โลกรถยนต์หมุนเร็วจนตามแทบไม่ทันแล้วครับ เมื่อไม่กี่ปีก่อนเรายังกังวลกันว่า รถไฮบริดจะสามารถพัฒนาจนเป็นที่นิยมได้หรือไม่ ส่วนรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ เพิ่งจะเริ่มคลานเตาะแตะ แต่ถึงวันนี้ รถไฮบริดวิ่งกันเกลื่อนเมือง ขณะที่เทคโนโลยีรถพลังไฟฟ้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนถึงขนาดยักษ์ใหญ่แดนปลาดิบอย่าง โตโยตา และ ฮอนดา เตรียมผลิตรถที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าออกขายกันแล้วที่น่าตื่นใจกว่านั้น จากที่เคยคิดว่ารถไฟฟ้าไฮโดรเจนจะเป็นสุดยอดเทคโนโลยี ตอนนี้ กลับมีรถยนต์ที่ล้ำยุคยิ่งกว่าออกมาวิ่งบนท้องถนนแล้ว นั่นคือยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งผู้ผลิตหลายรายกำลังพยายามพัฒนาแข่งกัน ทั้ง นิสสัน โวลโว เมร์เซเดส-เบนซ์ และ เอาดี โดยเฉพาะรายหลัง ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จมากกว่าเพื่อน สามารถนำรถไร้คนขับรุ่น อาร์เอส 7 ลงวิ่งรอบสนามแข่งกรองด์ปรีซ์ HOCKENHEIM RACING CIRCUIT ด้วยความเร็วสูงถึง 240 กม./ชม. ใช้เวลาต่อรอบเพียง 2 นาที เร็วกว่ารถที่ขับโดยนักแข่งมืออาชีพร่วม 5 วินาที จนได้รับการยกย่องเป็นรถไร้คนขับที่เร็วที่สุดในโลก และเนื่องจากเทคโนโลยีสำคัญของยานยนต์ไร้คนขับเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ และการเชื่อมต่อสื่อสาร เป็นส่วนใหญ่ ทำให้บรรดาบริษัทเจ้าพ่อไอทีให้ความสนใจอยากเป็นผู้ผลิตรถไร้คนขับกับเขาด้วยถึง 3 ราย เริ่มจาก กูเกิล ที่เผยโฉมรถไร้คนขับของตัวเอง พร้อมทดลองวิ่งเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ตามด้วยคู่แข่งในโลกไอทีอย่าง แอพเพิล ที่กำลังซุ่มทำโครงการ TITAN ซึ่งดูเหมือนจะรู้กันทั่วไปว่า มันคือ โครงการผลิตรถไร้คนขับนั่นเอง ส่วนรายล่าสุดที่เพิ่งโดดเข้ามา ได้แก่ โซนี โดยจะไปร่วมพัฒนายานยนต์อัตโนมัติกับบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ เพราะต้องการครองตำแหน่งผู้นำในตลาดเซนเซอร์รับภาพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับรถไร้คนขับที่จะต้องติดตั้งไว้ไม่น้อยกว่าคันละ 10 ตัว เป้าหมายสูงสุดของผู้ผลิตยานยนต์ไร้คนขับ คือ การทำให้รถของตนสามารถวิ่งบนท้องถนนร่วมกับรถยนต์ทั่วไปได้อย่างปลอดภัย หลายประเทศพัฒนาแล้วจึงเริ่มอนุญาตให้รถประเภทนี้ได้ทดลองวิ่งบนถนนจริง เช่น ใน อังกฤษ และ เยอรมนี ซึ่งเอาไปทดลองวิ่งบนเอาโทบาห์นกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ยานยนต์ไร้คนขับคงต้องผ่านการทดสอบและทดลองวิ่งอีกไม่น้อย เพื่อให้แน่ใจเรื่องความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังต้องรอให้แต่ละประเทศแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องรองรับการใช้งานรถขับเองเสียก่อน ฉะนั้น สำหรับบ้านเราก็ลืมไปได้เลย แต่หากมีโอกาส ผมก็ไม่ขัดข้องหรอกที่จะใช้ถนนร่วมกับยานยนต์ไร้คนขับ ส่วนถ้าจะให้โดยสารรถพวกนี้ ขอเวลาทำใจสักพักนะครับ ซึ่งก็คงคล้ายๆ กับคนยุครถม้าที่ต้องปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุค รถไร้ม้า นั่นแหละครับ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผมสงสัยจริงๆ ว่า คนยุคนั้นเขาเสียดาย จิตวิญญาณแห่งการควบคุมบังคับม้า เหมือนกับที่ผมจะเสียดาย จิตวิญญาณแห่งการควบคุมบังคับรถ เมื่อยุคยานยนต์ไร้คนขับมาถึงหรือไม่ ?!?
บทความแนะนำ