มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ดีทรอย 2018
บินข้ามโลกยาวไกลหลายพันหลายหมื่นกิโลเมตร เพื่อสัมผัสงานรถยนต์รายการแรกของปีหมาน่อยข่าวคราวเกี่ยวกับสภาพอากาศอันเลวร้ายแถบชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปีไก่ ทำให้คณะของเราคาดการณ์กันว่า การเดินทางไปเยือนประเทศกล้ามใหญ่นี้อีกครั้งหนึ่งตอนกลางเดือน มกราคมของปีน้องหมาไม่กล้าเห่า ท่าทางจะอาการหนักแน่ ! แล้วก็เป็นจริงดังคาดทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เป็นเลย คณะเราต้องเผชิญความหนาวเหน็บ ขนาดเขียนอุณหภูมิซึ่งมีหน่วยเป็นเซลเซียสก็ต้องใช้ตัวเลขถึง 2 ตัว โดยมีเครื่องหมายลบนำหน้า เป็นความเย็นจนปวดจิตปวดใจ ซึ่งบางวันมาพร้อมกันกับหิมะที่ตกโปรยปรายจนมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาว และบางวันก็มาพร้อมกับสายฝนที่ร่วงหล่นจากรูฟ้าอย่างน่ารำคาญ เพราะเป็นฝนที่ตกไม่หนัก แต่ตกอย่างไม่รู้จักหยุดรู้จักพักทั้งวี่ทั้งวัน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่การทำงานของเราส่วนใหญ่เป็นการทำงานภายในตัวอาคาร ไม่ใช่งานกลางแจ้ง สภาพอากาศดังที่กล่าวข้างต้นจึงไม่ได้สร้างความลำบากแก่คณะเราสักเท่าไร เช่นเดียวกับเมื่อปีก่อน การเดินทางไปเยือนประเทศอันยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีอันใหญ่ยิ่งครั้งนี้ มีงาน NAIAS (NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW) หรือ "มหกรรมยานยนต์นานาชาติแห่งทวีปอเมริกาเหนือ" ซึ่งจัดกันที่เมืองดีทรอยท์ ในรัฐมิชิแกนเป็นเป้าหมายหลัก และมีงาน CES (CONSUMER ELECTRONIC SHOW) หรือ "มหกรรมอีเลคทรอนิคสำหรับผู้บริโภค" ซึ่งจัดที่เมืองลาสเวกัส ในรัฐเนวาดา เป็นเป้ารอง เป็นการเดินทางอันยืดเยื้อยาวนานน่าเบื่อหน่ายและจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องบินหลายครั้งหลายหน กล่าวโดยสรุปการเดินทางทริพนี้ คณะของเราใช้บริการของสายการบินญี่ปุ่น 4 เที่ยวบิน ใช้บริการของสายการบินอเมริกัน 5 เที่ยวบิน ต้องเดินขึ้นและเดินลงจากนกเหล็กของ 2 สายการบินนี้ รวมแล้วมากมายถึง 18 ครั้ง มองในแง่ดี ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องดีที่ยังมีมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในปีคอศอนี้ แต่เมื่อมองในแง่ร้ายก็ต้องมองว่ามหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ เป็นประจักษ์พยานสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในความโรยราของกิจกรรมซึ่งเคยเชื่อกันว่า เป็นกิจกรรมเชิดหน้าชูหน้าและและน่าจะส่งผลในทางบวกต่อยอดขายของอุตสาหกรรมรถยนต์โลก ในทางกายภาพ สถานที่จัดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า COBO CENTER แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นสาระสำคัญ ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และเป็นนัยสำคัญก็คือ การใช้งานไม่เต็มพื้นที่เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์หลายรายหายหน้าหายตากันไปหมด ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะงานนี้ขาดไม่ได้อยู่แล้ว ที่หายไปมาก คือ ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปซึ่งปีนี้มีอยู่ไม่ถึง 10 ยี่ห้อ กับผู้ผลิตรถยนต์เมืองยุ่นซึ่งปีนี้ก็ไม่มีแม้กระทั่งขาประจำอย่าง มาซดา (MAZDA) ที่ทำให้พออุ่นใจอยู่บ้างก็คือ มีผู้ผลิตรถยนต์จากสาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ 1 ราย คือ GAC MOTOR (GUANGZHOU AUTOMOBILE GROUP MOTOR COMPANY LIMITED) ซึ่งร่วมงานมหกรรมรถยนต์รายการนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
- ฮอนดา แอคคอร์ด คว้ารางวัล CAR OF THE YEAR
- โวลโว เอกซ์ซี 60 คว้ารางวัล UTILITY VEHICLE OF THE YEAR
- ลินคอล์น เนวิเกเตอร์ คว้ารางวัล TRUCK OF THE YEAR
JEEP WRANGLER
ในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเมืองมะกันซึ่งมีอยู่ไม่กี่ราย ค่ายที่ดูคึกคักที่สุดในงานนี้ คือ จีพ (JEEP) ผู้ผลิตรถ เอสยูวี รายใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งคนรักรถในบ้านเราคงรู้จักกันดี แม้ว่าปัจจุบันมีรถยี่ห้อนี้อยู่เพียงไม่กี่คันที่ยังวิ่งอยู่ตามท้องถนนในประเทศไทย ผลงานแรกของค่ายนี้ที่ตัดสินใจเลือกมาให้ชื่นชมกัน คือ รถ เอสยูวี สายเลือดอเมริกันพันธุ์แท้ติดป้ายชื่อ จีพ แรงเลอร์ (JEEP WRANGLER) ซึ่งเพิ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนของปีไก่แจ้แย่ทั้งเล้า และฉายซ้ำเป็นรอบที่ 2 ในงานนี้ นับเป็นรถรุ่นที่ 4 มีกำหนดออกตลาดในฐานะรถรุ่นปี 2018 แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งอยู่ในสายการผลิตมายาวนานตั้งแต่ปี 2006 โดยมีตัวถังให้เลือก 2 แบบเหมือนรถรุ่นก่อน เป็นตัวถังที่กว้างและสูงเท่ากัน แต่สั้นและยาวกว่ากันถึง 54.8 ซม. คือ ตัวถัง 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ซึ่งมีขนาด 4.237x1.875x1.868 ม. และแบ่งการตกแต่ง/ติดอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส SPORT-SPORT S-RUBICON กับตัวถัง 4 ประตู 2+3 ที่นั่ง ซึ่งมีขนาด 4.785x1.875x1.868 ซม. และแบ่งการตกแต่ง/ติดอุปกรณ์เป็น 4 ระดับ กำกับด้วยรหัส SPORT-SPORT S-SAHARA-RUBICON ทั้ง 2 แบบนี้เป็นตัวถังซึ่งทำจากเหล็กกล้าและอลูมิเนียม มีโครงสร้างแบบบันไดลิงอย่างที่เรียกกันในภาษาฝรั่งว่า LADDER-TYPE FRAME มีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่ต้องมองกันนานจึงจะเห็นว่าแตกต่างจากตัวถังของรถรุ่นเดิมตรงไหนบ้าง ? เป็นรถ เอสยูวี พันธุ์แท้ที่มีระบบขับแบบเดียว คือ ขับทุกล้อ แต่มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 200 กิโลวัตต์/270 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3,604 ซีซี 209 กิโลวัตต์/285 แรงม้า ซึ่งติดตั้งระบบ ESS (ENGINE STOP-START) ที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงไว้ด้วย ส่วนระบบเกียร์ก็มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะJEEP CHEROKEE
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย จีพ ที่เรียกความสนใจจากผู้คนได้ดี คือ รถครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ขนาดกลางติดป้ายชื่อ จีพ เชอโรคี (JEEP CHEROKEE) ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ ไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้ หรือ ALL-NEW แต่เป็นรถรุ่นเดิม (รุ่นที่ 5) ซึ่งผ่านการปรับปรุงช่วงกึ่งกลางชีวิต อย่างที่เรียกกันในภาษาฝรั่งว่า MID-LIFE REFRESH และมีกำหนดออกตลาดภายในไตรมาสแรกของปี 2018 ในฐานะรถรุ่นปี 2019 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งในส่วนตัวถังและเครื่องยนต์กลไก โดยที่ส่วนแรกมีผลกระทบนิดหน่อยต่อหน้าตาของตัวรถ แต่ขนาดตัวถังยังคงเดิม คือ 4.624x1.859-1.904x1.670-1.723 ม.การตกแต่ง/ติดอุปกรณ์ก็ยังมี 5 ระดับเช่นเดิม คือ LATITUDE-LATITUDE PLUS-LIMITED-OVERLAND-TRAIL HAWK ขณะที่ส่วนหลังจุดสำคัญ คือ การเพิ่มเครื่องยนต์ให้เลือกอีก 1 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 200 กิโลวัตต์/270 แรงม้าFORD MUSTANG BULLITT
ในบูธของยักษ์รองฟอร์ด มีผลงานใหม่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่สมควรนำเรื่องราวมาบรรจุไว้ในรายงานนี้ คือ รถแรงติดป้ายชื่อ ฟอร์ด มัสแตง บุลลิทท์ (FORD MUSTANG BULLITT) ซึ่งเป็นรถอเมริกันพันธุ์แท้อีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถผลิตจำนวนจำกัดที่ค่ายนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของหนังดังในอดีต คือ BULLITT ซึ่งเริ่มฉายในเมืองมะกันเมื่อปี 1968 มีฉากประทับใจที่พระเอกตำรวจซึ่งสวมบทบาทโดย สตีฟ แมคควีน (STEVE McQUEEN) ยอดดาราผู้ล่วงลับซิ่งรถมัสแตง (คันที่เห็นในฉากหลัง) ไล่ล่าผู้ร้ายในเมืองซานฟรานซิสโก ไม่ใช่รถที่ทำขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่นำรถรุ่นสามัญที่มีขายอยู่แล้วในตลาดมาเสริมแต่งในหลายๆ จุด รวมทั้งเพิ่มพลังเครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 8 สูบ 4,951 ซีซี จาก 450 เป็นไม่น้อยกว่า 475 แรงม้า ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ รถเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก 250 เป็น 262 กม./ชม. จะเริ่มการจำหน่ายเมื่อต้นฤดูร้อนของปีหมาน่อยRAM 1500
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ทำให้บูธของค่าย เฟียต ไครสเลอร์ ออโทโมบิลส์ (FCA) ซึ่งมีรถสายพันธุ์อเมริกันอยู่ในเครือข่าย 4 ยี่ห้อ (CHRYSLER-DODGE-JEEP-RAM) มีสภาพ "หัวบันไดไม่แห้ง" คือ รถพิคอัพ แรม 1500 (RAM 1500) ซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นใหม่แท้ๆ และเป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า HALF-TON PICKUP TRUCK ซึ่งรอกันอีกไม่กี่เดือนก็จะเริ่มการจำหน่ายในเมืองมะกันในฐานะรถรุ่นปี 2019 มีตัวถังเหล็กกล้า/อลูมิเนียม ที่แข็งแรงกว่าแต่เบากว่ารถรุ่นเดิมเกือบ 100 กก. เป็นตัวถังซึ่งสามารถบรรทุกน้ำหนักสูงสุด 2,300 ปอนด์ หรือประมาณ 1,045 กก. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.357 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยี่ยมมากสำหรับรถพิคอัพ ที่น่าสนใจมากและไม่ค่อยได้พบกันในรถพิคอัพ คือ AIR SUSPENSION SYSTEM หรือระบบรองรับแบบลม ซึ่งทำให้ปรับความสูงของรถได้ถึง 5 แบบ (ปรับความสูงใต้ท้องรถได้มากสุด 25.7 ซม.)GMC SIERRA ALL MOUNTAIN CONCEPT
