ซันรูฟ (SUNROOF) เป็นอุปกรณ์ที่กำลังได้รับความนิยม เพราะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เพิ่มความสว่างภายในรถ รวมถึงได้เห็นความสวยงามของท้องฟ้ายามค่ำคืน ปัจจุบันจึงมีหลายบริษัทนำซันรูฟมาทำตลาดในประเทศไทย “ฟอร์มูลา” สัมภาษณ์ STEPHAN RUPF ผู้จัดการ ประจำประเทศไทย WEBASTO ผู้นำการผลิตหลังคาซันรูฟ อันดับ 1 ทั่วโลกฟอร์มูลา : บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่ เพราะเหตุใดจึงเลือกดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตหลังคาซันรูฟ และพาโนรามา WEBASTO ? STEPHAN : WEBASTO ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1901 ที่เมืองเอสส์ลิงเกน ใกล้เมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี ถึงวันนี้เรามีอายุกว่า 120 ปี โดยเริ่มจากเป็นผู้ผลิตโลหะต่างๆ ที่ใช้ในจักรยาน และอุปกรณ์ที่ใช้ภายในครัวเรือน ต่อมาได้ย้ายบริษัทมาที่เมืองสตอคโดล์ฟ ใกล้เมืองมิวนิค ในปี 1908 ปี 1932 WEBASTO เริ่มเข้าวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเป็นผู้ผลิตหลังคาแบบพับได้รายแรกที่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบหลังคาในรถยนต์ประเภท SUN-LIMOUSINE หลายทศวรรษต่อมา ธุรกิจหลังคาดังกล่าวได้เติบโตอย่างเข้มแข็งมากขึ้น และมีการขยายธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากธุรกิจหลังคารถยนต์แล้ว WEBASTO ยังเป็นผู้นำตลาดด้านระบบทำความร้อน และความเย็นในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “STRENGTHENING & PARTICIPATING” อีกทั้งยังมีการขยายธุรกิจในด้านแบทเตอรี และอุปกรณ์ชาร์จแบทเตอรีอื่นๆ อีกด้วย ฟอร์มูลา : โรงงานตั้งอยู่ที่ไหน และมีเงินลงทุนเท่าไร ? STEPHAN : ปัจจุบันยังไม่มีการตั้งโรงงานในประเทศไทย แต่ WEBASTO มีแผนเปิดโรงงานเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โดยเงินลงทุนนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดโรงงาน และแผนงาน หากเป็นโรงงานที่ทำการผลิตด้วย เม็ดเงินลงทุนจะอยู่ที่หลายล้านบาท ฟอร์มูลา : มีกำลังการผลิตเท่าไร และผลิตให้รถรุ่นใดบ้าง ? STEPHAN : ช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 ปริมาณการผลิตหลังคาซันรูฟในตลาดโลกประมาณ 27 ล้านชิ้น/ปี ส่วนแบ่งตลาดของ WEBASTO ประมาณ 40-50 % มีการผลิตสินค้าประมาณ 10-13 ล้านชิ้น/ปี จากโรงงานผลิตทั่วโลก อาทิ ประเทศเยอรมนี, ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี, สหรัฐอเมริกา และอื่นๆ ปัจจุบันเรามีโรงงานกว่า 30 แห่งทั่วโลก สำหรับรุ่นรถที่ผลิตนั้น WEBASTO ได้ทำการผลิตหลังคาสำหรับรถทุกเซกเมนท์ เช่น MINI CAR ถึง FULL-SIZE และ EXECUTIVE หรือจะพูดอีกอย่างว่า “เราสามารถผลิตให้กับรถทุกรุ่น ทุกขนาด” ฟอร์มูลา : จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ คืออะไร ? STEPHAN : ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะ และชนิดของหลังคา บริษัทของเรามีหลังคาทุกประเภท ตั้งแต่หลังคาแบบทั่วไป ที่ผลิตจำนวนมาก และหลังคาประเภทหรูหรา ที่ผลิตจำนวนจำกัด เช่น หลังคารุ่นคลาสสิคที่มีแผงหลังคากระจกแผงเดียว ซึ่งสามารถหมุนขึ้น/ลง หรือเปิดหลังคาได้ (หมุนได้ทั้งทางซ้าย และขวา) การใช้งานในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศหนาว มักจะใช้เพื่อเปิดรับแสงแดด และใช้เป็นอุปกรณ์ระบายอากาศเพื่อรับอากาศสดชื่น ซึ่งในประเทศไทยสามารถใช้ได้ในหลายสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อขับรถออกนอกเมือง ออกทริพไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอากาศเย็นสบาย หากใช้หลังคาแบบพาโนรามา ที่มีแผงหลังคาโปร่งใส 2 ชิ้น หลังคาประเภทนี้ จะช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นวิวรอบตัวได้ถึงเกือบ 360 องศา