รอบรู้เรื่องรถ
เครื่องยนต์สมบูรณ์ …ยิ่งร้อน ยิ่งนาน ยิ่งชอบ !
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ ก็น่าจะเป็นช่วงเริ่มต้นปีใหม่พอดีนะครับ ที่ผมจะได้พบผู้อ่านผ่านทางหน้านิตยสารของเรา หลายท่านอาจจะถึงที่หมายปลายทางในการท่องเที่ยวพักผ่อนแล้ว บางท่านอาจกำลังเดินทาง หรือไม่ก็เตรียมตัวอยู่ อย่าลืมสิ่งที่ผมเคยแนะนำไว้ เกี่ยวกับการเดินทางด้วยรถยนต์ให้ปลอดภัยนะครับในปีนี้จึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีก สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัย แต่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และไม่แนะนำให้ทำไม่ว่าในกรณีใด ก็คือการหยุดเพื่อให้รถได้ “พัก” หรือ “พักผ่อน” ช่วงที่มีการระบาดของโรคจากไวรัสหลายเดือนที่ผ่านมา ผมมีเวลาว่างมากขึ้น จึงมีโอกาสหาความรู้ด้านต่างๆ จากคลิพในสื่อสังคม โดยเฉพาะรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นการเปิดกว้างให้ผู้คนมีความรู้เสริม ได้อย่างแทบจะไม่มีขอบเขต ถ้าเทียบกับยุคก่อน ก็พอจะกล่าวได้ว่า มากกว่าเป็นพันหรือเป็นหมื่นเท่าเลยนะครับ ส่วนหนึ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะวัยของผมและความชอบส่วนตัว ก็คือ บรรดาคลิพที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพ ทั้งจากบรรดาแพทย์ของไทย และของต่างชาติ ความรู้ที่ได้นี้ ทั้งมากมาย และดี จนไม่สามารถประเมินคุณค่าออกมาเป็นตัวเลขหรือถ้อยคำได้เลย เพราะถึงจะอยู่ในยุคที่เชื่อกันว่าทันสมัยมาก เพราะวิทยาการด้านต่างๆ ล้วนก้าวไกลอย่างที่เห็นกันอยู่นี้แล้วก็ตาม แต่เชื่อไหมครับ ว่าความรู้เกี่ยวกับตัวเองของพวกเรา ที่มีกันอยู่ หรือเชื่อว่ามีพอนั้น แท้ที่จริงแล้วต้องถือว่าน้อยมาก และที่รู้อยู่นั้น ยังอาจจะผิดแบบตรงกันข้ามเลยทีเดียว มนุษย์เราชอบหาความรู้ในเรื่องที่ไกลตัวครับ เพราะมันให้ความรู้สึกภาคภูมิใจ มากกว่าการรู้เรื่องพื้นฐานต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัว และโดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ "ในตัว" พวกเราจริงๆ ซึ่งก็คืออวัยวะต่างๆ กับการทำหน้าที่ของมัน พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีความรู้กันเลย ว่าการกิน การนอน ที่ถูกวิธีถูกควรลองสอดคล้องตามที่ธรรมชาติสร้างพวกเรามานั้น ควรเป็นเช่นใด มีลูกออกมา ก็ไม่ได้รู้กันจริง ว่าควรเลี้ยงดูทางกายภาพอย่างไรถึงจะถูกต้อง ผมจึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณบรรดาแพทย์ ผู้ที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์แฝงอื่นใด ที่อุตส่าห์สละเวลา ความคิด และแรงกาย มาให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างพวกเรา พอดีนึกขึ้นได้ครับ ว่ามีหลายคลิพที่แนะนำประโยชน์ หรือที่จริงจะเรียกว่าความจำเป็น หรือความสำคัญก็ได้ ของการให้ร่างกายของเรา ได้พักผ่อนในแต่ละวันอย่างเพียงพอ โดยมีการเปรียบเทียบว่า “ร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ ของพวกเรานั้น ไม่ต่างจากเครื่องจักร หรือเครื่องยนต์ทั้งหลาย ที่ย่อมต้องการการหยุดพักเสมอ ไม่ควรใช้งานต่อเนื่อง หากต้องการให้มีอายุการใช้งานยืนยาว “ในส่วนนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปอย่างมากนะครับ ผมไม่แปลกใจ และไม่ต้องการตำหนิเลยครับ เพราะพวกเราถูกสั่งสอน หรือบอกเล่ากันมาอย่างนี้เกือบร้อยปีแล้ว ว่าต้องเห็นใจเครื่องจักรเครื่องยนต์มันบ้าง เหมือนร่างกายของพวกเรานี่แหละ อย่าไปใช้งานมันอย่างสมบุกสมบัน หรือหนักมาก นานมากจนเกินไป ต้องให้มันพักเป็นช่วงๆ เสมอนะ ถ้าไม่อยากให้มันชำรุด หรืออายุสั้น