ผมไม่ทราบว่า ตอนนี้เจ้า “โอมิครอน” จะบุกถึงเมืองไทยหรือยัง แต่ที่แน่ๆ คือ ฝุ่น PM2.5 นั้นมาตามนัดแล้ว ตั้งแต่เดือนธันวาคม ช่วงที่คนรักรถกำลังสุขสันต์กับงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” ของเราพอดีฉะนั้น “โอมิครอน” จะมาหรือเปล่า ไม่สำคัญ เพราะพี่ใหญ่ “อัลฟา” ยังอยู่ แถมสมทบด้วยนักเลงเก่า PM2.5 จึงสรุปว่า เราคงต้องสวมหน้ากากเข้าหากันต่อไปอีกปี อย่างไรก็ตาม ระหว่างโรคระบาด กับฝุ่น ปัญหาฝุ่นย่อมน่ากลัวน้อยกว่า และป้องกันแก้ไขได้ง่ายกว่า ถ้ารัฐ “เอาจริง” และ “เอาอยู่” เรื่องเอาจริงนั้น ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไร เพราะพอถึงช่วงนี้ของทุกปี รัฐก็จะออกมาบอกว่า เอาจริง (อีก) แล้วนะ โดยเฉพาะ การกำจัด “รถควันดำ” ให้หมดจากท้องถนน อย่างปีนี้ก็ประกาศเอาจริงกันหลายหน่วยงาน เริ่มจาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ยกร่างแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2565 โดยใช้มาตรการ “ตรวจจับ ปรับจริง-ห้ามใช้รถควันดำ” บังคับใช้บทลงโทษสูงสุด ตั้งจุดตรวจสอบตรวจจับรถควันดำทุกประเภท ครอบคลุมถนนสายหลัก สายรอง ทั่วประเทศ พร้อมเตรียมปรับปรุงค่ามาตรฐานควันดำจากรถให้เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะเริ่มใช้บังคับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 กรมการขนส่งทางบก รับลูก เพิ่มความถี่การออกตรวจวัดควันดำจากรถบรรทุก และรถโดยสาร โดยร่วมกับ ตำรวจจราจร และ กทม. ออกตรวจวัดควันดำรถบริเวณที่มีค่า PM2.5 สูง ในเขต กทม. และพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหา PM2.5 ในเขต กทม. ชั้นใน และให้สำนักงานขนส่งจังหวัด 15 จังหวัด ในเขตปริมณฑล และพื้นที่โดยรอบกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสำนักงานขนส่งจังหวัด 61 จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจวัดควันดำภายในเขตพื้นที่จังหวัด สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 4 วัน นอกจากนี้ จะเข้มงวดการตรวจสภาพรถบรรทุก และรถโดยสารตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งดำเนินการวัดค่าควันดำรถทุกประเภทที่เข้ารับการตรวจสภาพที่สำนักงาน ตลอดจนรถที่มาดำเนินการทางทะเบียนในด้านอื่นๆ ด้วย สุดท้าย คือ เข้มงวดตรวจสอบการดำเนินการของสถานตรวจสภาพรถเอกชนในพื้นที่รับผิดชอบ และแจ้งขอความร่วมมือส่วนราชการในจังหวัดให้นำรถเข้ามาตรวจวัดควันดำ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัด ตำรวจจราจร ก็ไม่ยอมน้อยหน้า จัดชุดปฏิบัติการจำนวน 20 ชุด รวมถึงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจจับควันดำ โดยยืนยันจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ แม้ทั้งหมดนี้จะไม่มีอะไรใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ หรือท่าทีขึงขังของท่าน ผมก็ยังอดสนับสนุนท่านไม่ได้ เพียงอยากบอกว่า ถึงจะ “เอาจริง” เรื่องรถควันดำจนประสบความสำเร็จ แต่เรื่อง PM2.5 คงไม่สามารถ “เอาอยู่” ได้หรอกครับ ตราบใดที่ท่านยังโยนบาปให้รถยนต์เป็นผู้ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เพราะปราบง่ายถ้าเอาจริงโดยทำเป็นไม่รับรู้ว่า การเผาพืชไร่ในที่โล่ง โครงการก่อสร้าง และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งท่านไม่อยากแตะต้อง คือ ตัวการสำคัญที่ก่อปัญหาฝุ่นพิษเช่นกัน
บทความแนะนำ