มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์มิวนิค 2023
เดินทางไกลเพื่อไปเยือนงานแสดงรถยนต์ระดับ “อินเตอร์” เปลี่ยนชื่องาน เปลี่ยนสถานที่ และเปลี่ยนรูปลักษณ์ของงาน
ครั้งแรกที่ทีมงานของ “สื่อสากล” เดินทางไปทำข่าวงานแสดงรถยนต์ในเยอรมนี คือ เมื่อปี พศ. 2534 หรือ คศ. 1991 เป็นงานครั้งที่ 54 และเป็นงานระดับ “อินเตอร์” ซึ่งมีชื่อในภาษาเยอรมันว่า INTERNATIONALE AUTOMOBIL AUSSTELLUNG หรือเรียกกันโดยย่อว่า IAA แต่เมื่อเรียกกันในภาษาไทยสไตล์ “สื่อสากล” ชื่อของงานซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปีรายการนี้ คือ มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ที่เรียกอย่างนี้ก็เนื่องจากสถานที่จัดงานซึ่งเป็นศูนย์นิทรรศการขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในนคร FRANKFURT (ฟรังค์ฟวร์ท) ของเยอรมนีนั่นเอง
ในช่วงเวลายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษหลังจากนั้น เราก็บรรจุมหกรรมรถยนต์รายการนี้ไว้ในปฏิทินการทำงานเป็นประจำทุกๆ 2 ปี ไม่เคยขาดตกยกเว้น จนกระทั่งครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นครั้งที่ 68 และจัดในเดือนกันยายน 2019 หลังจากนั้น IAA หรือมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ก็กลายเป็นเรื่องในอดีต เพราะผู้จัดงาน คือ VERBAND DER AUTOMOBILINDUSTRIE (VDA) หรือสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนี ตัดสินใจย้ายสถานที่จัดงานไปยังนคร MUNICH (มิวนิค) รวมทั้งเปลี่ยนชื่องานเป็น IAA MOBILITY ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งและกว้างกว่าชื่อเดิม
ปัญหาเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้เราตัดสินใจไม่เดินทางไปทำข่าว IAA MOBILITY 2021 หรือ “มหกรรมยานยนต์มิวนิค 2021” ซึ่งมีขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 7-12 กันยายน 2021 และมีผู้ชมงานมากกว่า 400,000 คน งานครั้งที่ 2 ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 5-10 กันยายน 2023 จึงเป็นครั้งแรกที่ทีมงานของเราเดินทางไปสัมผัสงานมหกรรมยานยนต์ในเมืองเบียร์อีกครั้งหนึ่ง
เป็นงานที่มีรูปลักษณ์ และรายละเอียดแตกต่างไปมากจากงานที่เคยจัดกันมา เอกสารของผู้จัดงานระบุในภาษาอังกฤษว่า กิจกรรมของงานแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ IAA SUMMIT-IAA OPEN SPACE -IAA EXPERIENCE และ IAA CONFERENCE ซึ่งเมื่อทีมงานของเราได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วก็พอจะอธิบายอย่างง่ายๆ ได้ว่า งานนี้มีอยู่ 2 ส่วน คือ กิจกรรมในลักษณะ B2B (BUSINESS TO BUSINESS) ซึ่งกระทำในศูนย์นิทรรศการ และแสดงสินค้าซึ่งเรียกกันในภาษาเยอรมันว่า MESSE MUNCHEN (เมสเซ มึนเชน) และอยู่ห่างจากตัวเมืองกว่า 10 กม. กับกิจกรรมในลักษณะ B2C (BUSINESS TO CUSTOMER) ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในที่เดียว แต่กระทำ ณ พื้นที่เปิด 5-6 จุดซึ่งอยู่ในใจกลางเมือง บางจุดอยู่ใกล้กัน