พอมีความเข้าใจนี้ผนึกแน่นอยู่ในสมองของพวกเรา จนเชื่อกันว่ามันเป็นความจริงหรือ” แล้วพวกเราก็ใช้มันเป็นมาตรฐานอ้างอิง จนนำมาใช้เปรียบเทียบสวนทางตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี่แหละครับ ที่จริงแล้วตรงกันข้ามเลยนะครับ เครื่องจักรและเครื่องยนต์ทั้งหลายนั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต จึงไม่มีความเหนื่อยล้าใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ที่มีกล้ามเนื้อ ระบบต่างๆ ทำงานด้วยชีวเคมีอันซับซ้อนมากมาย และล้วนไม่สามารถอยู่ในสภาวะที่เสถียร หรือคงตัวได้นาน เครื่องยนต์ที่อยู่ในสภาพดี สมบูรณ์ทุกระบบ เช่น ระบบระบายความร้อน ระบบหล่อลื่น ระบบจ่ายเชื้อเพลิง สามารถทำงานต่อเนื่องได้อย่างดี ไม่ต้องการการหยุดพักเลย ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม ยกเว้นจะนานแรมเดือน จนน้ำมันหล่อลื่นเสื่อมสภาพ ถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจน ก็ต้องดูตัวอย่างที่เครื่องยนต์ของรถที่พวกเราใช้กันอยู่นี่แหละครับ ถ้าระบบหล่อเย็น หรือระบบระบายความร้อน ทำงานได้ตามปกติ อุณหภูมิของเครื่องยนต์จะมีค่าค่อนข้างคงที่ ซึ่งหมายความว่า ความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และอากาศในห้องเผาไหม้ ส่วนเกินที่เหลือจากการถูกใช้ไปในการขับเคลื่อนรถของเรา เท่ากับพลังงานความร้อนที่ถูกส่งผ่านน้ำหล่อเย็น มาคายทิ้งที่หม้อน้ำหน้ารถของเรา และส่วนที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมกับไอเสีย (กับเศษเสี้ยวเล็กน้อย ที่ถูกระบายให้อากาศ ที่ผิวนอกของตัวเครื่องยนต์) เมื่อพลังงาน 2 ฝ่ายเท่ากัน อุณหภูมิของเครื่องยนต์ก็ย่อมคงที่ แต่ถ้าการระบายความร้อนที่หม้อน้ำไม่เพียงพอ เช่น มีการอุดตันจนตีบภายใน หรือปริมาณน้ำน้อยเกินไป เครื่องยนต์ก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเราต้องให้มัน "พัก" ก่อนที่จะร้อนจัดจนชำรุด ซึ่งเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุครับ สรุปแล้วก็คือ ถ้าเครื่องยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ต้องให้มันพักเลยนะครับ ถ้ามันมีชีวิต และบอกเราได้ มันคงอยากบอกว่า “ไม่ต้องหยุดพักเลยแบบนี้ละ ที่ชอบที่สุด” เพราะลูกสูบขยายตัวจนได้รูปทรงพอเหมาะ น้ำมันเครื่องก็ร้อนพอดี (ราวๆ 90-100 กว่าเซลเซียส) ไหลไปตามช่องแคบได้รวดเร็ว และใสจนฟุ้งเป็นละอองไปหล่อลื่นกระบอกสูบได้ดีด้วย รถที่ "พัก" น้อย เทียบกับระยะทางที่ถูกใช้งาน เช่น รถบริการสาธารณะทั้งหลาย จึงใช้งานเครื่องยนต์ได้เป็นระยะทางก่อนที่จะหมดสภาพ ได้มากกว่าพวกรถส่วนตัวของพวกเราครับ เมื่อไรที่เดินทางไกล เลิกสงสารเครื่องยนต์นะครับ นึกถึงประโยคเปรียบเทียบของผมไว้เสมอว่า “ มันชอบ” สงสารเฉพาะคนขับและผู้โดยสารเท่านั้นครับ ซึ่งถึงไม่เหนื่อย ไม่ง่วง ก็จำเป็นต้องพักเสมอ เพราะการนั่งนิ่งเป็นเวลานาน ให้โทษได้มากกว่าที่พวกเราเชื่อครับ ขออภัยด้วยนะครับ ที่เนื้อเรื่องตอนต้น ไม่ตรงกับช่วงเวลาที่นิตยสารนี้ถึงมือท่านผู้อ่าน เพราะกองบรรณาธิการจำเป็นต้องขอใช้เนื้อที่ของคอลัมน์นี้ แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะครับ แค่เปลี่ยนเทศกาลปีใหม่ ให้เป็นเทศกาลสงกรานต์เท่านั้นเอง ซึ่งก็ได้แต่หวังกันว่า การระบาดรอบที่ 2 นี้ จะถูกสยบลงได้ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อมั่นในการบริหารเลยนะครับ แต่ยกย่องเฉพาะฝีมือของบุคลากรด้านสาธารณสุขของเรา รวมทั้งวินัยของประชาชน ที่พร้อมใจกันกลัวตายได้จริงจัง ดีกว่าพลเมืองของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ทำให้เราได้ข้อคิดบางอย่างครับ ว่าคนสายพันธุ์นี้ ที่พวกเรายกย่องกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ว่าฉลาดล้ำเหลือนั้น ในบางเรื่องบางกรณี ก็โง่เง่า ไม่รู้จักรักตัวกลัวตาย ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีอะไรที่ไห้แต่คุณโดยไม่ให้โทษ และในทางกลับกัน ก็ไม่มีอะไรที่ให้แต่โทษล้วนๆโดยไม่ให้คุณประโยชน์ ผมได้พบข้อดีบางอย่างในความโชคร้ายจากโรคระบาดครั้งนี้ เช่น พวกเราแทบจะไม่ป่วยจากโรคหวัดกันเลยในช่วงเวลานี้ มันเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดี ว่าที่เราเห็นคนเป็นหวัด ไอจามกันทั่วเมือง ก่อนการมาของไวรัสร้ายนี้ มันมาจากการติดต่อกัน โดยการไอ จาม ใส่กันอย่างปราศจากความรู้ หรือถ้ามีความรู้ ก็ปราศจากความเห็นใจผู้อื่นครับ อย่างผมที่ระวังเต็มที่เสมอ บางครั้งก็ยังไม่รอด เพราะมันไอออกมา ตอนเดินสวนมาเกือบถึงตัว และปากมันอยู่ห่างจากจมูกผมแค่สองคืบ กลั้นหายใจยังไม่ทันเลยครับ เพียงแค่มันมีมารยาท หรือรู้จักความเห็นใจผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงวัยซึ่งภูมิต้านทานโรคต่ำ ที่จะต้องติดโรคหวัดจากมัน นอนไอทั้งคืนไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน ผมสังเกตได้อย่างชัดเจน ว่าแม้แต่ช่วงที่ดินฟ้าอากาศแปรปรวน ที่พวกเราชาวไทยเชื่อกันว่า ทำให้คนเป็นโรคหวัดกันมากมาย ก็ยังแทบไม่มีคนที่เป็นหวัดให้เห็นครับ มันคือการแพร่ระบาดโดยการติดต่อกัน ในกลุ่มประชากรที่ไร้มารยาท ไร้วินัย และไร้ความเห็นใจผู้อื่นล้วนๆ เพื่อให้แน่ใจ ผมได้สอบถามผู้ที่มีร้านขายยา ก็ได้คำตอบตามคาดครับ ยอดจำหน่ายยารักษาหรือบรรเทาโรคหวัด ในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ลดลงเหลือไม่ถึง 30 % ของช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มันคือผลพลอยได้จากการสวมหน้ากากอนามัย ที่ช่วยให้พวกเราไม่ต้องถูกยัดเยียดเชื้อหวัดให้ อีกหนึ่งผลพลอยได้ หรือประโยชน์ทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสนี้ ก็คือการที่พวกเรารอดพ้น ไม่ต้องกินน้ำลายของบรรดาพนักงานบริการในร้านอาหาร หรือที่ใดก็ตามที่อาหารของพวกเราในภาชนะเปิด ต้องไปอยู่ด้านหน้าของพนักงานเหล่านี้ คนไทยเราขาดวินัยในการทำงานครับ การทำงานให้ได้ผลดี ต้องใช้สมาธิในระดับหนึ่ง และการที่จะมีสมาธิได้ดีพอ ก็ต้องไม่ถูกเบี่ยงเบน ด้วยการสนทนาเรื่องไร้สาระในระหว่างทำงาน แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นวัฒนธรรมของชนชาติไทยไปแล้ว หากแก้ไขที่ต้นตอไม่ได้จริงๆ ผมขอให้แก้ที่ปลายเหตุก็ยังดีครับ ผมเฝ้าดูปัญหานี้มาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมแล้ว ข้องใจมาก ว่าเหตุใดพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย จึงยินดีที่จะกินอาหารคลุกน้ำลายของพนักงานบริการ กันอย่างไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกที่และทุกแห่งโดยไม่มีข้อยกเว้นครับ โอกาสดีเหมือนฝัน มาพร้อมกับโรคระบาดนี้ ที่พนักงานทุกคนถูกบังคับให้สวมหน้ากากอนามัย หมดโอกาสที่จะพ่นฝอยน้ำลายใส่อาหารของพวกเราเหมือนที่เคยเป็นมา ผมขอถือโอกาสนี้ ขอความร่วมมือจากผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานอยู่ในแวดวงของสื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อสังคมทุกประเภท ช่วยกันเรียกร้องต่อหน่วยงานที่กำกับดูแลในเรื่องสุขอนามัยนี้ ให้ออกกฎระเบียบบังคับให้พนักงานที่ให้บริการในร้านอาหาร ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ให้บริการ และตลอดไป แม้ว่าการระบาดของโรคที่เราเผชิญกันอยู่นี้ จะทุเลาลงจนถึงระดับที่ปลอดภัยแล้วก็ตาม
ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