เรื่องเด่น Quattroruote
ALFA ROMEO JUNIOR Q4 & JEEP AVENGER 4XE สองขุมพลัง หัวใจเดียวกัน
รถยนต์ในปัจจุบันมีความหลากหลายมากกว่าที่เคยเป็นมา หากพิจารณาจากภายนอก รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างที่เกิดขึ้นกับ ALFA ROMEO GIULIETTA (อัลฟา โรเมโอ จูลีเอตตา) และ JEEP AVENGER (จีพ อเวนเจอร์) แต่ “ภายใต้ตัวถัง” รถยนต์ทั้ง 2 รุ่น คือ รถคันเดียวกัน เครื่องยนต์เดียวกัน แชสซีส์เดียวกัน และอีกหลายๆ ชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่ซึ่งสามารถสลับใช้ร่วมกันได้ สิ่งนี้อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกสงสัย แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เกิดขึ้น คือ หนึ่งในทางของยุคสมัย เพื่อให้บแรนด์กระแสหลักหลากหลายแห่งยังคงอยู่รอดได้ อย่างในกรณีของกลุ่ม STELLANTIS (สเตลแลนทิส) การใช้ชิ้นส่วนร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยความใส่ใจในต้นทุนอย่างยิ่งยวด ภายใต้องค์ประกอบที่เฉพาะเจาะจงสำหรับรถยนต์แต่ละรุ่น และสิ่งนี้ชัดเจนอย่างมากในเวอร์ชันขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ของเอสยูวีทั้ง 2 รุ่นนี้ ภายใต้พื้นผิวตัวถัง รถยนต์แต่ละรุ่นแบ่งปันองค์ประกอบในหลายส่วน แต่ยังคงมีจิตวิญญาณ 2 รูปแบบที่แตกต่างกันมาก
การใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ถูกเพิ่มเข้ามา ถือเป็นการยกระดับสมรรถนะให้กับเอสยูวีสัญชาติอเมริกันรุ่นนี้อย่างแท้จริง นอกจากจะช่วยเสริมความมั่นใจเมื่อต้องลุยเส้นทางสมบุกสมบันแล้ว ยังทำให้การขับขี่ในเมืองที่เต็มไปด้วยการจราจรหนาแน่นทำได้อย่างคล่องตัว และมั่นใจได้ยิ่งขึ้น
ตัวเด่นที่มีบุคลิกตรงข้าม
ทั้งรุ่น Q4 (คิว 4) และ 4XE (4 เอกซ์อี) ใหม่ เป็นการกล่าวคำอำลากับระบบเพลาขับเคลื่อนของล้อคู่หลังที่เชื่อมโยงกัน เพื่อแลกกับรูปแบบการส่งกำลังแบบอิสระที่สมบูรณ์แบบสำหรับการรองรับมอเตอร์ไฟฟ้าชุดที่ 2 นอกเหนือจากมอเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ในชุดเกียร์ของเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.2 ลิตร มีระบบเหมือนกันสำหรับรถยนต์ทั้งคู่ โดยแต่ละคันมีความแตกต่างเฉพาะตัว ระหว่างการปรับแต่งโดยรวม ยางที่ใช้ และการทำงานของระบบอีเลคทรอนิคส์ ทำให้มีบุคลิกแตกต่างออกไป ทางด้าน ALFA ROMEO เน้นไปที่การตอบสนองของการขับขี่มากกว่า ใช้ระบบอีเลคทรอนิคส์ควบคุมการส่งกำลังไปยังเพลาขับเคลื่อนล้อหลังโดยระบบไฮบริด เพื่อให้ความกระฉับกระเฉงมากขึ้นเล็กน้อยในการทำอัตราเร่ง และมีการส่งกำลังที่แม่นยำ และแน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นระบบรองรับแบบมัลทิลิงค์ ทำให้การบังคับควบคุมคล่องตัวมากขึ้นเล็กน้อย และเฉียบคมยิ่งขึ้นในการเข้าโค้ง เมื่อเทียบกับเวอร์ชันขับเคลื่อน 2 ล้อที่น่าพึงพอใจอยู่แล้ว