แต่บางจุดก็อยู่ไกลจากจุดอื่น 2-3 กม. เพื่อให้เห็นภาพก็พอจะเปรียบได้ว่า หากย้ายงานนี้มาจัดในกรุงเทพฯ ของเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งหรือหลายรายปักหลักอยู่ที่ย่านสยามสแควร์ อีกรายอยู่ที่ลานหน้าศูนย์การค้าสี่แยกราชประสงค์ อีกรายยึดพื้นที่แถวสามย่าน และอีกราย หรือหลายราย สร้างอาคารแสดงสินค้าชั่วคราวหน้าสวนลุมพินีใกล้อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การจัดงานอย่างที่เคยทำกันมาก่อนกับการจัดงานแบบใหม่นี้ต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย แบบเดิมซึ่งรวมรถ และกิจกรรมทั้งหมดไว้ที่จุดเดียว น่าจะเป็นการสะดวกสำหรับผู้ชมงาน เพราะสามารถสัมผัสรถทุกแบบทุกยี่ห้อได้ในคราวเดียว ส่วนแบบใหม่ก็อาจมีข้อดีตรงที่เป็นการนำรถมาจอดโชว์ใกล้บ้าน แต่ลำบากหน่อยตรงที่ต้องเดินทางไปหลายจุดหากจะดูให้ครบทุกแบบทุกยี่ห้อ
ที่น่าเสียดาย และเป็นข้อด้อยสำคัญของงาน IAA MOBILTY 2023 ก็คือ มีรถใหม่ยี่ห้อใหญ่ๆ ปรากฏตัวในงานนี้ไม่กี่ยี่ห้อ รถเยอรมันนั้นมากันครบทั้ง AUDI (เอาดี) BMW (บีเอมดับเบิลยู) MERCEDES (เมร์เซเดส) OPEL (โอเพล) PORSCHE (โพร์เช) และ VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) แต่รถยี่ห้อใหญ่ซึ่งไม่ใช่รถเยอรมันมีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ เช่น FORD (ฟอร์ด) ของยุโรป RENAULT (เรอโนลต์) ของฝรั่งเศส CUPRA (คูปรา) ของสเปน และ BYD (บีวายดี) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ติดตามได้เลยครับใน 14 หน้าถัดไป ว่าในงานมหกรรมยานยนต์ IAA MOBILITY 2023 ครั้งนี้ มีรถอะไรบ้าง ? ที่สมควรนำเรื่องราวมาบอกเล่ากันในรายงานนี้
MERCEDES-BENZ CONCEPT CLA
รถแนวคิดติดป้ายชื่อ MERCEDES-BENZ CONCEPT CLA (เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ ซีแอลเอ) ปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ในอาคารชั่วคราวซึ่งสร้างขึ้นในย่านใจกลางเมืองมิวนิค เป็นแม่แบบของรถ MERCEDES-BENZ CLA (เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอ) รุ่นใหม่ ซึ่งมีกำหนดออกตลาดในปี 2024 และแทบไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวเนื่องกับรถรุ่นปัจจุบันซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 จะมีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลังและรถขับเคลื่อนทุกล้อ จะมีทั้งรถติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใดๆ กรณีเป็นรถพลังไฟฟ้าจะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแบบใหม่ที่ค่ายนี้ออกแบบ และพัฒนาขึ้นเอง และใช้แบทเตอรี LITHIUM-IRON-PHOSPHATE (LFP) เป็นอุปกรณ์ป้อนพลังไฟฟ้า โมเดลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด จะวิ่งได้ไกลถึง 750 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม มีอัตราสิ้นเปลืองพลังไฟฟ้าเฉลี่ย 0.120 กิโลวัตต์ชั่วโมง/กม. และใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการชาร์จไฟแบบเร่งด่วนเพื่อให้รถวิ่งได้ไกล 400 กม.