รถที่กวนใจที่สุดในงานนี้เพราะเห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่าผู้ออกแบบน่าจะเป็นหรือเคยเป็นคนมีสี จะเป็นรถคันไหนไปไม่ได้หากไม่ใช่คันที่ติดป้ายชื่อ จีเอมซี สิเอร์รา ออลล์ เมาน์เทน คอนเซพท์ (GMC SIERRA ALL MOUNTAIN CONCEPT) ซึ่งปรากฏตัวในงานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนของปีไก่แก่แต่หนังไม่เหนียว และฉายซ้ำอีกครั้งที่งานนี้ เป็นรถที่ทำขึ้นเพียงคันเดียวและไม่ได้ทำใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาต่อยอดอีกทอดหนึ่งจากรถที่มีขายอยู่แล้วในตลาด คือ รถพิคอัพ จีเอมซี สิเอร์รา 2500 เอชดี เดนาลี 4 วีลดไรฟ (GMC SIERRA 2500HD DENALI 4WD) รุ่นปี 2018 เป็นการดัดแปลง/พัฒนาเพื่อให้เป็นรถที่สามารถวิ่งไปได้ในทุกสภาพพื้นที่ รวมทั้งแถบภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดคือการติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล วี 8 สูบ 6.6 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 445 แรงม้า และการเปลี่ยนล้อทั้งหมดจากล้อยาง เป็นล้อตีนตะขาบรูปสามเหลี่ยมอย่างที่เห็นได้ในภาพBUICK LACROSSE AVERNIR
จุดดึงดูดสายตาในบูธของค่าย "สามโล่" คือ รถเก๋งซีดานขนาดโตเต็มพิกัด บิวอิค ลากรอสส์ อาเวอร์เนียร์ (BUICK LACROSSE AVERNIR) ก็เป็นรถใหม่อีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 และฉายซ้ำอีกครั้งที่งานนี้ เป็นรถธงโมเดลหัวกะทิซึ่งมีกำหนดออกโชว์รูมในเมืองมะกันภายในไตรมาสแรกของปีน้องหมาไม่กล้ากระดิกหาง พร้อมด้วยระดับการตกแต่งและการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษซึ่งไม่พบในรถอนุกรมเดียวกันโมเดลอื่นๆ ตัวอย่างคือ การตกแต่งห้องโดยสาร 5 ที่นั่ง ด้วยโทนสีน้ำตาล CHESTNUT กระทะล้อที่เลือกได้ 2 ขนาด 2 สี คือ 19 นิ้ว/เคลือบสีเทามุก PEARL NICKEL กับ 20 นิ้ว/เคลือบสีเงิน MIDNIGHT SILVER ฯลฯ จัดเป็นรถหรูและแรงในตัวถังขนาด 5.017x1.867x1.461 ม. ซึ่งติดตั้งระบบขับล้อหน้า หรือขับทุกล้อ ด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3,564 ซีซี 310 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะCHEVROLET CAMARO HOT WHEELS 50TH
เติมสีสันให้แก่พื้นที่ของยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันได้อย่างดี คือรถแรงติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ คามาโร ฮอท วีลส์ ฟิฟทีเอธ (CHEVROLET CAMARO HOT WHEELS 50TH) ซึ่งเป็นรถตลาดที่เปิดรับการสั่งจองไปแล้วไม่กี่วันหลังวันปิดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ เป็นรถรุ่นพิเศษที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองวาระที่รถสปอร์ทคูเป เชฟโรเลต์ คามาโร (CHEVROLET CAMARO) ซึ่งเริ่มจำหน่ายในเมืองมะกันเมื่อปี 1968 และขณะนี้ออกตลาดไปแล้วรวม 6 รุ่น มีอายุครบ 50 ปีพอดิบพอดี มีให้เลือกทั้งตัวถังคูเปและตัวถังเปิดประทุนอย่างที่เห็นในภาพ ทั้ง 2 ตัวถังมีคุณลักษณ์และรูปลักษณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่หาไม่ได้ในรถรุ่นสามัญ ตัวอย่าง เช่น กระจังหน้าที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถรุ่นนี้ แถบคาดตัวถังสีเทาเข้ม SATIN GRAPHITE/สีเงิน SILVER ICE METALLIC กระทะล้อขนาด 20 นิ้ว เคลือบสีเทาเข้ม SATIN GRAPHITE และป้ายครบรอบ 50 ปี ซึ่งติดอยู่หลายจุดCHEVROLET SILVERADO
จุดดึงดูดความสนใจจุดใหญ่ที่สุดในพื้นที่อันกว้างขวางของยักษ์ใหญ่เมืองมะกัน คือ รถพิคอัพติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ ซิลเวอราโด (CHEVROLET SILVERADO) รถอเมริกันพันธุ์แท้อีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ นับเป็นการเปิดตัวในช่วงเวลา 1 ศตวรรษพอดี หลังจากค่ายนี้เริ่มการขายรถพิคอัพเมื่อเดือนมกราคม 1918 เป็นรถขนาดใหญ่โตเต็มพิกัดอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า FULL-SIZE PICKUP TRUCK มีกำหนดออกตลาดเมื่อเข้าฤดูใบไม้ร่วงของปี 2018 ในฐานะรถรุ่นปี 2019 พร้อมกันกับคำประกาศสรรพคุณว่า มีกระบะที่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย และมีพื้นที่บรรทุกในระดับแนวหน้าเมื่อเทียบกับรถขนาดเดียวกันทุกรุ่นทุกยี่ห้อ จะมีตัวถังให้เลือกถึง 8 แบบและแต่ละแบบก็จะมีบุคลิกแตกต่างกันไป เพื่อสนองอุปสงค์ของผู้ใช้รถได้อย่างทั่วถึง เครื่องยนต์และระบบเกียร์ก็จะมีให้เลือกอย่างจุใจ คือมีทั้งเครื่องเบนซินเครื่องดีเซลและเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะBMW I8 COUPE
