รอบรู้เรื่องรถ
ห้ามเหยียบเบรคด้วยเท้าซ้าย
อีกเพียงสัปดาห์เดียว หลังจากวันที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับนี้ ประเทศไทยก็จะพ้นสถานภาพฉุกเฉินจากโรคระบาดร้ายแรงกันเสียที ผมขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมา ณ ที่นี้ด้วย ตัวผมเองต้องเสียเพื่อนที่ดีไปหนึ่งคน ซึ่งโชคร้ายเพราะติดเชื้อตั้งแต่ในช่วงแรก ที่อาการของโรคมีความรุนแรงมาก แต่ที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ เขาเสียชีวิตไปเพราะความบกพร่อง และมักง่ายของผู้อื่น โดยที่ตนเองได้ระมัดระวังอย่างรอบคอบเต็มที่แล้ว ผมเชื่อว่าต้องมีคนไทย ที่เคราะห์ร้ายถึงแก่ชีวิตเช่นนี้ เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ถ้าเรามีคนใกล้ชิดซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกัน หรือยิ่งกว่านี้อีก คือ นอนในห้องเดียวกันด้วย และเป็นคนที่ไม่ใส่ใจ ไร้วินัยในการป้องกันตนเองจากโรคร้ายนี้ เราจะรอดจากการถูกเอาเชื้อมาแพร่ให้ ได้อย่างไรครับ
ด้านดีของโรคระบาดนี้ก็มีนะครับ ตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมานี้ ผมไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเป็นหวัดปีละหลายครั้ง ที่คนใกล้ชิดในบ้านเอามาแพร่เลย ท่านผู้อ่านที่เคยสังเกต ย่อมจะได้เห็นว่า การไอ หรือจามเพราะการเป็นหวัด ในที่สาธารณะต่างๆ อย่างเช่น ในห้างสรรพสินค้า หรือในรถโดยสารสาธารณะ แทบจะไม่มีให้เราได้เห็นเลย
เราจึงได้บทสรุปที่ชัดเจนและแน่นอนว่า การเป็นโรคหวัดเป็นนิจศีล ของพวกเราชาวไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่มีประชากรหนาแน่น หรือถึงขั้นแออัดนั้น มิได้มีสาเหตุดังที่เชื่อ เพราะบอกต่อกันมาตลอดหลายสิบปี ว่าเป็นเพราะ “อากาศเปลี่ยนกะทันหัน” “ถูกละอองฝน” “ถูกแดดนานเกินไป” “ปรับอุณหภูมิในห้องนอนจนเย็นเกินไป” แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ในช่วงสองปีกว่าที่มีโรคระบาด ก็ล้วนมีอยู่อย่างครบถ้วน จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดแจ้งว่า อาการเป็นหวัดของประชากรไทย จำนวนมากมายในเมืองใหญ่ ล้วนมาจากการแพร่ และรับเชื้อกันเอง ซึ่งขั้นตอนนี้ได้ถูกตัดขาดจากกัน อันเป็นผลพลอยได้ จากการถูกบังคับจากทางการ ให้สวมหน้ากากอนามัยโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ COVID-19 นั่นเองครับ
ผลด้านดีอีกข้อ ที่การแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ให้แก่เรา ถึงจะเป็นแบบทางอ้อม หรือผลพลอยได้ แต่มันก็ทำให้ผมพ้นจากความเครียด ที่สั่งสมมาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งก็คือการที่พวกเราไม่ต้องทนกินน้ำลาย ของบรรดาพนักงานบริการในร้านอาหาร รวมทั้งพนักงานในครัวด้วย เพราะล้วนถูกบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยกันหมด ขณะที่ให้บริการ (ขนาดอยู่ในช่วงกลางของการระบาด แค่ผมเดินผ่านประตูครัวของร้านอาหารในศูนย์การค้าชั้นนำ โดยไม่ได้ละเมิด หรือรุกล้ำเข้าไปในครัวแต่อย่างใด ก็ได้เห็นแล้วครับ ว่าต่างพากันเอาหน้ากากห้อยไว้ใต้คาง เพราะถือว่าไม่มีผู้ควบคุมมาเห็น) ส่วนพนักงานบริการ ก็ตะโกนพูดกัน ทั้งๆ ที่ถืออาหารอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือแค่หยอกล้อกันขณะทำงาน (ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาห้ามกระทำเด็ดขาด)