MERCEDES-BENZ E-KLASSE ALL-TERRAIN
ปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” เช่นกัน คือ รถเก๋งตรวจการณ์ขนาดกลางติดป้ายชื่อ MERCEDES-BENZ E-KLASSE ALL-TERRAIN (เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ ออลล์-เทอร์เรน) ซึ่งจะเริ่มการจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2024 เป็นรถ MERCEDES-BENZ E-KLASSE T-MODELL (เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ ที-โมเดลล์) รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 6) ที่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายจุดรวมทั้งยกพื้นรถให้สูงขึ้นถึง 4.6 ซม. เพื่อให้มีรูปลักษณ์และสมรรถนะเหมือนเอสยูวี หรือรถกิจกรรมกลางแจ้ง ในระยะแรกจะมีรถให้เลือกรวม 3 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ E 450 4MATIC (เบนซิน 2,999 ซีซี 280 กิโลวัตต์/381 แรงม้า+ระบบไฮบริดแบบอ่อน ขับทุกล้อ) MERCEDES-BENZ E 220 D 4MATIC (ดีเซล 1,993 ซีซี 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า+ระบบไฮบริดแบบอ่อน ขับทุกล้อ) และ MERCEDES-BENZ E 300 DE 4MATIC (ดีเซล พลัก-อิน ไฮบริด 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า ขับทุกล้อ)
MERCEDES-AMG GT CONCEPT E PERFORMANCE
เมื่อสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนสิงหาคมปีกระต่าย ค่าย “ดาวสามแฉก” ใช้งานมหกรรมยานยนต์ MONTERY CAR WEEK ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นที่เปิดตัวรถ MERCEDES-AMG GT COUPE (เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที คูเป) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 และในระยะแรกจะมีรถเพียง 2 โมเดล คือ MERCEDES GT 55 4MATIC+ COUPE (350 กิโลวัตต์/476 แรงม้า) กับ MERCEDES-AMG GT63 4MATIC+ COUPE (430 กิโลวัตต์/585 แรงม้า) ที่งานนี้มีรถรูปทรงเหมือนกันแต่ติดป้ายชื่อต่างกัน คือ MERCEDES-AMG GT CONCEPT E PERFORMANCE (เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที คอนเซพท์ อี เพอร์ฟอร์มานศ์) ปรากฏตัวพร้อมคำอธิบายว่า เป็นแม่แบบของรถโมเดลใหม่ที่จะเริ่มการจำหน่ายในปี 2024 โดยใช้เทคโนโลยีที่ได้มาจากรถแข่งฟอร์มูลา วัน ของทีม MERCEDES-AMG PETRONAS คือ ระบบขับไฮบริดซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังสูงถึง 588 กิโลวัตต์/800 แรงม้า
MERCEDES-BENZ VISION ONE-ELEVEN
รถแนวคิดพลังไฟฟ้า MERCEDES-BENZ VISION ONE-ELEVEN (เมร์เซเดส-เบนซ์ วิชัน วัน-อีเลเวน) เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 แต่ทีมงานของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ท “ไฮเพอร์คาร์” ประตูปีกนก ซึ่งมีตัวถังยาว 4.600 ม. มีห้องโดยสารที่นั่งได้เพียง 2 คน และติดตั้งล้อขนาดโตถึง 22 นิ้ว ส่วนระบบขับใช้มอเตอร์ไฟฟ้า AXIAL-FLUX ELECTRIC MOTOR (แอคเซียล-ฟลักซ์ อีเลคทริค มอเตอร์) 2 ชุด ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยขนาดกำลัง แต่ค่าย “ดาวสามแฉก” ยืนยันว่ามีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ทำงานร่วมกันกับ LIQUID-COOLED CYLINDRICAL CELLS BATTERY ซึ่งเป็นแบทเตอรีที่มีเซลล์รูปทรงกลม และระบายความร้อนด้วยของเหลว ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นใหม่โดยหน่วยงานย่อยของค่ายนี้ที่ตั้งอยู่ในเกาะอังกฤษ เห็นรูปทรงอย่างใกล้ชิดแล้ว ทำให้ยากจะเชื่อว่า วันหนึ่งในอนาคตรถแนวคิดคันนี้จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถผลิตเพื่อจำหน่าย