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" มีงานใหม่ที่ปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรก คือ รถประตูปีกนก บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คูเป (BMW I8 COUPE) ซึ่งไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้ แต่เป็นรถรุ่นแรกซึ่งเริ่มการผลิตเมื่อปี 2014 และเพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เป็นครั้งแรก มีรายละเอียดในหลายจุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รวมทั้งระบบขับ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 3 สูบเรียงขับล้อคู่หลัง และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับล้อคู่หน้า ได้กำลังสุทธิสูงสุด 275 กิโลวัตต์/374 แรงม้า (เพิ่มจากเดิม 8.8 กิโลวัตต์/12 แรงม้า) และเพิ่มขนาดของแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน เป็น 11.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง (เพิ่มขึ้น 4.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ผลลัพธ์ คือ หลังการชาร์จไฟแต่ละครั้งรถรุ่นใหม่นี้จะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 55 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน NEDC ของยุโรป (รุ่นเดิม 37 กม.)BMW I8 ROADSTER
เปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนของปีไก่อ่อนสอนยังไงก็ไม่ขัน และฉายซ้ำอีกครั้งที่งานนี้เคียงคู่กันกับรถซึ่งเป็นที่มา คือ รถสปอร์ทเปิดประทุนติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 โรดสเตอร์ (BMW I8 ROADSTER) เป็นรถแบบใหม่เอี่ยมแกะกล่องที่พัฒนาต่อยอดมาอีกทอดหนึ่งจากรถคันซ้ายมือ และจุดใหญ่ใจความของการพัฒนาที่ว่า คือ เปลี่ยนจากหลังคาแข็งติดตายเป็นหลังคาเปิดประทุนแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยการกดปุ่มโดยใช้เวลาประมาณ 15 วินาที ส่วนระบบขับยกชุดจากรถคูเปโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ เป็นระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 3 สูบเรียง 1,499 ซีซี 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า ขับล้อคู่หลัง และใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า ขับล้อคู่หน้า ได้กำลังสุทธิสูงสุด 275 กิโลวัตต์/374 แรงม้า ที่เห็นในภาพเป็นรถ FIRST EDITION ซึ่งจะผลิตเพียง 200 คันBMW X2
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 2 (BMW X2) รถ เอสยูวี แบบที่ 6 ของค่ายนี้ถัดจากรถ X1 X3 X4 X5 และ X6 เป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ในตัวถังขนาด 4.360x1.824x1.526 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.28-0.29 กำลังจะเริ่มการจำหน่ายในเยอรมนี พร้อมกับคำกล่าวอ้างว่า ออกแบบได้เยี่ยมจนต้องมองจนเหลียวหลัง โดยมีรถให้เลือกรวม 3 โมเดล คือ BMW X2 SDRIVE20I (เบนซิน 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า) BMW X2 XDRIVE20D (ดีเซล 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า) BMW X2 XDRIVE25D (ดีเซล 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า ส่วนในสหรัฐอเมริกาซึ่งจะเริ่มออกโชว์รูมในเดือนมีนาคม 2018 ในระยะแรกจะมีรถโมเดลเดียวคือ BMW X2 XDRIVE28I (เบนซิน 170 กิโลวัตต์/228 แรงม้า)MERCEDES-BENZ G-CLASS
ค่าย "ดาวสามแฉก" ยกกองทัพรถใหม่ไปอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้หลายคัน และดูเหมือนว่ารถที่ผู้คนสนอกสนใจกันมากสุด คือ รถ เอสยูวี พันธุ์แท้ เมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ G-CLASS) ซึ่งปรากฏตัวในงานนี้หลายคัน เป็นรถรุ่นใหม่ (รุ่นที่ 2) ซึ่งต้องรอจนกว่าจะถึงเดือนมิถุนายนของปีน้องหมาไม่อ้าปากนั่นแหละ จึงจะเริ่มการจำหน่ายในเมืองแม่ แทนที่รถรุ่นดั้งเดิมซึ่งอยู่ในสายการผลิตมายาวนานถึง 38 ปี และผู้ผลิตก็ยืนยันแล้วว่าในเยอรมนีค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มของรถรุ่นใหม่นี้จะเริ่มต้นที่ 107,040 ยูโร หรือประมาณ 4.710 ล้านบาทไทย ตัวถังยาว 4.715 ม. และกว้าง 1.881 ม. มีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอกที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่ค่อนข้างอาลัยอาวรณ์กับรถรุ่นเดิม ที่เปลี่ยนไปหมดและดูทันสมัยขึ้นมาก คือ รายละเอียดภายในห้องโดยสารซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้รวม 5 คน ตัวอย่าง คือ พวงมาลัยแบบ MULTIFUNCTIONMERCEDES-AMG E 53 4MATIC+ COUPE
ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์นำรถแรงติดรหัส 53-SERIES ออกอวดตัว "ครั้งแรกในโลก" พร้อมๆ กัน 3 แบบ 3 รุ่น คือ รถคูเปขนาดใหญ่ เมร์เซเดส-เอเอมจี ซีแอลเอส 53 4 เมทิค พลัส (MERCEDES-AMG CLS 53 4MATIC+) รถคูเปขนาดกลาง เมร์เซเดส-เอเอมจี อี 53 4 เมทิค พลัส คูเป (MERCEDES-AMG E 53 4MATIC+) และรถเปิดประทุน เมร์เซเดส-เอเอมจี อี 53 4 เมทิค พลัส กาบริโอเลต์ (MERCEDES-AMG E 53 4MATIC+ CABRIOLET) ทั้งหมดเป็นรถหรูรถแรง ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,999 ซีซี ซึ่งให้กำลังสูงถึง 320 กิโลวัตต์/435 แรงม้า ที่ 6,100 รตน. สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย "ดาวสามแฉก" อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. รถคูเปขนาดกลางคันที่เห็นในภาพใช้เวลาแค่ 4.4 วินาที รถคูเปขนาดใหญ่กับรถเปิดประทุนเพิ่มเป็น 4.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทุกคันจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.MERCEDES-AMG CLS 53 4MATIC+
ค่าย "ดาวสามแฉก" นำรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส (MERCEDES-BENZ CLS) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 รถรุ่นนี้มีขนาดตัวถัง 4.988x1.890x1.435 ม. เป็นตัวถัง 4 ประตูคูเปที่หน้าตาที่ดูดีกว่ารถรุ่นเดิมนิดหน่อย ในเยอรมนีรถรุ่นใหม่นี้จะเริ่มการจำหน่ายในเดือนมีนาคม 2018 โดยติดป้ายค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ 68,128 ยูโร หรือประมาณ 3.000 ล้านบาทไทย และมีรถให้เลือก 3 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ CLS 450 4MATIC (เบนซิน 286 กิโลวัตต์/389 แรงม้า) MERCEDES-BENZ CLS 350 D 4MATIC (ดีเซล 210 กิโลวัตต์/286 แรงม้า) และ MERCEDES-BENZ CLS 400 D 4MATIC (ดีเซล 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า) ส่วนที่เห็นในภาพเป็นรถโมเดลหัวกะทิ MERCEDES-AMG CLS 53 4MATIC+ ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้พร้อมกับรถอีก 2 รุ่นดังที่กล่าวไปแล้วVOLKSWAGEN JETTA
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ที่ยังไม่หายมึนจากปัญหาปริมาณไอพิษ มีผลงานใหม่ที่สมควรบรรจุไว้ในรายงานนี้เพียงชิ้นเดียวคือ โฟล์คสวาเกน เจททา (VOLKSWAGEN JETTA) รถเก๋งซีดานขนาดกลางและเป็นรถสายพันธุ์เยอรมันอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ นับนิ้วได้ว่าเป็นรถรุ่นที่ 7 ซึ่งต้องรอจนกว่าจะเข้าไตรมาส 2 ของปีจอจ้อไม่ออกนี้ จึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองมะกันในฐานะรถรุ่นปี 2019 หลังจากรถรุ่นก่อนๆ ขายได้ในประเทศนี้ไปแล้วมากกว่า 3.2 ล้านคัน และขายทั่วโลกมากกว่า 17.5 ล้านคัน ตัวถังขนาด 4.702x1.799x1.459 ม. คือ โตขึ้นเล็กน้อยในทุกมิติเมื่อเทียบกับรถรุ่นก่อน มีรูปทรงส่วนท้ายคล้ายรถคูเป และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 เป็นรถขับล้อหน้าซึ่งจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างหลากหลาย รวมทั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ขนาด 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์ก็จะมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะHONDA INSIGHT PROTOTYPE