ทางด้าน JEEP ตอบสนองด้วยการปรับแต่งที่ออกแบบมาสำหรับการขับขี่ทุกวัน แต่ก็เหมาะสมสำหรับการรับมือในเส้นทางวิบาก ด้วยอัตราเร่งที่น่าเหลือเชื่อจากการออกตัว และความดุดันเพิ่มเติมที่ผู้โดยสารรู้สึกได้จากด้านหลัง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นมีตัวเลขอัตราเร่งที่ระบุเอาไว้ใกล้เคียงกับเวอร์ชันขับเคลื่อนล้อหน้าของแต่ละรุ่น หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม พลิกไปในหน้าถัดไปได้เลย
ALFA ROMEO (อัลฟา โรเมโอ) เน้นการพัฒนาตัวรถไปที่ความล้ำสมัย และความประณีต สำหรับเวอร์ชันขับเคลื่อน 4 ล้อของเอสยูวีรุ่นล่าสุดของค่ายรถ ให้ความเพลิดเพลินในการขับขี่ ส่วนหนึ่งเป็นผลดีจากช่วงล่างแบบมัลทิลิงค์ แม้ว่าน้ำหนักที่ค่อนข้างมากของตัวรถจะถูกรู้สึกได้เมื่อเข้าโค้ง
ALFA ROMEO JUNIOR FAST
รุ่นที่มีความสปอร์ทชัดเจนที่สุด มาพร้อมการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน พละกำลังสูงสุดถึง 280 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.9 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 200 กม./ชม.
JEEP AVENGER 4XE THE NORTH FACE
รุ่นย่อยระดับสูงสุดของ AVENGER เน้นภาพลักษณ์การใช้งานสำหรับการผจญภัยอย่างแท้จริง มีการเสริมอุปกรณ์ใช้งานสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งหลายรายการ รวมถึงเทนท์สำหรับการพักแรมในป่าเขา
ประสิทธิภาพของทั้ง 2 รุ่นเป็นอย่างไรบ้าง ?
เวอร์ชันใหม่ของเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร ถูกปรับแต่งให้เพิ่มกำลังจาก 136 แรงม้า เป็น 145 แรงม้า แม้เครื่องยนต์ด้านหลังจะไม่ได้มีส่วนเสริมแรงม้าโดยตรง แต่ก็ให้แรงบิดที่มาแบบเหลือเฟือ ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับรถยนต์ในกลุ่มนี้
การขับขี่ทั่วไปให้ความรู้สึกราบรื่น การเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างนุ่มนวล แต่เมื่อกดคันเร่งลึกขึ้น หรือเลือกโหมด DYNAMIC จังหวะการเปลี่ยนเกียร์จะหนักแน่นขึ้น และเฉียบคมกว่าเดิม แม้จะไม่ถึงขั้นรวดเร็วนักก็ตาม
ระบบเก็บเสียงทำได้ดี แม้ขณะใช้ความเร็วสูง เสียงลม และเสียงของยางยังคงอยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไป ทำให้ภาพรวมยังคงรักษามาตรฐานความสะดวกสบายเช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ได้อย่างครบถ้วน
สิ่งที่โดดเด่นคือการผสมผสานระหว่างความสบายกับความสนุกของการขับขี่ ซึ่งทำได้ดีกว่ารุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเสียอีก ถือเป็นจุดเด่นจากระบบรองรับด้านหลังแบบอิสระ ดูดซับแรงสะเทือนได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกจุดที่ ALFA ROMEO ให้ความสำคัญ คือ การปรับแต่งการตอบสนองของพวงมาลัยเฉพาะสำหรับตระกูล JUNIOR ทุกคัน ส่งผลให้พวงมาลัยตอบสนองฉับไว เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ และยังคงขับขี่ได้อย่างเพลิดเพลินบนถนนหลากหลายรูปแบบ รวมถึงโค้งความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ
ตัวเลือกขับเคลื่อน 4 ล้อ มีกำลังสูงสุดกว่ารุ่นไฮบริดกว่า 100 แรงม้า แรงดึงที่เพิ่มเข้ามาสามารถรู้สึกได้ทันที ทำให้รุ่น 4XE ดูคล่องแคล่ว และตอบสนองฉับไวกว่ารุ่นปกติอย่างเห็นได้ชัด อัตราเร่งก็ถือว่าน่าพอใจทีเดียว
เช่นเดียวกับ ALFA ROMEO จุดเด่นสำคัญ คือ ความนุ่มนวลในจังหวะการขับขี่ทั่วไป แต่เมื่อกดคันเร่งเพิ่มขึ้น จะเริ่มสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนเล็กน้อย พร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่ได้ฉับไวนัก แม้จะใช้แพดเดิลชิฟท์ก็ตาม
ด้านอากาศพลศาสตร์ ส่วนหน้าของตัวรถเมื่อเทียบกับ ALFA ROMEO ส่งผลให้การขับที่ความเร็วสูงมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามามากกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ระดับความสบายโดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
ช่วงล่างถูกปรับแต่งให้เน้นความสมดุล ไม่แข็งกระด้างจนเกินไป สามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ดีแม้เจอรอยต่อหรือหลุมบ่อขนาดใหญ่โดยไม่ถึงขั้นนุ่มนวลมากเกินไป ขณะที่ช่วงล่างด้านหลัง ความแตกต่างจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าก็สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น
แม้จะมีสายเลือดตัวลุยในตัว แต่ AVENGER 4XE ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความคล่องตัว และความสนุกในการขับขี่ไม่ด้อยไปกว่ารถยนต์หลายรุ่น พวงมาลัยที่ตอบสนองได้อย่างราบรื่น และเป็นธรรมชาติ ทำให้ควบคุมได้ง่าย ทั้งในเมือง และเส้นทางที่คดเคี้ยว
เบาะนั่ง และพื้นที่ใช้สอย
เรื่องความสะดวกในการเข้า-ออกห้องโดยสารทำได้ดี รูปทรงตัวถังที่ค่อนข้างเหลี่ยมช่วยให้ภายในดูโปร่งโล่งเมื่อเทียบกับภายนอก ขณะที่เบาะคู่หน้าที่จัดวางในตำแหน่งที่สูง ช่วยเพิ่มมุมมองการขับขี่ที่ชัดเจน และมอบความรู้สึก "การอยู่เหนือถนน" ในแบบที่ผู้ขับหลายคนชื่นชอบ
ข้อมูลทางเทคนิค และสมรรถนะ
เวอร์ชันขับเคลื่อน 4 ล้อของรุ่น JUNIOR (จูเนียร์) มาพร้อมระบบไฮบริด เปิดตัวด้วยระบบเพลาขับด้านหลังแบบใหม่ พร้อมกับช่วงล่างแบบมัลทิลิงค์ ทางเลือกดังกล่าวถูกบังคับด้วยความจริงที่ว่า รูปแบบของระบบรองรับที่ใช้แขนเชื่อมโยงกัน ไม่สามารถให้เพลากลางลอดผ่านได้ ส่วนด้านหน้าของระบบส่งกำลังยังคงเหมือนเดิม ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.2 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ซึ่งรวมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปด้วย เนื่องจากการพัฒนาระบบรับรองแบบใหม่ กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ยังคงเหมือนเดิม ทำให้มีกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 145 แรงม้า ถือว่ามากกว่าเดิม 9 แรงม้า