MERCEDES-EQ EQA/EQB
อวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานนี้เช่นกัน คือ รถพลังไฟฟ้า MERCEDES-EQ EQA (เมร์เซเดส-อีคิว อีคิวเอ) และ MERCEDES-EQ EQB (เมร์เซเดส-อีคิว อีคิวบี) ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ “ยกหน้า” เป็นครั้งแรก หลังจากเริ่มการจำหน่ายมาแล้วประมาณ 3 ปี มีการปรับปรุงเปลี่ยแปลงมากมายบรรยายได้ยาวหลายหน้ากระดาษ ที่เห็นได้ด้วยสองตา คือ แผงกระจังหน้าสีดำสนิทประดับด้วยโลโก “ดาวสามแฉก” สีเงิน กระทะล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว 19 นิ้ว 20 นิ้ว ที่มีลวดลายแบบใหม่ให้เลือกถึง 4 แบบ ฯลฯ ส่วนสิ่งที่เห็นไม่ได้ด้วยสายตา คือ ระบบ SOUND EXPERIENCE หรือเสียงเทียม ซึ่งมีให้เลือก และจะมีให้เลือกรวม 4 แบบ คือ SILVER WAVES-VIVID FLUX-ROARING PULSE-SERENE BREEZE การปรับปรุงในหลายจุดจนสามารถเพิ่มระยะการเดินทางเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP เป็น 560 กม. ฯลฯ เริ่มรับการสั่งจองในฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 และรถจะส่งถึงผู้แทนจำหน่ายตอนต้นปี 2024
MERCEDES-BENZ G-KLASSE PROTOTYPE
รถติดโลโก “ดาวสามแฉก” อีกคันซึ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ MERCEDES-BENZ G-KLASSE PROTOTYPE (เมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ พโรโทไทพ์) ซึ่งเป็นพัฒนาการล่าสุดของรถกิจกรรมกลางแจ้ง MERCEDES-BENZ G-KLASSE ที่อยู่ในสายการผลิตมาแล้วยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ และเป็นต้นแบบของรถรุ่นปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ “ยกหน้า” ที่มีกำหนดเปิดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” ในปี 2024 และจะมีโมเดลที่ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ให้เลือกใช้ด้วย ตัวถังมีรูปทรงองค์เอวแทบไม่ผิดเพี้ยนจากรถที่จำหน่ายอยู่ในขณะนี้ แต่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายเพื่อเพิ่มสมรรถนะทางอากาศพลศาสตร์ โดยใช้กลวิธีเดียวกันกับรถกิจกรรมกลางแจ้งพลังไฟฟ้าล้วนๆ MERCEDES-EQ EQG (เมร์เซเดส-อีคิว อีคิวจี) ซึ่งอีกไม่นานก็จะถึงกำหนดวันเปิดตัวและเริ่มการจำหน่ายเช่นกัน
BMW VISION NEUE KLASSE
ผลงานสำคัญที่สุดของค่าย “ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว” ในงานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ BMW VISION NEUE KLASSE (บีเอมดับเบิลยู วิชัน นิว คลาสส์) ซึ่งปรากฏตัวทั้งในส่วน B2B และ B2C เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดาน 4 ประตู 4 ที่นั่ง ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับรถ BMW 3-SERIES (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3) ที่คนรักรถทั่วโลกคุ้นเคยกันดี เป็นรถที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อบ่งบอกทิศทางของรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ สายพันธุ์ใหม่ ที่ค่ายนี้ตั้งใจว่าในช่วงปี 2025-2027 จะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตรวม 6 หรือ 7 แบบ โดยใช้โรงงานที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในฮังการีเป็นที่ผลิต