ปีนี้บูธของยักษ์รองเมืองยุ่นซึ่งขายรถในสหรัฐอเมริกาได้มากกว่าในญี่ปุ่นดูเหงาหงอยไปหน่อย เพราะไม่มีรถตลาดแบบใหม่ๆ จุดดึงดูดความสนใจของสื่อมวลชนและผู้คนผู้ชมงานมีอยู่เพียงจุดเดียว คือ รถติดป้ายชื่อ ฮอนดา อินไซจ์ท์ พโรโทไทพ์ (HONDA INSIGHT PROTOTYPE) ซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ และว่ากันอย่างตรงไปตรงมาก็ดูจะดูดได้ไม่มากสักเท่าไร เป็นต้นแบบของรถไฮบริดขนาดเล็กกะทัดรัดที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดภายในปีหมาน่อยธรรมดานี้พร้อมกับป้ายชื่อ ฮอนดา อินไซจ์ท์ (HONDA INSIGHT) โดยใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกรีนสเบิร์ก (GREENSBURG) ในรัฐอินเดียนาโพลิสเป็นที่ผลิต ที่แตกต่างกันมากกับรถชื่อเดียวกันนี้ซึ่งออกขายไปแล้วรวม 2 รุ่นในอดีต อยู่ตรงที่ว่า รถรุ่นแรกซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1999 เป็นรถ 3 ประตูแฮทช์แบค 2 ที่นั่ง รถรุ่นถัดมาซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2009 เป็นรถ 5 ประตู 5 ที่นั่ง ส่วนรถรุ่นใหม่ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 นี้ จะเป็นรถ 4 ประตูซีดาน 5 ที่นั่งACURA RDX PROTOTYPE
ผู้ผลิตรถระดับพรีเมียมซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์รองเมืองยุ่น ก็ใช้รถต้นแบบเป็นสิ่งเรียกความสนใจของผู้คนเช่นเดียวกับค่ายต้นสังกัด คือ รถติดป้ายชื่อ อคูรา อาร์ดีเอกซ์ พโรโทไทพ์ (ACURA RDX PROTOTYPE) ซึ่งเป็นรถสายเลือดซามูไรอีกคันหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นต้นแบบของ COMPACT LUXURY CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ระดับหรูขนาดเล็กกะทัดรัดรุ่นใหม่ ที่ค่ายนี้ตั้งจะนำออกสู่โชว์รูมในเมืองมะกันตอนกลางปี 2018 ในฐานะรถรุ่นปี 2019 โดยติดป้ายชื่อ ฮอนดา อาร์ดีเอกซ์ (HONDA RDX) และใช้โรงงานในเมืองอีสต์ลิเบอร์ที (EAST LIBERTY) ของรัฐโอไฮโอเป็นที่ผลิต นับเป็นรถรุ่นที่ 3 และเป็นทายาทสายตรงของรถยอดนิยมของค่ายนี้ (ปี 2017 ขายในเมืองมะกันได้มากถึง 51,295 คัน หรือ 1 ใน 3 ของยอดขายรวม) เป็นรถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่พื้นรถจรดหลังคา และจะเป็นรถแบบแรกของค่ายนี้ที่ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะINFINITI PROTOTYPE 9
ผู้ผลิตรถระดับพรีเมียมซึ่งอยู่ในสังกัดของค่าย นิสสัน มีผลงานที่สมควรนำเรื่องราวมาบรรจุไว้ในรายงานนี้รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรก คือ อินฟินิที พโรโทไทพ์ 9 (INFINITI PROTOTYPE 9) ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ PEBBLE BEACH CONCOUR D'ELEGANCE ครั้งล่าสุดซึ่งมีขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2017 แล้วฉายซ้ำอีกครั้งที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถแข่งที่นั่งเดียว ในตัวถังขนาด 4.330x1.820x0.910 ม. ซึ่งทำจากเหล็กกล้าและผลิตประกอบด้วยมือ ติดตั้งระบบขับล้อหลังด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ มีแต่มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 120 กิโลวัตต์/148 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) เป็นรถหนัก 890 กก. สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม. ทีมงานรังสรรค์ของค่ายนี้บอกว่า ออกแบบ/พัฒนาโดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งสายพันธุ์ญี่ปุ่นยุคเริ่มต้นINFINITI Q INSPIRATION
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่ายอินฟินิทีที่ขาดไปรายงานนี้ก็คงขาดความสมบูรณ์ คือ รถติดป้ายชื่อ อินฟินิที คิว อินสไปเรชัน (INFINITI Q INSPIRATION) ซึ่งผู้รายงานไม่ลังเลใจเลยที่จะชูนิ้วโป้งทั้งคู่ แล้วยกให้เป็นรถแนวคิดหน้าตาดีที่สุดและรูปทรงงดงามที่สุดในงานนี้ เห็นชื่อแล้วเข้าใจเอาเองว่า คงได้แรงบันดาลใจจากยอดนักประดิษฐ์อาวุธและอุปกรณ์สายลับในภาพยนต์ชุด เจมส์ บอนด์ 007 (JAMES BOND 007) แต่ที่จริงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดานที่มีส่วนท้ายกับเส้นหลังคาคล้ายรถคูเป เป็นตัวถังที่ออกแบบได้เยี่ยมและมีจุดสะดุดตาสะดุดใจอยู่มากมาย รวมทั้งหลังคากระจกใสที่ออกแบบให้ต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียวกับกระจกหลัง ส่วนระบบขับไม่ใช่ด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ อย่างที่เคยคาดกันเมื่อเริ่มมีข่าวของรถคันนี้ แต่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินขนาด 2.0 ลิตร ที่สามารถปรับอัตราการอัดได้ 2 แบบ คือ 8:1 เพื่อสมรรถนะ กับ 14:1 เพื่อความประหยัดTOYOTA FT-4X CONCEPT
