บทสรุปยอดการขายรถยนต์ สำหรับปี 2559 ทำได้แค่ 747,558 คัน น้อยกว่าปี 2558 อยู่ 3.7 % โดยขอบันทึกเอาไว้เป็นเกียรติประวัติ อันดับ 1 โตโยตา ขายได้ 245,087 คัน ลดลง 7.9 % อันดับ 2 อีซูซุ ขายได้ 143,170 คัน ลดนิดเดียว 0.8 % อันดับ 3 ฮอนดา ขายได้ 107,342 คัน ลดมากกว่าตลาด 4.3 % อันดับ 4 มิตซูบิชิ ขายได้ 55,409 คัน ลดเยอะ 7.4 % และอันดับ 5 นิสสัน ขายได้ 42,677 คัน ลดเยอะอีกเจ้า 16.6 % โดยมี มาซดา ขึ้นมาจ่อรดต้นคอ ขาย 42,537 โตกว่าตลาด 7.8 %ด้านรถจักรยานยนต์ ปี 2559 ผลิตได้ 2,446,249 คัน เพิ่มขึ้น 2.04 % มียอดขาย 768,788 คัน ลดลง 3.9 % และเป้าหมายสำหรับปี 2560 ผลิตจำนวน 2,100,000 คัน เพิ่มขึ้น 15.36 % แยกเป็นผลิตเพื่อการส่งออก ประมาณ 300,000 คัน เพิ่มขึ้น 0.33 % และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,800,000 คัน เพิ่มขึ้น 18.32 % ส่วนในปีนี้ 2560 สภาอุตสาหกรรมฯ ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์เอาไว้ 2 ล้านคัน เพิ่มจากปีก่อนเพียง 2.86 % ส่งออกราว 1,200,000 คัน และอีก 800,000 คัน ขายในประเทศ ที่ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก ว่าจะขายได้ถึงฝั่งฝันกันหรือเปล่า เพราะสภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ค่อยแน่นอน แถมด้วยพี่เบิ้ม สหรัฐอเมริกา จะแผลงฤทธิ์ได้มากขนาดไหน ก็ต้องคอยดูกันต่อไป เพราะเพียงเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ก็เซ็นคำสั่งให้วุ่นวายไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องว่าใครจะเป็นคนที่ขายรถยนต์นั่งได้มากที่สุด ก็เห็นรีบออกข่าวกันทันทีทันควัน ค่ายหนึ่งก็บอกว่ารถยนต์ของตัวเอง ขายรถยนต์นั่งได้มากที่สุด ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ก็ออกมาท้วงเบาๆ ว่า ไม่นับรวมประเภท เอมพีวี แล้ว ของเขาขายได้มากที่สุด ก็ว่ากันไป คิดตัวเลขกันคนละอย่าง คนละวิธีการ แล้วออกมาบอกว่าตัวเองขายดีที่สุด ผู้บริโภคเป็นคนตัดสินเองแหละ ว่าใครขายดีกว่ากัน ขอเพียงผลิตรถออกมาให้ดี ใช้แล้วไม่มีปัญหาจุกจิก เหมือนกับบางยี่ห้อ ที่ตอนนี้ต้องไปร้องเรียนกันถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว เพราะมีผู้เดือดร้อน รวมตัวเลขแล้วกว่า 700 ราย จะซื้อหารถเอาไว้ใช้งาน ยังไงก็ต้องศึกษาหาความรู้กันบ้าง เพียงแค่เลือกรถเองตามความชอบส่วนบุคคลนั่นยังไม่พอ ต้องศึกษาหาความรู้จากบรรดาคลับของค่ายรถยนต์ต่างๆ หรือจะถามจากอากู๋ดูก็ได้ เพียงแค่พิมพ์รุ่นรถที่อยากจะซื้อ แล้วไปส่องเอาแถวชมรมของรถรุ่นนั้นๆ ก็น่าจะช่วยในการตัดสินใจได้บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่หาข้อมูลอะไรเลยนะ นั่นเป็นเรื่องไกลตัว มาดูเรื่องใกล้ตัวกันบ้าง เริ่มด้วย ครม. เห็นชอบ เพิ่มน้ำหนักรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จาก 1,600 กก. เป็น 2,200 กก. ว่าไม่ต้องเดินรถช่องซ้ายสุดแล้ว ต่อด้วยผู้โดยสารที่นั่งในรถ ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกคน เรื่องต่อมาก็สำหรับผู้ที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่ง เจ้าพนักงานมีสิทธิ์ออกหนังสือแจ้งเตือน และถ้าเตือนแล้วยังไม่มาจ่ายอีก ก็สามารถแจ้งนายทะเบียน ไม่รับชำระภาษีประจำปีได้ แถมด้วยมีอำนาจสั่งยึด หรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของบุคคลนั้นด้วย เริ่ม ข้อแรกก็ไม่เห็นมีใครสนใจกันแล้ว เดี๋ยวนี้แม้แต่รถเมล์ก็ยังวิ่งช่องขวากันสบายใจ หรือมอเตอร์ไซค์เข้ามาวิ่งในทางด่วน ก็ไม่เห็นมีใครจะลงมือทำอะไรให้จริงจังเสียที จะร้องเรียนหรือ ท่านก็บอกว่า ชั่วโมงเร่งด่วนน่ะ พนักงานจราจรทำหน้าที่กันเต็มความสามารถทุกคนอยู่แล้ว ในเมื่อปริมาณรถมันมาก ก็ต้องมีการรอดหูรอดตากันบ้าง หรือเรื่องมอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะพวกสวมเสื้อวินทั้งหลาย ไม่เคารพกฎจราจร ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงกันเป็นว่าเล่น ลักไก่กันด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ตัวเองไปได้เร็วที่สุด โดยไม่คำนึงว่าอาจเกิดอันตรายได้โดยง่าย คนที่ขับรถก็ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อจะวิ่งผ่านสัญญาณไฟเขียว เพราะไม่รู้ว่าจะมีมอเตอร์ไซค์มาตัดหน้าเอาง่ายๆ หรือเปล่า ส่วนเรื่องผู้โดยสารที่นั่งในรถ ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกคน ก็ไม่เห็นจะมีใครสนใจปฏิบัติตาม เอาแค่รถตู้วิน ถ้าตั้งด่านจับกันเมื่อไร ก็จับได้ทุกคันนั่นแหละ บางคันยังหาเข็มขัดนิรภัยไม่เจอเลยว่าอยู่ตรงไหน น่าจะมีการประชาสัมพันธ์ แจ้งให้ประชาชนได้รับรู้กันบ้าง ว่ามีกฎหมาย มีข้อบังคับใหม่ออกมาแล้วนะ ให้ช่วยกรุณาปฏิบัติตามด้วย ก็รู้ว่าน่าจะได้แค่บ่นไปเท่านั้น เพราะสภาพการจราจรบ้านเรามันเป็นลักษณะนี้มานานนับปี ไม่เห็นมีใครลุกขึ้นมาแก้ไขอะไรเลยสักอย่าง แค่คอยต้อนจับเด็กแว้นก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ข้อนี้แจ้งมาเพื่อทราบ สำหรับท่านที่ประสบความเสียหายจากอุทกภัยภาคใต้ ในช่วงที่ผ่านมา ครม. ท่านอนุมัติให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถยนต์ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ หรือกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก หรืออุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่ได้จ่ายระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 30,000 บาท ก็ต้องขอบคุณคณะรัฐมนตรี ที่เล็งเห็นความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยในห้วงที่ผ่านมา คนไทยด้วยกัน ยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันไว้ก่อน จริงไหมครับ