ประสาใจ
เล่นกับความตาย
สาวขาวผ่องและกลมกลึงเบื้องหน้าข้าพเจ้า คือ ช่อประยงค์ ท่านั่งไขว่ห้างโชว์ขาอวบหนาเปลือย ปลุกจิตสำนึกให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากเป็นสามีสักครู่ท่านผู้อ่านอย่าโกรธข้าพเจ้า ที่ควรขึ้งต้องเป็น "อารมณ์อัปรีย์" ของข้าพเจ้ามันแสนระยำ ช่อประยงค์ สาวใหญ่มิใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย หล่อนเป็นเมียคนอื่น...เฮ้ย...ไม่ใช่ คุณช่อประยงค์ เป็นภรรยาของนิรันดร์-เพื่อนข้าพเจ้าเอง SO BE IT ! แต่อารมณ์ของข้าพเจ้ายังเสือกทะเล้นคิดบ้าๆ "คุณควรเริ่มต้นงานอาชีพที่เป็นหลักแหล่งเสียทีนะ" นิรันดร์ ซึ่งนั่งติดกับเมีย แต่ดวงตาข้าพเจ้าไม่สนใจจะมอง ได้เอ่ยความนี้ขึ้นเหมือนเป็นการพักสายตาที่แอบซุกไซ้ขาเปลือยของเมีย "วันนี้ผมยังขาดตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเทคนิคที่โรงงาน ถ้าคุณไม่ถือว่า รับงานนี้จะต้องมาอยู่ใต้บังคับบัญชาผมละก็ พรุ่งนี้เย็นเชิญทานอาหารที่บ้านชานกรุง" บ้านชานกรุง ? ผมรู้จักดีเพราะเคยไป แต่ "ใต้บังคับบัญชา" หมายถึง เป็นลูกน้องเพื่อน สายตาผมซุกซนอีกครั้งก่อนคิด ช่างหัวมัน ขออย่างเดียว ขอให้ดวงตาผมอิ่มทุกมื้อละกัน ระยำไหม อารมณ์ข้าพเจ้า ? มันควรถูกกระทืบด้วยตีนม้าเทศนอกหรือยัง ? "ดิฉันอดแปลกใจไม่ได้ คนหนุ่มมีการศึกษา มีพลังทำงานเช่นคุณ ยังเป็นคนหนึ่งในจำนวนคนว่างงานทั้งหมด" ช่อประยงค์ พูดเรียบๆ แต่อารมณ์อัปรีย์ข้าพเจ้าบอกเป็นเสียงกระเส่าชวนกระสัน ข้าพเจ้าฉวยโอกาสยิ้มหวานให้หล่อน "มีพลังทำงาน" ข้าพเจ้าเป็นปลื้มกับคำนี้ ข้าพเจ้ามีพลัง ทรงพลังในงานทุกประเภท ทั้งรับจ้างหรือด้วยความยินดี FROM ME, WITH LOVE โธ่ เว้ย เฮ้ย...ไอ้อารมณ์ริยำ... "ว่าไง เพื่อน ?" นิรันดร์ปลุกจิตในภวังค์ของข้าพเจ้า "โอเคนะ ?" "ก่อนอื่น ผมต้องขอบคุณเพื่อน" และเบนสายตามาทาง ช่อประยงค์ "ขอบคุณ คุณช่อประยงค์ ด้วย เจตนาของคุณสองคนทำให้ผมรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองไม่เคยเปลี่ยน" ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะต้องมองต้นขาอวบหนาและเปลือย "สิบกว่าปีแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน แต่มันแทบไม่มีความหมายอะไรเลยกับความสัมพันธ์ระหว่างเรา" ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกถึงวันนี้ ว่าทำไมพูดได้เนื้อหาดีขนาดนั้น ช่อประยงค์ ยิ้มระรื่น