ชนชาติต่างๆ ในทวีปเอเชีย (ยกเว้นชาวญี่ปุ่น) ยอมรับความสกปรกโสโครกของอาหารที่กิน ได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ แทบไม่มีใครใส่ใจอย่างจริงจังเลย ขอให้ร่างกายสะอาดก็พอใจแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับชาวตะวันตก ที่เน้นเรื่องความสะอาดของอาหารเป็นพิเศษ ส่วนร่างกายจะสกปรกบ้าง ไม่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จริงแล้ว ถ้าจะให้ดีจริงๆ ก็ต้องสะอาดทั้งสองด้านนะครับ
แต่ถ้าถูกบังคับให้เลือกได้เพียงแค่อย่างหนึ่งอย่างใด ผมขอเลือกแบบชาวตะวันตกครับ เพราะถ้าไม่ได้ปล่อยให้หมักหมมจนเกิดโรคผิวหนัง ก็ไม่ได้ให้โทษแต่อย่างใด อาจจะแค่ทำให้คนใกล้ชิด รู้สึกอึดอัดบ้าง และยิ่งหากเป็น “คอเดียวกัน” ด้วยแล้ว ก็น่าจะหมดปัญหาไปเลย ตรงกันข้ามกับการที่ต้องเจออาหารสกปรก ซึ่งนอกจากจะชวนให้คลื่นเหียนอย่างยิ่งแล้ว ก็ยังอาจจะนำเชื้อโรคร้ายเข้าสู่ร่างกายของเราอีกด้วย
มาตรการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ในที่สาธารณะ หรือขณะปฏิบัติงานที่ต้องสัมผัส หรือใกล้ชิดบุคคลอื่น ได้พิสูจน์แล้วว่า มิได้รบกวนต่อการทำงานแต่อย่างใด พวกเราซึ่งล้วนเป็นลูกค้าของบรรดาร้านอาหาร จึงควรช่วยกันเรียกร้อง ให้พนักงานเหล่านี้สวมหน้ากากอนามัย ขณะทำงานตลอดเวลาต่อไปอีก แม้ว่าโรคระบาดนี้จะเบาบางลง หรืออาจจะหมดไปวันใดวันหนึ่งก็ตาม
ผมขอฝากให้ผู้ที่รับผิดชอบของทางการ ซึ่งดูแลด้านสุขอนามัยด้านนี้ ได้โปรดนำเรื่องนี้ไปพิจารณาด้วย และถ้าเป็นไปได้ ขอให้พวกเราได้สิ่งนี้เป็นของขวัญปีใหม่ ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ท่านผู้อ่านประจำ คงยังจำได้นะครับ ที่ผมเพิ่งให้ความเห็น ถึงอันตรายของการเหยียบแป้นเบรคด้วยเท้าซ้าย ซึ่งผมได้ย้ำว่า ห้ามทำเด็ดขาด และขอให้ใครก็ตามที่ทำอยู่ รีบเลิกเสียในทันที เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรืออาจจะถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ได้
ข่าวที่ผมได้เห็นทางสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ที่สตรีผู้หนึ่งผิดพลาดในการควบคุมรถ และจำเป็นต้องเบรคเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ แต่กลับกลายเป็นการเร่งความเร็วของรถแทน และน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก ที่รถได้พุ่งชนสตรีผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่ง จนขาขาดทั้งสองข้าง ผมเห็นแล้วขอสันนิษฐานว่า เกิดจากการใช้เท้าซ้ายเหยียบแป้นเบรค เมื่อตกใจ จึงเผลอใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งไปก่อนเลย
ไม่มีทางพิสูจน์ได้หรอกครับ เพราะไม่เหลือหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้ ยกเว้นผู้กระทำจะยอมสารภาพ พฤติกรรมอุบาทว์นี้ เข้ากันได้ดี กับนิสัยเกียจคร้านของคนไทยส่วนใหญ่ จนเป็นที่รู้กันในระดับนานาชาติ เพราะไม่ต้องออกแรงยกเท้าขวาจากคันเร่ง และถ้าขี้เกียจเข้าขั้น ก็ไม่ต้องยกเท้าซ้ายจากพื้นห้องโดยสารด้วย เพราะเอาส้นเท้าวางไว้กับพื้นรถ และให้ปลายเท้าแตะแป้นเบรคไว้เลย เท่านี้ก็สมปรารถนา สามารถอยู่ในสภาวะที่พร้อมจะกลายเป็นฆาตกร ปลิดชีวิตของผู้บริสุทธิ์ได้แล้ว
