ก่อนงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ซึ่งอุบัติขึ้นในเมืองมะกันระหว่างวันที่ 14-28 มกราคม 2018 ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" มีรถ เอสยูวี หรือรถกิจกรรมกลางแจ้ง ให้เลือกใช้รวม 5 อนุกรม คือ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 1 (BMW X1) ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2009 และเปลี่ยนรุ่นไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2015 บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3 (BMW X3) ซึ่งเริ่มออกโชว์รูมเมื่อปี 2003 และเปลี่ยนรุ่นไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อปี 2010 และ 2017 บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 4 (BMW X4) ซึ่งเริ่มเข้าสู่สายการผลิตเมื่อปี 2014 บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 (BMW X5) ซึ่งเริ่มการจำหน่ายเมื่อปี 1999 และเปลี่ยนรุ่นไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อปี 2007 และ 2013 บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 6 (BMW X6) ซึ่งรถรุ่นแรกปรากฏตัวเมื่อปี 2007 และรถรุ่นที่ 2 ตามมาในปี 2014อย่างไรก็ตาม ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุด เมื่อเดือนตุลาคม 2016 ผู้คนก็ได้สัมผัสประจักษ์พยานที่บ่งบอกว่า กำลังจะมีรถอนุกรมที่ 6 เพราะยอดผู้ผลิตรถหรูติดตราใบพัดได้นำรถแนวคิดคันหนึ่งออกอวดตัวในงานดังกล่าวพร้อมกับป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ เอกซ์ 2 (BMW CONCEPT X2) ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ เริ่มเกิดการรอคอย และการรอคอยที่ว่านี้ก็สิ้นสุดลงภายในเวลาเพียง 1 ปีเศษ เมื่อรถตลาดติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 2 (BMW X2) ปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ เมื่อเดือนมกราคมของปีจอจ้อไม่ได้ที่กล่าวข้างต้น เป็นรถซึ่งเรียกขานกันอย่างเต็มยศในภาษาอังกฤษว่า SUBCOMPACT LUXURY CROSSOVER SUV หรือ "รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ระดับหรูขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด" ที่พัฒนาต่อยอดมาอีกทอดหนึ่งจากรถ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 1 (BMW X1) รุ่นที่ 2 ที่เริ่มจำหน่ายในเมืองเบียร์เมื่อกลางปี 2015 ใช้พแลทฟอร์มชุดเดียวกัน และมีขนาดตัวถังใกล้เคียงกันจนยากจะเห็นความแตกต่างหากไม่นำมาจอดเคียงคู่กัน เป็นตัวถัง 5 ประตู 5 ที่นั่ง ยาว 4.360 ม. กว้าง 1.824 ม. และสูง 1.526 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.28-0.29 หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังที่กล่าวนี้ ข้อความประชาสัมพันธ์ของค่ายใบพัดระบุว่า เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบเพื่อให้เกิดบุคลิก อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า STANDALONE CHARACTER คือ มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัวไม่จำเจซ้ำซาก สามารถประสมประสานรูปลักษณ์อันกร้าวแกร่งของรถรหัส เอกซ์ เข้ากับลักษณะสปอร์ทของรถคูเปได้อย่างดี เห็นแล้วต้องมองจนเหลียวหลัง ได้สัมผัสตัวจริงเสียงไม่จริงแล้วก็เห็นด้วยแต่ไม่ทั้งหมด เริ่มการผลิตที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเรเกนส์บวร์ก (REGENSBURG) ของเยอรมนีไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 และเริ่มการจำหน่ายในเมืองเบียร์ตอนต้นปีถัดมา โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 7 โมเดล แยกเป็นรถเบนซิน 3 โมเดล คือ BMW X2 SDRIVE18I (3 สูบเรียง 1,499 ซีซี 103 กิโลวัตต์/140 แรงม้า ขับล้อหลัง) BMW X2 SDRIVE20I (4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า ขับล้อหลัง) BMW X2 XDRIVE20I (4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า ขับทุกล้อ) และเป็นรถดีเซล 4 โมเดล คือ BMW X2 SDRIVE18D (4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ขับล้อหลัง) BMW X2 XDRIVE18D (4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ขับทุกล้อ) BMW X2 XDRIVE20D (4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า ขับทุกล้อ) BMW X2 XDRIVE25D (4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า ขับทุกล้อ) ส่วนระบบเกียร์มี 3 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 7/8 จังหวะ STEPTRONIC นอกจากรถมาตรฐานแล้ว รถทุกโมเดลที่กล่าวข้างต้นยังมีการตกแต่ง/ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษให้เลือกอีก 3 แบบ กำกับด้วยรหัส ADVANTAGE-M SPORT-M SPORT X ส่วนค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ในเยอรมนี โมเดลพื้นฐาน BMW X2 SDRIVE18I เริ่มต้นที่ 34,050 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.36 ล้านบาทไทย ส่วนโมเดลหัวกะทิ BMW X2 XDRIVE25D เริ่มต้นที่ 46,800 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.87 ล้านบาทไทย