รายละเอียดของตัวถังทั้งภายนอก และภายในฉีกแนวไปจากรถพลังไฟฟ้าทุกรุ่นทุกแบบที่ผลิตจำหน่ายปัจจุบัน ส่วนระบบขับก็จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพ และแบทเตอรีที่พัฒนาขึ้นใหม่ มีค่าความจุพลังงานสูงขึ้นร้อยละ 20 สามารถชาร์จไฟได้เร็วขึ้นร้อยละ 30 และมีระยะเดินทางเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ผลลัพธ์โดยรวม คือ รถมีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึงร้อยละ 25
BMW IX5 HYDROGEN
ผลงานที่น่าสนใจมากอีกชิ้นของค่าย “ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว” คือ BMW IX5 HYDROGEN (บีเอมดับเบิลยู ไอเอกซ์ 5 ไฮโดรเจน) ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ 2023 และขณะนี้ขั้นตอนการออกแบบ/พัฒนายังไม่เสร็จสมบูรณ์ เป็นรถที่ผ่านการวิ่งทดสอบมาแล้วอย่างเข้มข้น ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา รวมทั้งในบางส่วนของตะวันออกกลางที่อุณหภูมิสูงถึง 45 องศาเซลเซียส เพื่อให้มั่นใจได้ในการทำงานของระบบต่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยีการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนซึ่งต้องเก็บไว้ในถัง CFRP (พลาสติคเสริมความแข็งแรงด้วยคาร์บอนไฟเบอร์) ที่ระดับความดันสูงถึง 700 เท่าของความดันบรรยากาศ เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้า ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันกับ FUEL CELL หรือเซลล์เชื้อเพลิง ขนาด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า ได้กำลังรวมสูงสุด 295 กิโลวัตต์/401 แรงม้า สามารถเดินทางได้ไกล 504 กม. เมื่อเติมไฮโดรเจนเต็มถัง และวัดตามมาตรฐาน WLTP
BMW I VISION DEE
รถแนวคิด BMW I VISION DEE (บีเอมดับเบิลยู ไอ วิชัน ดี) เปิดตัวที่งาน CES (CUSTOMER ELECTRONICS SHOW) หรือมหกรรมสินค้าอีเลคทรอนิคเพื่อผู้บริโภค ซึ่งมีขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคม 2023 แต่ทีมงานของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้เช่นกัน เป็นรถแนวคิดอีกคัน นอกเหนือจากรถ BMW VISION NEUE KLASSE (บีเอมดับเบิลยู วิชัน นิว คลาสส์) ซึ่งเพิ่งผ่านตาไป ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อบ่งบอกทิศทางการออกแบบรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ รุ่นใหม่ๆ ที่ค่ายนี้จะเริ่มนำออกสู่ตลาดในปี 2025 มีรูปลักษณ์เป็นรถเก๋ง 4 ประตูซีดานขนาดกลาง ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาวและมีช่วงยื่นหน้ายื่นหลังสั้นมาก จึงมีห้องโดยสารที่กว้างขวางเป็นพิเศษ และเต็มไปด้วยอุปกรณ์ดิจิทอลสารพัดสารพัน ส่วนระบบขับด้วยพลังไฟฟ้ายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด ทราบกันแต่เพียงว่า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีที่ทรงประสิทธิภาพ (ชื่อ DEE ย่อมาจาก DIGITAL EMOTIONAL EXPERIENCE)
MINI COOPER
ค่าย MINI (มีนี) ซึ่งประกาศไปแล้วว่า เมื่อถึงปี 2030 จะยุติการผลิตรถติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน และจะทำแต่รถพลังไฟฟ้าล้วนๆ เพิ่มเติมความสำคัญให้แก่มหกรรมยานยนต์รายการนี้ โดยการนำรถใหม่เอี่ยมไม่ต้องแกะกล่อง ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก 2 รุ่น 2 แบบ แบบแรกในภาพใหญ่หน้าซ้ายมือ และ 2 ภาพเล็กบนในหน้าขวามือ คือ MINI COOPER (มีนี คูเพอร์) รถรุ่นใหม่ (รุ่นที่ 5) ในชื่อใหม่ ซึ่งจะเริ่มการจำหน่ายในปี 2024 นี้
