รอบรู้เรื่องรถ
ประเทศกูมี ฝูงแร้งข้างถนนกลางกรุง
ณ ถนนพระรามที่ 4 ใกล้สี่แยกกล้วยน้ำไท เวลาบ่ายโมงเศษของวันทำงานวันหนึ่ง ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ผมเสร็จจากการทำธุรกรรมในธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสี่แยกดังกล่าว ขณะเดินอยู่บนทางเท้า ฝั่งซ้ายในทิศเดียวกับที่รถแล่น มุ่งสู่สี่แยกจะไปยังทางม้าลายตรงเสาสัญญาณไฟจราจร เพื่อจะข้ามไปฝั่งตรงกันข้าม ผมทอดสายตาเลยสี่แยกไปก็เห็นฝูงแร้ง ไม่ใช่ครับเขียนผิด ฝูงตำรวจจราจรในเครื่องแบบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งแปลกอะไร สำหรับผู้คนในย่านนี้รวมทั้งตัวผม กำลังกลุ้มรุมล้อมกรอบผู้ขับขี่จักรยานยนต์ และถูกเรียกให้หยุดกันอย่างเมามันแต่มีสิ่งสะดุดตาและใจผมอยู่ 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือขนาดของฝูงที่ออกหากินในวันนี้ ใหญ่กว่าที่เคยคุ้นตาพวกเราย่านนั้น และประการที่ 2 คือ มีรถเก๋งถูกเรียกให้หยุดอยู่ด้วย ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มหาคำตอบ สัญญาณไฟที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ก็เปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง พร้อมกับเห็นรถคันหนึ่งขับผ่านเส้นขาวที่เป็นเหตุให้รถคันแรกหยุด ก็เป็นปกติใช่ไหมครับ เพราะช่วงที่เขาเกือบถึงแยกยังเป็นไฟเขียวอยู่และเพิ่งเหลืองเมื่อเขากำลังจะถึงเส้นที่ว่านี้ ด้วยความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. โดยที่มีป้ายกำหนดความเร็วสูงสุดของรถเก๋งบนถนนนี้ไว้ ว่าห้ามเกิน 80 กม./ชม. (ซึ่งนี่ก็เป็นค่าที่คนบ้ากำหนดสำหรับถนนในเมือง ไม่มีประเทศดีๆ ที่ไหนเขาทำครับ ต้องไม่เกิน 50 กม./ชม. เท่านั้น ซึ่งเมื่อไม่ให้ไขว้เขว ผมขอผลัดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน) ก่อนจะคุยกันเรื่องประโยชน์ของการมีไฟเหลืองก่อนเปลี่ยนเป็นไฟแดง ผมขอบรรยายความชั่วของพวกมันอย่างต่อเนื่องก่อนครับ ทันทีที่รถคันนี้เลยเส้นไปถึงกลางแยก คนที่อยู่ไกลที่สุดและปักหลักรออยู่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ก็กระโจนลงมาจากเกาะกลางถนน (เห็นยุทธวิธีของมันไหมครับ) พลางยื่นมือเป็นทำนองสั่งให้ผู้ขับรถคันนี้เบรค ในขณะที่มันก็ก้าวเดินจากเลนขวาสุดมาที่เลนกลาง เพื่อ "ต้อน" ให้ผู้ขับเบนเข้าเลนซ้ายสุด และหยุดเพื่อให้มันใส่ความว่าขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดง สิ่งที่เกิดขึ้นตามที่เล่ามานี้ ไม่ใช่ความบังเอิญนะครับ ผมจึงพยายายามมองลอดเข้าไปในป้อมตำรวจและก็ไม่ผิดหวัง เพราะมันกำลังเพ่งดูผลงานของพวกมัน ทั้งหมดนี้คือการกระทำโดยการวางแผน และนัดแนะกันของตำรวจจราจรชั่วเหล่านี้ ในการหาเรื่องใส่ความผู้ใช้รถ ที่มิได้ทำผิดกฎจราจรอะไรเลย เพราะถ้ารอเอาเรื่องคนที่ฝ่าไฟแดงจริง คงไม่สำเร็จ ไม่มีใครทำแน่อยู่แล้ว ในเมื่อเห็นคนพวกนี้เป็นฝูง กำลังหาเรื่องผู้ใช้รถจักรยานยนต์อยู่ เพื่อให้ได้คำตอบแน่ชัด ผมไม่มีใจจะไปทำธุระอื่นต่อแล้ว