ตามประสาค่ายใหญ่ ในบูธของโตโยตาซึ่งในรอบปีไก่สามารถขายรถในเมืองมะกันได้มากถึง 2,129,383 คัน มีเรื่องราวให้พูดคุยกันได้มากมายก่ายกองทั้งรถเก๋งรถ เอสยูวี รถพิคอัพ และรถแนว ตัดสินใจเลือกผลงานที่น่ากล่าวถึงมาเพียง 2 ชิ้น ชิ้นแรกที่เห็นในภาพใหญ่ คือ รถติดป้ายชื่อ โตโยตา เอฟที-4 เอกซ์ คอนเซพท์ (TOYOTA FT-4X CONCEPT) ซึ่งอวดตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์คครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2017 แต่คณะของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงไม่จริงที่งานนี้นี่เอง เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ขับเคลื่อนทุกล้อที่ออกแบบ/พัฒนาสำหรับผู้ใช้รถ GEN Y ที่พักอาศัยและประกอบธุรกิจในเขตเมือง ตัวถังขนาด 4.249x1.821x1.623 ม. ซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของศูนย์ออกแบบซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีรายละเอียดที่น่าสนใจมากมาย รวมทั้งประตูบานท้ายที่ค่ายนี้ตั้งชื่อว่า มัลทิ-แฮทช์ (MULTI-HATCH) เพราะเปิดได้ทั้งแนวนอนและแนวตั้งTOYOTA AVALON
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นที่เลือกมาบรรจุไว้ในรายงานนี้คือ โตโยตา อวาลอน (TOYOTA AVALON) ซึ่งเป็นรถตลาดอีกแบบหนึ่งที่ปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ นับเป็นรถรุ่นที่ 5 มีกำหนดออกจำหน่ายเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 และในฐานะรถรุ่นปี 2019 เช่นเดียวกันกับรถรุ่นก่อนรุ่นใหม่นี้เป็นรถเก๋งซีดานขนาดโตเต็มพิกัด ที่ออกแบบพัฒนาในสหรัฐอเมริกา ผลิตที่โรงงานในรัฐเคนทักกีของสหรัฐอเมริกา กลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็คือผู้ใช้รถในสหรัฐอเมริกา และไม่ต้องไปหาในญี่ปุ่น มีขนาดตัวถัง 4.978x1.849x1.435 ม. เป็นตัวถังที่ค่อนข้างลื่นลม มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 แต่หน้าตาบอกได้ว่าไม่ดูดีขึ้นเลยเมื่อเทียบกับรถรุ่นที่ 4 ระบบขับจะมี 2 แบบ คือ ขับล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ 3,456 ซีซี กับด้วยระบบไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ส่วนระบบเกียร์จะมีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่เพิ่งออกแบบ/พัฒนาขึ้นใหม่LEXUS LF-1 LIMITLESS
ผู้ผลิตรถระดับพรีเมียมซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่เมืองยุ่น ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานทั่วไปด้วยรถติดป้ายชื่อ เลกซัส แอลเอฟ-1 ลิมิทเลสส์ (LEXUS LF-1 LIMITLESS) ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวในงานใดๆ มาก่อนเลย เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ขนาดโตเต็มพิกัด และเป็นงานรังสรรค์ของศูนย์ออกแบบและวิจัย CALTY DESIGN RESEARCH ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตัวถังขนาด 5.014x1.986x1.605 ม. ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาว 2.974 ม. และนั่งได้รวม 5 คน เป็นผลงานออกแบบเพื่อให้สามารถรองรับระบบขับได้สารพัดแบบและไร้ขีดจำกัดเหมือนชื่อรถ คือ ใช้ได้ทั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิง (FUEL-CELL) ระบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ระบบไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ (PLUG-IN HYBRID) ขับด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน และขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยใช้แบทเตอรีเป็นอุปกรณ์ป้อนไฟSUBARU ASCENT
สื่อมวลชนไม่ค่อยสนใจกันสักเท่าไร คือ รถครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ขนาดโตเต็มพิกัดติดป้ายชื่อ ซูบารุ แอสเซนท์ (SUBARU ASCENT) เพราะเคยเห็นกันมาก่อนแล้วที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ก่อนการฉายซ้ำสองที่งานนี้ เป็นรถอนุกรมใหม่ล่าสุดและเป็นรถขนาดใหญ่ที่สุดของค่าย "ดาวลูกไก่" ตัวถังขนาด 4.999x1.930x1.819 ม.ซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 7/8 คน (2+2/3+3) เป็นผลงานที่ออกแบบ/พัฒนาในสหรัฐอเมริกา และจะใช้โรงงานที่ตั้งอยู่ในรัฐอินเดียนาโพลิส ของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ผลิต มีกำหนดออกโชว์รูมในเมืองมะกันเมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 และจะมีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียวไม่มีโอกาสเลือก คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 2,387 ซีซี 191 กิโลวัตต์/260 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่องที่มีชื่อว่า HIGH-TORQUE LINEARTRONICNISSAN XMOTION CONCEPT