เป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ที่ผสมผสานลักษณะการออกแบบสไตล์ RETRO หรือไม่ละทิ้งสิ่งดีๆ ในอดีต เข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่ได้อย่างลงตัว เป็นรถ 3 ประตูแฮทช์แบค 4 ที่นั่ง ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศต่ำสุด 0.28 มีหน้าตา และรูปทรงองค์เอวที่เห็นเพียงแวบเดียวก็บอกได้เลยว่า นี่คือ รถ MINI โดยเฉพาะดวงโคมไฟหน้ารูปวงกลม และแผงกระจังหน้ารูปหกเหลี่ยม ซึ่งกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของรถแบบนี้ไปแล้ว
จะมีทั้งรถติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินและรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ รถแบบหลังออกแบบโดยใช้พแลทฟอร์มสำหรับรถไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใหม่โดย SPOTLIGHT AUTOMOTIVE บริษัทร่วมทุนในเมืองมังกร ระหว่าง BMW ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MINI กับ GREAT WALL MOTOR (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ยักษ์ใหญ่ของจีน เฉพาะรถพลังไฟฟ้าซึ่งปรากฏตัวที่งานนี้ ในระยะแรกจะมีรถเพียง 2 โมเดล โมเดลแรก คือ MINI COOPER E (มีนี คูเพอร์ อี) ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า กับแบทเตอรีขนาดความจุ 40.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.3 วินาที กับวิ่งได้ไกล 305 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP อีกโมเดล คือ MINI COOPER SE (มีนี คูเพอร์ เอสอี) เพิ่มขนาดมอเตอร์ไฟฟ้าเป็น 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า และเพิ่มขนาดแบทเตอรีเป็น 54.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 6.7 วินาที กับวิ่งได้ไกล 402 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP
MINI COUNTRYMAN
ผลงานอีกชิ้นของค่าย MINI ที่เพิ่มสีสันให้แก่งานนี้ คือ รถเก๋งแฮทช์แบค 5 ประตู 5 ที่นั่ง MINI COUNTRYMAN (มีนี คันทรีแมน) รุ่นใหม่ ซึ่งมีขนาดตัวถัง 4.433x1.843x1.656 ม. คือ ยาวขึ้นถึง 13.6 ซม. กว้างขึ้น 4.3 ซม. และสูงขึ้น 9.9 ซม. เมื่อเทียบกับตัวถังของรถรุ่นเดิมซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2016 หน้าตา และรูปทรงองค์เอวตัวถัง เห็นได้ชัดว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่ยังตัดขาดไม่ได้จากรถรุ่นเดิม เป็นรถที่ใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นร่วมกันกับรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด BMW X1 (บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 1) จะมีทั้งรถขับด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ เฉพาะแบบหลังจะมีรถ 2 โมเดล คือ MINI COUNTRYMAN E (มีนี คันทรีแมน อี) ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า และวิ่งได้ไกล 462 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม กับ MINI COUNTRYMAN SE ALL4 ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า และวิ่งได้ไกล 433 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็ม
VOLKSWAGEN D.GTI CONCEPT