เช่นเดียวกับคู่พี่น้องอย่าง AVENGER 4XE มาพร้อมกับช่วงล่างด้านหลังแบบมัลทิลิงค์ใหม่ จับคู่กับระบบส่งกำลังที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ตอบสนองการขับขี่ได้ฉับไว ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ 48 โวลท์ที่เพลาหลังจะทำงานได้สูงสุดถึง 90 กม./ชม. โดยมีความกะทัดรัดเป็นพิเศษ มีระบบควบคุมการทำงานที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ และสามารถส่งกำลังได้สูงสุด 88 นิวทันเมตร เป็นผลดีจากอัตราทดเกียร์ที่ 22.7:1 ทำให้มีแรงบิดสูงสุดที่ล้อถึง 1,900 นิวทันเมตร ขณะที่เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.2 ลิตร ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นประมาณ 30 แรงม้า เมื่อเทียบกับเวอร์ชันขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า สามารถชาร์จแบทเตอรีได้โดยตรง
แผงคอนโซล และภายในห้องโดยสาร
1. ด้านข้างของคอนโซลหน้า มีจุดที่ถูกซ่อนเอาไว้โดยส่วนประตู นั่นคือ โลโกของค่าย ALFA ROMEO
2. การใช้งานระบบส่งกำลังเป็นแบบคันเกียร์ ขณะที่คู่แข่งอีกรายเป็นแบบปุ่มกด
3. ปุ่มใช้งานระบบปรับอากาศถูกติดตั้งข้างใต้จอแสดงผลหลักขนาด 10.3 นิ้ว
1. ช่องแอร์ และปุ่มใช้งานต่างถูกติดตั้งบริเวณตรงกลางของส่วนคอนโซลหน้า
2. ปุ่มใช้งานโหมดการขับขี่จะถูกติดตั้งบริเวณด้านล่างของคอนโซลหน้าในรุ่น JUNIOR
3. ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารแบบ แอลอีดี สามารถปรับแต่งได้อย่างหลากหลาย
สำหรับรถในตระกูล ALFA ROMEO ตำแหน่งเบาะนั่งถือว่าสูงกว่าที่คุ้นเคยเล็กน้อย ทำให้มีพื้นที่เหนือศีรษะที่เหลือเฟือ โดยเฉพาะในตำแหน่งเบาะคู่หน้า แต่ในแง่พื้นที่ส่วนขา ทั้งแถวหน้า และแถวหลัง ยังคงไม่ใช่จุดขายหลักของรถยนต์รุ่นนี้เท่าใดนัก
มิติตัวถัง และน้ำหนักโดยรวม รายละเอียดเพิ่มเติม
ความแตกต่างจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าสำหรับรุ่น Q4 ที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คือ การมีทางเลือกเพียงหนึ่งรุ่นย่อยเท่านั้น แต่จัดเต็มแบบครบครัน แทบไม่ต้องเพิ่มอะไรอีกแล้ว ตั้งแต่ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงระดับ 2 ไปจนถึงหน้าจอคู่ขนาด 10.3 นิ้ว
นี่คือ หนึ่งในรุ่นทอพของรเครื่องยนต์ไฮบริด ถ้าอยากได้มาครอบครองต้องเตรียมงบอย่างน้อย 37,900 ยูโร แม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่เล็กน้อย แต่เมื่อมองที่ออพชันที่ให้มา ถือว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นขับล้อหน้ามีความสมเหตุสมผล
การปรับแต่งช่วงล่างด้านหลังเพื่อรองรับระบบขับเคลื่อน ทำให้เสียพื้นที่เก็บสัมภาระไปเล็กน้อย โดย Q4 มีพื้นที่ขั้นต่ำอยู่ที่ 340 ลิตร (ขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อมีให้ถึง 415 ลิตร) แต่เมื่อพับเบาะหลังลง จะเพิ่มความจุได้ถึง 1,205 ลิตร