ยักษ์รองเมืองยุ่นซึ่งมีหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในเมืองน้ำหอม เป็นอีกรายหนึ่งที่วางจุดโฟคัสความสนใจไว้ที่รถแนวคิดไม่ใช่รถตลาด คือรถติดป้ายชื่อ นิสสัน ครอสส์โมชัน คอนเซพท์ (NISSAN XMOTION CONCEPT) ซึ่งปรากฏตัวแบบ WORLD DEBUT หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ขนาดเล็กกะทัดรัด ที่สามารถประสมประสานศิลปะงานไม้สไตล์คลาสสิคของญี่ปุ่น เข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่อย่างระบบสื่อสารเชื่อมโยง (CONNECTIVITY) และระบบขับได้เองโดยไม่จำเป็นต้องง้อผู้ขับ (AUTONOMOUS DRIVE) ได้อย่างกลมกลืนและเหมาะเจาะ ตัวถังที่ดูทรงพลังแต่ไม่แข็งกระด้างวางตำแหน่งล้อทั้งคู่หน้าคู่หลังให้อยู่ใกล้มุมของตัวรถมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลลัพธ์คือ ห้องโดยสารที่กว้างขวางและติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งได้ 3 แถว เป็นตัวถังที่มีจุดสะดุดตามากมาย รวมทั้งประตูข้างที่เปิดแยกจากกันโดยไม่มีเสากลาง และหลังคาซึ่งมี ROOFTOP BOX หรือกล่องเก็บของติดตั้งอยู่ด้วยHYUNDAI VELOSTER
มีรถตลาดสายพันธุ์โสมขาวอยู่ 2 แบบ ซึ่งปรากฏตัว WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ แบบแรกคือรถเล็กแต่แรงติดป้ายชื่อ ฮันเด เวโลสเตอร์ (VELOSTER) ผลงานใหม่เอี่ยมยังไม่สิ้นกลิ่นสีของผู้ผลิตหมายเลขหนึ่งเมืองโสม นับเป็นรถรุ่นที่ 2 จะเริ่มการผลิตโดยโรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองอุลซาน (ULSAN) ของเกาหลีใต้ในเดือนมีนาคม 2018 และไตรมาส 2 ของปีเดียวกันจึงจะเริ่มการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2011 มีขนาดตัวถัง 4.239x1.801x1.400 ม. คือแทบไม่ต่างจากตัวถังของรุ่นเดิมซึ่งมีขนาด 4.220x1.790x1.400 ม. เป็นตัวถังที่ออกแบบในลักษณะ ASYMMETRY หรือ 2 ด้านไม่เหมือนกัน คือ ด้านผู้ขับติดประตูบานใหญ่บานเดียว แต่ด้านผู้โดยสารติดประตูเล็ก 2 บาน เครื่องยนต์จะมี 2 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,999 ซีซี 147 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,591 ซีซี 201 แรงม้าKIA FORTE
รถตลาดสายพันธุ์โสมขาวอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ เกีย ฟอร์เต (KIA FORTE) ซึ่งนับนิ้วได้ว่าเป็นรถรุ่นที่ 3 เป็นรถเก๋งซีดาน 4 ประตู 5 ที่นั่ง ในตัวถังขนาด 4.640x1.800x1.440 ม. ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง มีกำหนดออกโชว์รูมทั่วเมืองมะกันซึ่งมีอยู่เกือบ 800 แห่งก่อนสิ้นปี 2018 ในฐานะรถรุ่นปี 2019 โดยจะแบ่งการตกแต่ง/ติดอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส LX S EX แต่จะมีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือ เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร 147 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง ที่ค่ายนี้ออกแบบขึ้นเองเป็นครั้งแรกและตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า INTELLIGENT VARIABLE TRANSMISSION หรือ IVT พร้อมประกาศว่าเป็นระบบเกียร์อัจฉริยะ มีเทคโนโลยี SMART STREAM ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิงรวมทั้งลดอัตราการสิ้นเปลืองได้เยี่ยมGAC ENVERGE
ปิดรายงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งอากาศสาหัส ด้วยผลงานของค่าย จีเอซี มอเตอร์ (GAC MOTOR) ซึ่งก่อตั้งกิจการในสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี 2008 และขณะนี้มีกำลังผลิตรถยนต์ 350,000 คัน/ปี ผู้ผลิตรถจีนรายนี้ตั้งเป้าว่าในปี 2019 จะเริ่มส่งรถเข้าไปขายในเมืองมะกัน จึงเริ่มงานการตลาดที่มหกรรมยานยนต์รายการนี้ โดยส่งรถแบบใหม่ๆ ไปอวดตัวเป็นกองทัพ ทั้งรถเก๋งรถ เอสยูวี และรถ เอมพีวี สื่อมวลชนและผู้ชมงานสนใจกันมาก โดยเฉพาะรถติดป้ายชื่อ จีเอซี เอนเวิร์จ (GAC ENVERGE) ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวในงานอื่นมาก่อน ข้อมูลเกี่ยวกับรถคันนี้ที่ผู้ผลิตแจกจ่ายแก่สื่อมวลชนทั้งในรูปสิ่งพิมพ์และอุปกรณ์อีเลคทรอนิค บอกเพียงย่นย่อว่า เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ เอสยูวีพลังไฟฟ้าขนาดเล็กกะทัดรัดและเพียบไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ที่น่าจะโดนใจผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวของทวีปอเมริกาเหนือ หน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่สัมผัสได้ด้วยตา ต้องยกนิ้วให้ว่า ทำได้ดีเหมือนไม่ใช่รถจีน !ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/ผู้จัดงาน/บริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2561
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