ภวังคจิตบอกข้าพเจ้าว่า เธอเป็นสาวใหญ่โคตรเจ้าชู้ระดับเซียน "แปลว่า โอเค" นิรันดร์ หัวร่ออย่างมีความสุข "ดิฉันก็ให้เข้าใจเช่นนั้นค่ะ" ช่อประยงค์ เร้าอารมณ์ข้าพเจ้าไม่เลิก "พรุ่งนี้เย็น ผมจะขอไปพบคุณที่บ้านชานกรุง" ข้าพเจ้าเชื่อว่า เพื่อนมีความสุขในคำตอบของข้าพเจ้า เราเป็นเพื่อนกันขณะเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย เคยเที่ยวเตร่ด้วยกัน ทั้งกินเหล้าเมายา และเที่ยวกรุงเทพฯ ยามราตรี เราเห็นไส้พุงกันและกันเป็นอย่างดี นิรันดร์ไวไฟ (ไม่เกี่ยวกับมือถือ) เช่นเดียวกับข้าพเจ้า หลายครั้งเราเคยแข่งเกมพิศวาสผลัดกันแพ้ชนะ นิรันดร์ ชอบพูดถึงผู้หญิงในความคิดคำนึงของเราสองคนขึ้นมาเป็นข้อถกเถียง ทุกครั้งที่เขามานอนร่วมห้องพักของข้าพเจ้า แถวถนนสุขุมวิท บนเตียงนอน เราสนุกกันเองอย่างถึงสวรรค์ ใต้ที่นอนข้าพเจ้ามีหนังสือหยาบโลนหลายเล่ม ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ชั่วระยะห่างกันสิบกว่าปี นิรันดร์จะกลายเป็น เวนิสวาณิช ธุรกิจของเขาวันนี้ระดับมหาเศรษฐี และข้าพเจ้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่า นิรันดร์ จะโชคดีได้ผู้หญิงที่สวย และมีความเป็นผู้หญิงตลอดทั้งลำตัวเช่น ช่อประยงค์ เป็นภรรยา งานแต่งงานของเขา ข้าพเจ้าติดธุระสำคัญต่างจังหวัด จึงไม่ทราบที่มาของงานแต่งครั้งนั้น นิรันดร์ เปลี่ยนไปไม่มาก เห็นชัดเจนว่าเขาครุ่นคิดกับความมั่นคงแห่งบริษัทนานาชาติของเขามากกว่าอิสตรี แต่ถึงอย่างไร นิรันดร์ ก็ยังมีเสน่ห์ครบเหมือนเดิม ผู้ชายอย่าง นิรันดร์ ไม่แปลกใจข้าพเจ้าเหมือน ช่อประยงค์ ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีหรือ ? จึงสามารถผูกหัวใจ นิรันดร์ เป็นเรื่องราวที่ตีแสกหน้าข้าพเจ้า คิดไม่ทะลุว่า พเลย์บอยอย่างเพื่อนข้าพเจ้าคนนี้ จะยอมแต่งงานกับ ช่อประยงค์ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ช่อประยงค์ ไม่ใช่สาวไฮโซ ไม่ใช่เซเลบริที หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเป็นผู้หญิง มีรูปสมบัติ โดยมีเนื้อขาวๆ อวบหนา เป็นทรัพยากร แต่ก็เอาเถิด ถึงอย่างไรฟ้าย่อมมีตา นับตั้งแต่เขาทั้งสองคนอยู่กินด้วยกัน นิรันดร์ หยิบอะไรเป็นเงินเป็นทองไปทั้งหมด ปัจจุบันชื่อของเขาติดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสาร FORBES แม้จะหลักร้อยแต่ก็เป็นชื่อของเขา นิรันดร์ ยังไม่เลิกงานเลี้ยงระหว่างเพื่อน เขาเคยปิดบาร์เลี้ยงเพื่อน