ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างใด สำหรับยอดการขายเดือนตุลาคม ที่ลดลง 10.5 % ขายกันได้เพียง 59,359 คัน แต่ยอดรวมลดลงไปเพียง 0.7 % ขายได้ 599,883 คัน แม้ว่าตลาดรถยนต์จะได้รับผลกระทบสืบเนื่องมาจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความเข้มงวดของสถาบันทางการเงิน รวมถึงการระมัดระวังด้านการลงทุนของภาคธุรกิจ ทำให้ผู้บริโภคยังไม่ค่อยกล้าตัดสินใจใช้เงินเท่าที่ควร ส่วนตัวเลขที่อาจเห็นว่าลดลงไปนั้น เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว เมื่อปีที่ผ่านมา ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี ยอดการขายค่อนข้างจะสูงผิดปกติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประกาศของภาครัฐ ที่กำหนดเก็บภาษีรถตามอัตราการปล่อยค่าไอเสีย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีนี้ ทำให้ยอดการขายพุ่งสูงผิดปกติ เพราะผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้อ เนื่องจากเกรงว่าราคารถใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น ก็เลยกระทบมาถึงตัวเลขของปีนี้ แค่นั้นเอง เพราะเมื่อมองภาพโดยรวม ยอดการขายประจำปี น่าจะไม่กระเทือนมากเท่าใดนัก เพราะเดี๋ยวก็มีงาน มหกรรมยานยนต์ ที่จะมาช่วยให้ตัวเลขเดือนสุดท้ายของปีพุ่งสูงขึ้น แม้แต่สภาอุตสาหกรรมฯ ยังบอกว่า ไม่น่าเป็นห่วงจ้า มาคุยกันเรื่องทั่วไประดับความรู้ดีกว่า ว่ากันด้วยเรื่องแรก เป็นเรื่องของค่าครองชีพที่มีแววว่าจะพุ่งสูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างมีมติเห็นชอบการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แต่หนนี้ขึ้นแบบอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยบอร์ดค่าจ้าง ได้ใช้สูตรในการคำนวณใหม่ ซึ่งได้เพิ่มเติมปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบด้านมากขึ้น อาทิ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในปัจจุบัน ดัชนีค่าครองชีพ อัตราค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อในช่วงปี 2558-2559 มาตรฐานค่าเฉลี่ยการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน จีดีพีในช่วงปี 2553-2557 และสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงมีการศึกษาเปรียบเทียบค่าจ้างกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เสนอให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจาก 300 บาท/วัน มาเป็น 360 บาท/วัน หรือเพิ่มขึ้น 20 % ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม และใช้อัตราเดียวกันทั่วประเทศ แต่ท้ายสุดก็สรุปได้ว่า การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามข้อเสนอของคณะกรรมการค่าจ้าง จะส่งผลให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยของประเทศปี 2560 เพิ่มขึ้น 1.8 % จากปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นจาก 300 บาท/วัน มาเป็น 305.44 บาท/วัน ผลสรุปท้ายสุด ยังคงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ 300 บาท/วัน ใน 8 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง ระนอง นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ปรับขึ้นอัตราค่าจ้างเป็น 308 บาท/วัน เพิ่ม 2.67 % ใน 13 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ สระบุรี ฉะเชิงเทรา กระบี่ พังงา และพระนครศรีอยุธยา และปรับขึ้นเป็น 310 บาท/วัน เพิ่ม 3.33 % ใน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และภูเก็ต การปรับค่าจ้างหนนี้ น่าจะเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยได้ส่วนหนึ่ง หลังจากไม่ได้ปรับมาเป็นเวลา 3 ปี ในขณะที่ค่าครองชีพที่วัดจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของผู้มีรายได้น้อย เดือนกันยายน 2559 เพิ่มขึ้น 1.5 % จากเดือนธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นปีที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน เท่ากันทั่วประเทศ โดยการปรับค่าจ้างหนนี้ จะส่งผลให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นบ้างที่เฉลี่ย 0.7 % อย่างไรก็ตาม ต้องดูการพึ่งพิงแรงงานขั้นต่ำในสถานประกอบการ ว่ามีมากน้อยเพียงใด การแก้ไขประเด็นเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำอย่างยั่งยืน ทางฝั่งแรงงานควรมีการปรับตัว โดยการยกระดับทักษะ พัฒนาฝีมือและคุณภาพแรงงาน เพื่อก้าวข้ามการพึ่งพิงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ควรยกระดับห่วงโซ่การผลิต ไปผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเพื่อให้สอดรับกับทางฝั่งแรงงาน และอีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะทำให้ค่าครองชีพ น่าจะเป็นไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้น ก็เนื่องมาจากการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการในปี 2558 แล้วเสร็จไปแล้ว แต่ผลน่าจะเริ่มแสดงออกในปี 2559 นี้ อันที่จริงก็เริ่มกระทบกันไปบ้างแล้ว คิดง่ายๆ ว่า ปัจจุบันข้าวแกงริมถนนที่ราคาจานละ 30 บาท เดี๋ยวนี้เริ่มหารับประทานได้ยากขึ้น ส่วนใหญ่ขึ้นราคาไปยืนคอยอยู่ที่ 35 บาท เป็นค่าเริ่มต้นกันทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงค่าก๋วยเตี๋ยว ที่ก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยสมัยนี้ ขึ้นราคาไปคอยกันเรียบร้อย อันทำให้กระทบกระเทือนกับค่าครองชีพของกระผมเข้าให้แล้ว ยังเจ็บใจค่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยไม่หาย อยู่ดีๆ ราคาขึ้นไปชามละ 60 บาทเรียบร้อยแล้ว แงๆ จะไปฟ้องใครได้ไหมเนี่ย