แล้วเพราะเหตุใด การเหยียบแป้นเบรคด้วยเท้าขวา ถึงได้ปลอดภัยกว่า ตอบแบบง่ายๆ ได้เลยครับ ก็เพราะเท้าขวาของเราไปอยู่บนแป้นเบรคแล้ว โอกาสที่จะหลงหรือเผลอไปเหยียบแป้นคันเร่งแทน จึงเป็นศูนย์ ปัญหาใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรคเพราะความขี้เกียจนี้ (หรืออาจจะเพราะถูกคนโง่แต่อวดฉลาด สอนให้ทำเช่นนี้) เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ ตั้งแต่มีรถขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ เพราะก่อนหน้านี้ ผู้ขับจะต้องใช้เท้าซ้ายเหยียบ หรือไม่ก็เตรียมพร้อม เพื่อจะเหยียบแป้นคลัทช์ อาจจะมีผู้ที่อยากแย้ง ว่าถ้าวิธีที่ห้ามนี้มันอันตรายจริง เหตุใดนักขับรถแข่งบางประเภท จึงใช้กันอย่างแพร่หลาย
มันเป็นความได้เปรียบทางเทคนิคของการแข่งขันความเร็วครับ และถูกใช้โดยผู้ที่ชำนาญจากการฝึกฝนมาอย่างยาวนานเท่านั้น ส่วนที่เป็นวิธีเบรคของการขับรถ “โกคาร์ท” นั้น เพราะโครงสร้าง และกลไกของรถประเภทนี้ ทำให้จำเป็นต้องแยกแป้นเบรค และแป้นคลัทช์ ให้อยู่คนละฝั่งของตัวรถครับ
อย่างไรก็ตาม ผมขอแสดงความเสียใจต่อผู้เคราะห์ร้ายท่านนี้ รวมทั้งสมาชิกของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นบุพการี หรือบุตรหลานก็ตาม ทุกครั้งที่ผมได้รับรู้การบาดเจ็บ พิการ หรือถึงขั้นเสียชีวิตของผู้เคราะห์ร้าย ที่มิได้มีสาเหตุมาจากความผิดของเจ้าตัว แต่เป็นเพราะความชุ่ย ประมาท เห็นแก่ตัว คึกคะนอง หรือไม่ก็เพราะเมาสุรา หรือสารเสพติด จะมีสิ่งที่ทำให้ผมคับแค้นใจแทนเสมอ นั่นคือ การถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ก่อเหตุ ผมเคยอ่านพบว่า น่าจะมาจากความมักง่าย หรือเกียจคร้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ไม่คิดที่จะปกป้องผู้เสียหายที่เคราะห์ร้ายเหล่านี้เลย ทั้งยังมีสื่อโง่เง่า ที่พลอยเห็นดีเห็นชอบไปด้วย บ่อยครั้งมีการแถลงว่า “ผู้ก่อเหตุได้ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลครบถ้วนแล้ว” บ้าหรือเปล่าครับ นั่นมันเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำอยู่แล้ว
เพื่อนคนหนึ่งของผมบอกว่า ในประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศ ถ้าตำรวจที่รับผิดชอบคดีทำนองนี้ ไม่เห็นโอกาสที่จะได้รับส่วนแบ่งค่าทำขวัญจากผู้เสียหาย ก็มักจะไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายยอมรับความเสียเปรียบ เพื่อจะได้ง่ายในการทำสำนวน ในประเทศเราอาจจะมีสาเหตุอื่นก็ได้ ผมว่าจริยธรรม คุณธรรมทำนองนี้ ถ้าไม่ได้มาจากการบ่มเพาะของพ่อแม่ อย่างน้อยน่าจะมีการปลูกฝังในโรงเรียนนายสิบ และนายร้อยตำรวจ ให้มีความเมตตาต่อประชาชนผู้เคราะห์ร้ายนะครับ
ส่วนบรรดาสื่อทั้งหลาย ซึ่งหากไม่ไร้เดียงสา หรือไร้น้ำใจ ก็น่าจะช่วยปกป้องสิทธิของประชาชนได้ไม่น้อย ในการเรียกร้องให้ได้ค่าทำขวัญตามที่สมควรจะได้ และโปรดอย่าได้มีความเห็นวิปริต เหมือนคนไทยยุคนี้จำนวนไม่น้อย ที่บอกว่า “คุ้มแล้ว” เมื่อใดก็ตามที่ได้รับรู้ว่า ผู้เคราะห์ร้ายได้รับค่าทำขวัญเท่าที่สมควรจะได้ ผมอยากจะถามมนุษย์ประเภทนี้ว่า แขน ขา หรือดวงตาของพวกมัน ราคาข้างละเท่าไร และประเมินความพิการถาวร ระดับช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ว่ามีมูลค่าปีละเท่าไรครับ



ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : อินเตอร์เนทนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2565
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
คำค้นหา