เห็นชื่อยี่ห้อ เจเนซิส (GENESIS) หลายท่านอาจสงสัยว่ารถยี่ห้อนี้ก็มีด้วยเหรอ ? ก็ต้องอรรถาธิบายกันก่อนว่ามีแน่นอน คือ เป็น PREMIUM BRAND หรือยี่ห้อการค้าระดับพิเศษ ที่เพิ่งแยกตัวจากบริษัทแม่คือ ฮันเด (HYUNDAI) ของเกาหลีใต้เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2015 เปรียบเทียบให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน รถ เจเนซิส ของ ฮันเด ก็เหมือนกับรถ เลกซัส ของ โตโยตา นั่นเอง ส่วนชื่อ เจเนซิส ก็ไม่ใช่เพิ่งคิดขึ้นใหม่ แต่นำมาจากชื่อ ฮันเด เจเนซิส (HYUNDAI GENESIS) ซึ่งเป็นเก๋งขนาดใหญ่ และหรูที่ผู้ผลิตรถยนต์เมืองโสมทำขายต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2008-2016 นั่นเองส่วน เจเนซิส เอสเซนเทีย (GENESIS ESSENTIA) ที่นำมาบรรจุไว้ใน “ระเบียงรถใหม่” เดือนนี้ ไม่ใช่รถที่ผลิตขาย แต่เป็นรถแนวคิดซึ่งเพิ่งปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์คในสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2018 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถคูเปประตูปีกผีเสื้อไร้เครื่องยนต์ และเป็นต้นแบบของรถสปอร์ทคูเปที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2021 หรือ 2022 เป็นอย่างช้า เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานภายใต้การนำของ ลุค ดงก์เคร์โวลเค (LUC DONCKERWOLKE) นักออกแบบชื่อดังชาวเบลเยียมวัย 53 ปี ซึ่งเคยทำงานมาแล้วกับค่าย เปอโฌต์ (PEUGEOT) และ โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) ก่อนย้ายมาร่วมงานกับค่ายนี้เมื่อปี 2015 ผลงานในอดีตที่สร้างชื่อเสียงให้เขามีอยู่มากมาย เช่น ลัมโบร์กินี มูร์ซีเอลาโก (LAMBORGINI MURCIELAGO) รุ่นปี 2002 เซอัต อีบิซา (SEAT IBIZA) รุ่นปี 2008 และเบนทลีย์ ฟลายอิง สเปอร์ (BENTLEY FLYING SPUR) รุ่นปี 2014 หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ (CARBONFIBER) ดูแล้วต้องทำใจอยู่นานจึงเชื่อว่าเป็นรถเกาหลี ส่วนหน้าของตัวรถเมื่อมองตรงๆ มีจุดสะดุดตา คือ กระจังหน้ารูปสามเหลี่ยมยอดคว่ำ ค่ายนี้บอกว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบด้วยปรัชญา ATHLETIC ELEGANCE หรือ “หรูหราอย่างมีพลัง” เห็นแล้วให้ความรู้สึกในประสิทธิภาพและคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร์ ประตูข้างแบบปีกผีเสื้อไม่มีที่จับเปิด/ปิด แต่ใช้ระบบเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ตรงเสาบี (B-PILLAR) เป็นระบบเซนเซอร์ที่สามารถจดจำลายนิ้วมือ และใบหน้าของผู้ใช้รถ อย่างที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า FINGERPRINT CONTROL AND BIOMETRIC FACIAL RECOGNITION ห้องโดยสารที่ ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยวัสดุชั้นดี และนั่งได้ 2+2 คน แต่เมื่อมองจากภายนอกอย่างที่เห็นในภาพ เหมือนนั่งได้แค่ 2 คน ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ ข้อมูลของระบบขับที่ว่านี้มีอยู่นิดเดียว คือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าหลายชุด (MULTIPLE ELECTRIC MOTORS) ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีความจุสูงซึ่งออกแบบเป็นรูปตัวไอ และติดตั้งอยู่ในอุโมงค์กลาง ส่วนตัวเลขความเร็วก็บอกแต่เพียงคาดว่าจะใช้เวลาแค่ 3.0 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.