ครั้งหนึ่งรถญี่ปุ่นต้องหาฐานการผลิตแหล่งใหม่ที่พร้อมทั้งภูมิรัฐศาสตร์ และการผลิตที่ได้ต้นทุนต่ำ สำหรับภูมิภาคนี้ ญี่ปุ่นเลือกไทยเป็นแหล่งผลิตรถเต็มระบบนอกประเทศญี่ปุ่น คือ มีทั้งศูนย์วิจัยพัฒนา ซัพพลายเออร์ และตลาดรองรับ ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี
แต่หลังจากทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกมุ่งไปยังความต้องการลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ เงื่อนไขต่างๆ เปลี่ยนไปแล้ว เอื้อต่อรถยนต์จากโลกใหม่ มีการลงทุนของรถโลกใหม่มากมาย ซึ่งรถเหล่านั้นไม่มีโซ่ตวนของซัพพลายเออร์ดั้งเดิมมาเหนี่ยวรั้ง หรือบีบรัด ทำให้สามารถสร้างความได้เปรียบในแง่ของการลงทุนผลิตด้วยต้นทุนต่ำ รถจากโลกใหม่เพียงแค่มองหาภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความมั่นคง และใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะรถยนต์จากจีน ที่ผู้บริโภคชาวไทยมองว่า หากเป็นเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) แล้ว บแรนด์จีนกำลังล้ำหน้าบแรนด์ญี่ปุ่นไปแล้ว
หากดูยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเดือนเมษายน ปี 2566 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน ในเดือนเมษายน 2566 จำนวน 3,820 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 2565 ถึง 882% และมีสัดส่วนถึง 7.73% ของยอดจดทะเบียนทั้งหมด หากว่ารถจีนต้องการตลาดไทย โดยสามารถทำราคาของรถยนต์ไฟฟ้าได้เท่ากับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ในอนาคตข้างหน้า รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีค่ายรถจีนเป็นผู้นำ จะครองตลาดได้มากกว่า 20 % อย่างรวดเร็ว
ทิศทาง และจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กำลังพลิกโฉมสู่ยานยนต์แห่งอนาคต ไทยเราต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะพื้นฐานที่เคยพึ่งพารถยนต์ญี่ปุ่นจะถูกรบกวนด้วยความเชี่ยวชาญพิเศษของยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน
ซึ่งดัชนีที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกนี้ คือ ความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศนั่นเอง เป้าหมายของค่ายรถยนต์จีนนั้นน่าสนใจมาก ค่ายรถจีนนั้นกำลังดำเนินการขยายการลงทุน ซึ่งมองภาพย่อๆ แล้วมันคือ วัฏจักรที่รถญี่ปุ่นเคยทำมาก่อนในการสร้างฐานการผลิตในไทย เพียงแต่เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนเวลา และเปลี่ยนค่ายรถต้นทางเท่านั้นเอง บทความแนะนำ