ผู้ใช้จะได้ความรู้สึกว่ารถมีขนาดกว้างกว่าเดิม ให้คุณลองนึกภาพการขับไปยังอุทยานแห่งชาติเพื่อชมสัตว์ ที่คุณอาจจะเห็นลิงห้อยโหนไปมาโดยที่ไม่ต้องเสี่ยงว่าแมลงจะเข้ามาในรถ หรือในตอนกลางคืน คุณอาจจะได้ชมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว หรือเส้นขอบเมืองไปพร้อมๆ กับครอบครัว หรือได้ดื่มด่ำบรรยากาศโรแมนทิคกับคู่รัก เป็นต้น อีกคุณสมบัติล้ำสมัยของเรา คือ กระจกใสแบบปรับได้ โดยการกดแค่ปุ่มเดียว ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนโหมดกระจกหลังคาโปร่งแสงจากโหมดใส เป็นโหมดมืดได้ เพียงการกดแค่ปุ่มเดียวเช่นกัน และแน่นอนว่า หลังคาของเรามาพร้อมกับระบบไฟโดยรอบ โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนไฟส่วนหลังคาด้านในรถ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ เมื่อใช้งานตอนกลางคืน ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น สินค้าของเรายังมีโมดูลเซนเซอร์ หลังคาที่ชาร์จจากพลังงานแสงอาทิตย์ หลังคาเปิดประทุน และอื่นๆ เรามีสินค้าที่เป็นทางเลือกดีๆ ให้แก่ลูกค้าใช้งานมากมาย ฟอร์มูลา : การแข่งขัน ช่องทางการจำหน่าย และกลุ่มลูกค้ามีมากน้อยเท่าใด ? STEPHAN : มีการแข่งขันพอสมควร เราเป็นผู้นำในตลาดมาหลายปี มีส่วนแบ่งในตลาดโลกถึง 40-50 % ส่วนแบ่งตลาดที่เหลือเป็นส่วนแบ่งของบริษัทจากประเทศในแถบยุโรป, ญี่ปุ่น และจีน ส่วนช่องทางการจำหน่าย เราเน้น B2B โดยตรงไปยัง OEM และผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ และสำหรับกลุ่มลูกค้า แน่นอนว่า ผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ เกือบทั่วโลกเป็นลูกค้าของ WEBASTO อย่างน้อยก็บริษัทละ 1 รุ่น หรือมากกว่านั้น สำหรับตลาดในเมืองไทย เรายังไม่ได้ทำธุรกิจโดยตรงกับ OEM ในไทย นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดรถยนต์เมืองไทย ฟอร์มูลา : ในแต่ละปี มียอดขายเท่าไร ? STEPHAN : ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา WEBASTO GROUP มียอดขายกว่า 3 พันล้านยูโร/ปี ฟอร์มูลา : มองอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เป็นอย่างไร ? STEPHAN : ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาเซียน ปี 2019 ช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 มีการผลิตรถยนต์ประมาณ 2 ล้านคัน และคาดว่าหลังสถานการณ์โรคระบาดดีขึ้น เมื่อประเทศไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ น่าจะมีการผลิตรถยนต์มากถึง 2.38 ล้านคัน ภายในปี 2025 ประมาณ 50 % ของรถยนต์ที่ผลิตในไทย เป็นรถกระบะ แต่ยังไม่มีรถกระบะแบบที่มีหลังคาซันรูฟ เท่าที่เราทราบประเทศไทยมีการผลิตหลังคาซันรูฟ ไม่เกิน 5 % ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก และไม่อาจเทียบได้กับประเทศอื่นๆ เช่น ทั่วโลกประมาณ 35 % ยุโรปประมาณ 20-25 % ประเทศจีนมากกว่า 70 % และทวีปอเมริกาเหนือประมาณ 30-35 % ตัวเลขเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่าตลาดรถยนต์เมืองไทย มีศักยภาพในการลงทุน และแน่นอนว่า WEBASTO อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์เมืองไทย เราตั้งเป้าว่า จะเพิ่มอัตราการผลิตให้ได้ประมาณ 10-15 % หรือประมาณ 240,000-360,000 คัน สำหรับรถยนต์ในประเทศไทยที่มีหลังคาซันรูฟ และเราเชื่อว่าตลาดรถยนต์เมืองไทย จะเติบโตขึ้นอีกมาก ฟอร์มูลา : คุณคิดว่ารถยนต์ในเมืองไทย มีความเหมาะสมกับหลังคาซันรูฟมากน้อยแค่ไหน ? STEPHAN : เราเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังมีอัตราการส่งออกสูงถึง 50 % ซึ่งตลาดที่ส่งออกนั้น เป็นตลาดที่มีความต้องการรถที่มีหลังคาซันรูฟ และจากตัวเลขยอดขายรถภายในประเทศ เติบโตขึ้นราว 50 % และคนไทยชอบสินค้าใหม่ๆ เราเชื่อว่าสินค้าของเราจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าคนไทยในการขับขี่รถยนต์