จึงหยุดยืนรอดูสัญญาณไฟในรอบถัดไป จะไปยืนจ้องคอยเฉยๆ นี่ไม่ได้นะครับ ไอ้พวกนี้มันนกรู้ หูตาไวเป็นพิเศษ จะมีพิรุธในสายตาของมันทันที ต้องคอยหมุนตัวหันหลังให้บ้าง เสมือนรอใครอยู่ รอบถัดไปสถานการณ์ไม่เอื้อครับ เพราะกลุ่มท้ายๆ มาเกาะกลุ่มมากันหลายคัน มันก็ไม่รู้จะกระโดดมาจับอย่างไร เกือบลืมบอกไป มีการเลือกเวลาด้วย คือ ช่วงบ่ายหลังเที่ยงไม่นานนัก ซึ่งเป็นช่วงที่การจราจรบนถนนเส้นนี้เบาบาง เข้ารอบที่ 3 ผมไม่จำเป็นต้องคอยเพ่งดูสัญญาณไฟ เพราะมันอยู่ที่การเลือกของไอ้คนในป้อม ผมจับทางได้แล้ว เลยคอยหันย้อนไปดูจำนวน และขนาดของกลุ่มรถที่แล่นเข้าหาสี่แยกนี้ จิ้งจอกในเครื่องแบบพวกนี้ มันรอให้มีรถแล่นมาคันเดียวโดดๆ หรือ 2 คันที่ตามติดกันมา ถ้ามันบังคับคันหน้าให้หยุดได้ คันหลังก็ต้องหยุดตาม ถือเป็นโชค 2 ชั้น คราวนี้ผมเห็นรถคันหนึ่งแล่นมาคันเดียว ผมจึงหันไปมองสัญญาณไฟไว้ ไม่ผิดหวังครับ อีกแค่สิบกว่าเมตรจะถึงขีดขาว มันเปิดไฟเหลือง ผู้ขับรถคันนี้เขาก็ขับผ่านไปอย่างถูกต้อง สมมติว่าอยากจะหยุดก็ยังหยุดไม่ทัน ผมไม่แน่ใจว่าเป็นไอ้คนเดิมเมื่อ 2 รอบที่แล้วหรือเปล่า มันกระโจนลงมาจากเกาะกลางเหมือนเดิม ยื่นมือขวาออกมาชี้ไปที่ทางเท้า ทำนองออกคำสั่งให้คนขับเบรคเข้าข้างทาง เป็นโชคดีของผมที่ได้เห็น ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ขับรายนี้ ถูกใจผมมาก เพราะถ้าเป็นผม ก็จะปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน นั่นคือขับต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเป็นผมจะเร่งความเร็วเพิ่มอีกด้วย จิ้งจอกในเครื่องแบบนี้เหมือนตัวจริงมาก ใครที่ชอบดูหนังชีวิตสัตว์ป่า จะเห็นภาพพฤติกรรมของมันจนติดตากันทุกคน เพราะดูเหมือนพวกมันจะมีสัญชาตญาณอยู่ในตัวว่า "อดกินดีกว่าเจ็บตัว" ถ้ามันเจอสัตว์ที่คิดสู้ มันจะกระโดดหนี จิ้งจอกในเครื่องแบบก็เช่นกัน พอเห็นผู้ขับที่เชื่อมั่นในความถูกต้องรายนี้ขับต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ตั้งแต่ก่อนจะถึงตัว มันรีบลดฝีเท้าลงทันทีก่อนที่จะถูกชนกระเด็น ผู้ขับรถที่ไหนจะไปนึกครับ ว่าจะมีตำรวจหิวเงินกระโจนพรวดมาจากเกาะกลางถนน จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและสำคัญมาก ผู้อ่านที่ชอบใช้เหตุผลแบบตรรกะ ก็คงจะพอนึกออกว่ามันมีสิ่งเลวร้ายปนอยู่ในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือการฉวยโอกาสปรักปรำ หาเรื่อง ใส่ร้ายผู้ใช้รถใช้ถนน โดยพลการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปราศจากซึ่งหลักฐานยืนยันใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราจะต้องไม่ยอมให้คนพวกนี้ อาศัยเครื่องแบบและหน้าที่ มาล้างเงินในกระเป๋าของพวกเราอีกต่อไปครับ ต้นเหตุของความขยันหรือหิวเงินจนหน้ามืดนี้ ก็คือระบบแบ่งเงินค่าปรับให้เจ้าหน้าที่ มันเป็นวิธีที่บัดซบสิ้นดีครับ ในเมื่อรับรายได้จากเงินเดือนประจำที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างพวกเราอยู่แล้ว ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่มาอ้างว่า ถ้าไม่มีสินบนนำจับที่แบ่งมาจากค่าปรับแล้ว ไม่มีกำลังใจทำงาน เรื่องนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควรออกคำสั่งเลยว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวโทษผู้ใช้รถใช้ถนน โดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้ จะต้องใช้อุปกรณ์ที่จำเป็นบ่งบอก และยืนยันต่อผู้ใช้รถได้ว่า ได้กระทำผิดกฎจราจรจริง หมายความว่าถ้ากล่าวยกตัวอย่าง อย่างไม่เป็นทางการก็คือ การกล่าวหาว่าผู้ใช้รถเปลี่ยนเลนข้ามเส้นทึบ ฝ่าสัญญาณไฟแดง หรือขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องมีภาพขณะกระทำผิดมายืนยันเสมอ ผมเองเคยประสบมาด้วยตนเอง ในการเปลี่ยนเลนข้ามเส้นประเส้นสุดท้าย มิได้ล้ำไปทับเส้นทึบ แต่กลับถูกกล่าวหาว่า ข้ามเส้นทึบ ถ้ามองในแง่ดีหน่อยก็คือ ตำรวจราจรรายที่กล่าวหาผมนี้อาจจะโง่หรือตาเซ่อ แต่ที่น่าจะเป็นได้กว่า ก็คือมันรู้ทั้งรู้ว่าเราไม่ผิด แต่จะหาเรื่องปรับเอาผลงานและส่วนแบ่ง หรืออาจจะหวังว่าคงมีกระดาษอะไรถูกยัดใส่มือมาบ้าง เพราะเหตุนี้ การที่จะใช้หรืออ้างว่าใช้เครื่องมือวัดความเร็วแบบผู้ใช้อ่านค่าความเร็วได้คนเดียว แล้วอ้างว่ามีความซื่อตรง แจ้งชนิดของรถและหมายเลขทะเบียนไปยังพวกเดียวกันที่อยู่ไกลออกไปพอสมควร เพื่อให้ดักและหยุดรถเป้าหมาย อ้างว่าได้ขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กำหนด จึงไม่มีความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ลองเอากรณีอย่างนี้ไปถามเด็กอายุ 10 ปี สติปัญญาระดับปกติดูก็ได้ครับ ว่าตำรวจมีสิทธิอ้างเช่นนี้หรือไม่ ผมรับรองว่าเด็กก็จะตอบว่า ไม่ต้องเปิดเครื่องหรือเครื่องเสียแต่ทำเป็นเล็ง ก็หาเรื่องปรับได้แล้ว ต้องห้ามปฏิบัติเช่นนี้ให้ทั่วทั้งประเทศครับ และประกาศให้ประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน รับรู้สิทธิด้วย การปรับผู้ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในแต่ละแห่ง จะต้องมีภาพถ่ายที่ชัดเจน มายืนยันต่อผู้กระทำผิดเสมอ ผมเคยเห็นใช้แค่กล้องส่องทางไกลกะเอา แล้วก็กุค่าความเร็วขึ้นมาลอยๆ ส่งวิทยุคลื่นสั้นไปแจ้งพรรคพวกข้างหน้า ให้คอยดักจับ ถึงจะมีเครื่องมือที่วัดความเร็วได้จริง แต่ไม่มีภาพยืนยัน ก็ต้องห้ามเด็ดขาดครับ จะให้ผู้ใช้รถเชื่อถือผู้ที่มีผลประโยชน์เป็นเงินไหลเข้ากระเป๋า ว่าทำผิดจริงได้อย่างไร ต้องห้ามเด็ดขาดครับ ประเภทกางร่มเล็งก่อนถึงด่านเก็บเงินทางด่วน แล้วให้พรรคพวกดักรอที่ด่าน ถ้าผมเป็นผู้ว่าการการทางพิเศษฯ ผมไม่มีวันยอมให้ผีเปรตที่ไหน มารังแกหรือก่อความเดือดร้อนให้ผู้ใช้ทางด่วนเป็นอันขาด ผู้ใช้บริการคือลูกค้า ที่ผมมีหน้าที่ปกป้องและอำนวยความสะดวกเท่าที่จะทำได้ ช่วยตะเพิดไปหากินที่อื่นทุกครั้งที่เห็นด้วยครับ
ABOUT THE AUTHOR
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2561
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