตำแหน่งการนั่งของผู้โดยสาร การขึ้น/ลงห้องโดยสารจึงไม่สะดวกเท่าที่ควร ขณะที่รุ่น 130 มีเบาะนั่งแถวที่ 3 ติดตั้งมาให้ รองรับผู้โดยสารได้ 3 คนสบายๆ แต่ความกว้างขวางโดยรวมก็เหมาะกับผู้ใหญ่ และเด็กเล็กเท่านั้น การโดยสารสำหรับทางไกลอาจไม่เหมาะสมมากนัก อย่างไรก็ตาม แต่ละรุ่นมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอย่างทั่วถึง ติดตั้งบริเวณเสาของห้องโดยสาร เบาะทำความอุ่น ตาข่ายกั้นสัมภาระ และช่องต่อ ยูเอสบี มีตำแหน่งการติดตั้งที่ใช้งานได้สะดวก
จุดเด่นของเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง
ระบบ 4x4 อันชาญฉลาด
ระบบควบคุมการส่งแรงบิดไปยังล้อแต่ละตำแหน่งด้วยอีเลคทรอนิค ทำให้ตัวรถตอบสนองได้อย่างแม่นยำในหลากหลายสภาพพื้นผิว นอกจากนี้ ยังมีระบบลอคการส่งกำลังของชุดเพลาขับตรงกลาง รวมถึงระบบลอคการส่งกำลังไปยังชุดเพลาขับด้านหลัง
ระบบรองรับ
ระบบรองรับใช้วัสดุอลูมิเนียม เชื่อมต่อกับโครงสร้างตัวถังที่ใช้วัสดุโลหะที่ทมีความแข็งแรง
ตัวถังที่มีความยาวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ ของ DEFENDER ยังส่งผลต่อรายละเอียดทางเทคนิคหลายส่วนของรถรุ่นนี้อีกด้วย ตัวถังใช้วัสดุอลูมิเนียม เหมาะสมกับขนาดตัวของรถที่ใหญ่โต ขณะที่ระบบรองรับ ประกอบด้วยชุดช่วงล่างแบบปรับการตอยสนองได้ ระบบรองรับด้านหน้าแบบปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังแบบ มัลทิลิงค์ 4 จุดยึด สามารถยกตัวถังขึ้นมาได้อีก 145 มม. ทำให้มีความสูงจากพื้นถนนสูงสุดถึง 500 มม. เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกันการลื่นไถล ทำงานร่วมกับชุดเฟืองส่งกำลังตรงกลาง และการส่งกำลังชุดเฟืองท้าย ทำให้ DEFENDER สามารถลุยทางสมบุกสมบันได้อย่างไม่ยากเย็น โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง (เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) นั่นคือ มิติตัวถังที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนใต้ห้องเครื่อง คือ ขุมพลังแบบ 6 สูบเรียง แบบดีเซล เทอร์โบ รหัส D300 โดยเป็นเครื่องยนต์ที่มีชื่อว่า INGENIUM ที่ใช้งานกับรถยนต์ในเครือหลายรุ่น ตัวเครื่องยนต์ใช้วัสดุอลูมิเนียม มีน้ำหนักโดยรวมใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบเรียง มีการทำงานที่เรียบเนียนโดยไม่ต้องอาศัยชุดเพลาปรับสมดุล เนื่องจากเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียงถูกออกแบบให้มีการทำงานที่นิ่ง และมั่นคงดีอยู่แล้ว มีการสั่นสะเทือนน้อยมาก จากการทำงานที่ลงตัวของชุดลูกสูบ นอกจากนี้ยังเสริมการส่งกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตามสมัยนิยม เป็นระบบไฮบริดขนาดเล็กแบบ 48 โวลท์ ระบบจะสร้างกระแสไฟฟ้าระหว่างการถอนคันเร่งขณะลดความเร็ว และนำกลับมาเป็นพลังงานสำหรับการขับเคลื่อน ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้บางส่วน
ข้อมูลจำเพาะจากผู้ผลิตของรถทดสอบ
เครื่องยนต์
• วางตามยาว
• แบบ 6 สูบเรียง
• กระบอกสูบ 83.0 มม.
• ช่วงชัก 92.3 มม.
• ความจุ 2,996 ซีซี
• กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 4,000 รตน.
• แรงบิดสูงสุด 66.3 กก.-ม. ที่ 1,500-2,500 รตน.
• เสื้อสูบ และฝาสูบ ใช้วัสดุโลหะเนื้อหนักเบา
• ดับเบิล โอเวอร์เฮด แคม ชาฟท์ 4 วาล์ว ต่อ ลูกสูบ (สายพานโซ่)
• ระบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง คอมมอนเรล เทอร์โบคู่ (พร้อมครีบจัดเรียงอากาศ) และอินเตอร์คูเลอร์
• ชุดกรองไอเสีย
• ระบบไฮบริดขนาดเล็ก แบบ 48 โวลท์
ระบบส่งกำลัง
• ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
• ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
• ชุดแปรผันการส่งกำลัง
• ระบบควบคุมการทำงานของชุดเฟืองส่งกำลัง ทั้งตรงกลาง และด้านหลัง ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค
ยาง
• PIRELLI SCORPION ZERO ALL SEASON
255/60R20 113V M+S
• ชุดยางอะไหล่
รูปแบบตัวถัง
• ตัวถังวัสดุอลูมิเนียม 2 กล่อง 5 ประตู 8 ที่นั่ง
• ระบบรองรับด้านหน้า แบบ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
• ระบบรองรับด้านหลัง แบบ มัลทิลิงค์ 4 จุดยึด คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
• ชอคอัพแปรผันการตอบสนองด้วยอีเลคทรอนิค
• ระบบเบรคแบบ จาน พร้อมช่องระบายความร้อน เอบีเอส อีเอสพี
• ระบบบังคับเลี้ยว ฟันเฟือง และตัวหนอน
• ถังน้ำมันขนาด 89 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
• ระยะฐานล้อ 3,020 มม.
• ความกว้างฐานล้อคู่หน้า/หลัง 171/170 มม.
• ความยาว 5,360 มม. กว้าง 2,010 มม. สูง 1,970 มม.
• รวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 3,375 กก. น้ำหนักลากจูงสูงสุด 3,000 กก.
• ความจุของที่เก็บสัมภาระ 1,015-2,078 ซีซี
ผลิตที่
• เมือง NITRA (ประเทศสโลวาเกีย)