ตัวถังมีให้เลือก 6 สี พร้อม 5 สีแบบทูโทน ล้อแมกขนาด 18 นิ้ว 2 สไตล์ และซันรูฟแบบพาโนรามิค สำหรับแพคเกจ SPORT (ราคา 2,500 ยูโร) จะได้เบาะแบบพิเศษ CORSA SABELT หุ้มหนังอัลคานทาราสุดพรีเมียม
หากใครที่กำลังมองหาเอสยูวีขนาดกะทัดรัดที่ใส่ใจในรายละเอียด มาพร้อมเทคโนโลยีครบครัน และการปรับแต่งที่เน้นความคล่องตัว ALFA ROMEO JUNIOR Q4 คือหนึ่งในตัวเลือกที่ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง
ทางฝั่ง AVENGER 4XE เปิดตัวมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย ได้แก่ UPLAND, OVERLAND และ THE NORTH FACE ซึ่งระดับความหรูหรา และอุปกรณ์จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยทั้งหมดถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ล่าสุดนี้
ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 31,950 ยูโร สำหรับรุ่น UPLAND ขยับขึ้นไปที่ 33,950 ยูโร สำหรับรุ่น OVERLAND และรุ่นทอพสุดที่ 37,950 ยูโร ในรุ่นพิเศษซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับบแรนด์ผลิตภันฑ์กลางแจ้งชื่อดัง THE NORTH FACE
ห้องเก็บสัมภาระยังคงจัดวางเป็นทรงเหลี่ยมใช้งานง่ายคล้ายกับ JUNIOR แต่ด้วยการวางเครื่องยนต์ด้านหลัง ความจุจึงอยู่ที่ 325 ลิตร เมื่อใช้งานครบ 5 ที่นั่ง และขยายได้สูงสุด 1,218 ลิตร เมื่อต้องการพื้นที่มากขึ้น
สีตัวถังมีให้เลือกทั้งเมทัลลิค 3 สี และแบบพื้น 4 สี (ยกเว้นสีดำที่เป็นโมโนโทน) โดยทั้งหมดสามารถเลือกในแบบทูโทนได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีแพคเกจเสริมที่หลากหลาย ตั้งแต่ห้องโดยสารหุ้มหนัง ซันรูฟ ไปจนถึงออพชันด้านเทคโนโลยีที่ครบถ้วน
ด้วยบุคลิกที่มีสายเลือดตัวลุย AVENGER 4XE จึงเหมาะสำหรับคนที่อยากออกไปผจญภัยนอกเส้นทางหลัก แม้ไม่ใช่การลุยแบบโหดกินเต็มพิกัด แต่ก็รองรับเส้นทางท้าทายเบาๆ ได้สบาย เหมาะกับการพาไปลุยในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากใช้ชีวิตกับการจราจรในเมืองมาตลอดทั้งสัปดาห์
รายละเอียดเพิ่มเติม
รูปทรงของไฟหน้า และรายละเอียดในหลายส่วน ชวนให้นึกถึงสไตล์การออกแบบในอดีต เสาซีมีการตกแต่งแบบ 3 มิติ พร้อมโลโกของค่ายรถ ในขณะที่กระจังหน้ามีให้เลือก 2 เวอร์ชัน ได้แก่ LEGGENDA (ตามภาพ) หรือแบบ PROGRESSO ที่มีโลโกของค่าย ALFA ROMEO อยู่ตรงกลาง
รายละเอียดแบบสะท้อนแสง และการผสมวัสดุแผ่นไวนิลบนฝากระโปรงเพื่อหลีกเลี่ยงการสะท้อน JEEP AVENGER 4XE มีรูปทรงของกันชนเฉพาะตัว (พร้อมการป้องกัน มีมุมปะทะ และมุมจากที่ได้รับการปรับปรุง) และห่วงลากแบบยึดติดคงที่ ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการขับขี่บนทางสมบุกสมบันที่โหดหิน