เพื่อยืนยันกับเพื่อนว่า เขายังเป็นผู้ชายที่ขาดผู้หญิงไม่ได้เช่นกัน นี่คือ นิรันดร์ ที่ข้าพเจ้าอิจฉาความเป็นคู่ครอง ช่อประยงค์ เย็นวันนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมอาหารเย็นที่บ้านชานกรุงของเพื่อน ข้าพเจ้าสังเกตคนรับใช้ของ นิรันดร์ เป็นสาวน้อยสาวใหญ่หลายคน แต่ละคนมีความอิ่มอวบเป็นรองภรรยา โดยเฉพาะคนที่มาเสิร์ฟกาแฟหลังอาหารจานสุดท้าย "นิ่ม" เป็นชื่อเธอ ซึ่งข้าพเจ้าจำได้จากการเรียกชื่อของเจ้านายทั้งสอง เธอเป็นสาวรุ่นกว่าช่อประยงค์ และข้าพเจ้าก็สังเกตว่า ดวงตาเธอมักวนเวียนกับนายผู้ชายบ่อยครั้ง ก็น่าเห็นใจ นิ่ม อาจหวังความก้าวหน้าในอาชีพ ขณะนั้นค่ำแล้ว ไฟฟ้าหลายดวงเริ่มทำงาน บ้านชานกรุงของ นิรันดร์ มีสระน้ำ มีลานพฤกษชาติ ข้าพเจ้าสูบยาเส้นจากบริการของเพื่อนมวนหนึ่ง ปล่อยอารมณ์เตลิด แล้วก็วาบหัวใจลึกเมื่อ ช่อประยงค์ ชวนไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ซึ่ง นิรันดร์ คะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้ารับคำเชิญ เราอยู่ในสวนนานพอควรจนมาถึงเก้าอี้ยาวที่บริเวณพุ่มอซาเลีย ช่อประยงค์ ใช้มือจับข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าขาดสติ สุดกลั้นอารมณ์ได้ โน้มหล่อนชิดและจูบปากหล่อนเต็มๆ ช่อประยงค์ หลับตาพริ้มหมดเรี่ยวแรงขัดขืน ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกรอบแกรบ เราสองคนสะดุ้งเมื่อเหลือบเห็น นิรันดร์ เดินอยู่ข้างหน้า มุ่งไปที่บ้าน เราเห็นแต่ด้านหลังของเขา ขณะที่หัวใจเราสองคนสั่นระทึก นิรันดร์ จะเห็นเราสองคนหรือไม่ก็ไม่ทราบ ช่อประยงค์ รีบกลับเรือน ข้าพเจ้าก็รีบกลับเรือน เราทั้งสามเผชิญหน้ากับความเงียบ นิรันดร์ วางหน้าบอกไม่ถูก ช่อประยงค์ ก็วางหน้าไม่เป็น ส่วนข้าพเจ้าวางหน้าไม่ปกติ "ผมเห็นทีต้องลากลับ" ข้าพเจ้ากล่าว "ผมจะเดินไปส่งคุณ" นิรันดร์ เสียงเข้ม เขาดึงลิ้นชักตู้เล็กหน้าประตูบ้าน หยิบปืนพกขัดเอว ข้าพเจ้าแทบหยุดหายใจ ช่อประยงค์ ก็มีสีหน้าซีดเผือด ระหว่างเดินออกมาในความมืด นิรันดร์ ก็ถามข้าพเจ้า "ถามจริงๆ นะเพื่อน ตอนนั้นเมียผมเขาเห็นผมอยู่ในพุ่มไม้กับนิ่มหรือเปล่า ?" "เปล่า ไม่เห็น ไม่เห็นจริงๆ" "โล่งอกไปที" นิรันดร์ ยิ้มและหัวเราะกับข้าพเจ้า "ไม่เช่นนั้น ผมระเบิดสมองผมแน่ๆ เลย"
ABOUT THE AUTHOR
ข
ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2560
คอลัมน์ Online : ประสาใจ