ยักษ์ใหญ่ VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) อวดรถมากมายในงานนี้ แต่มีอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้นที่สมควรนำเรื่องราวมาบรรจุไว้ในรายงานนี้ คือ VOLKSWAGEN D.GTI CONCEPT (โฟล์คสวาเกน ดี.จีทีไอ คอนเซพท์) รถหน้าตาธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นแม่แบบของรถ HOT HATCH (ฮอทแฮทช์) ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2026 ในฐานะรถรหัส GTI แบบแรกของค่ายนี้ในช่วงเวลา 47 ปี ที่ปรากฏตัวโดยไม่มีท่อไอเสีย เพราะเป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ มีขนาดตัวถัง 4.104x1.840x1.499 ม. และมีช่วงฐานล้อยาว 2.600 ม. ที่น่าเสียดายมากก็คือ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับระบบขับเมื่อเปลี่ยนฐานะเป็นรถตลาด หรือรถผลิตเพื่อจำหน่ายสมบูรณ์แบบ แต่มีการคาดหมายกันว่า เป็นระบบที่จะให้กำลังระดับ 230 แรงม้า ติดตั้งแบทเตอรีขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้รถแบบนี้วิ่งได้ไกลประมาณ 440 กม. ส่วนตัวเลขเกี่ยวกับสมรรถนะความเร็วนั้น อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จะทำได้ใน 6.9 วินาที
PORSCHE MISSION X
PORSCHE MISSION X (โพร์เช มิชชัน เอกซ์) เปิดตัวที่เมือง STUTTGART (ชตุทท์การ์ท) ในเยอรมนีเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2023 และเป็นรถอีกคันที่ทีมงานของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ท “ไฮเพอร์คาร์” ซึ่งไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใดๆ เพราะเป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ตัวถังซึ่งยาวประมาณ 4.50 ม. และกว้างประมาณ 2.00 ม. ติดตั้งประตูแบบปีกนกที่ขณะเปิดประตูจะดูโดดเด่นสะดุดตามาก และมีห้องโดยสารที่นั่งได้เพียง 2 คน ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ของระบบขับ บอกเพียงแต่ว่า เมื่อเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด หรือรถผลิตเพื่อจำหน่ายอย่างสมบูรณ์แบบ มีอยู่หลายสิ่งที่รถพลังไฟฟ้าแบบอื่นๆ ทำไม่ได้ แต่รถแบบนี้จะทำได้ ตัวอย่างเช่น มี POWER-TO-WEIGHT RATIO หรืออัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนัก ระดับ 1.0 แรงม้า/กก. มีค่า DOWNFORCE หรือแรงกดลงสู่พื้นถนน สูงกว่า 860 กก. เมื่อวิ่งเร็ว 285 กม./ชม.
PORSCHE 911 S/T
PORSCHE 911 S/T (โพร์เช 911 เอส/ที) รถเฉลิมฉลองวาระ 60 ปีของรถสปอร์ทยอดดัง PORSCHE 911 (โพร์เช 911) เปิดตัวก่อนงานนี้ 1 เดือน และเป็นรถอีกคันที่ทีมงานของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริง เป็นรถที่จะผลิตเพียง 1963 คัน (เพราะรถ PORSCHE 911 เริ่มการจำหน่ายในปี 1963) และเป็นรถที่ไม่ได้ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาจากรถที่มีอยู่ก่อนแล้วในสายการผลิต คือ PORSCHE 911 GT3 RS (โพร์เช 911 จีที 3 อาร์เอส) โดยการปรับปรุงเปลี่ยน แปลงรายละเอียดมากมายเพื่อลดน้ำหนัก ทำให้มีน้ำหนักตัวเพียง 1,380 กก. คือ เบากว่ารถ PORSCHE 911 ทุกโมเดลที่จำหน่ายอยู่ในขณะนี้ และเปลี่ยนระบบเกียร์ จากเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ PDK เป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ซึ่งส่งผลให้รถติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินฉีดตรง 6 สูบนอนยัน (BOXER) 24 วาล์ว 3,996 ซีซี 386 กิโลวัตต์/525 ซีซี ที่สามารถทำความเร็วสูงสุด 300 กม./ชม. โมเดลนี้ กลายเป็นรถ PORSCHE 911 เกียร์ธรรมดาที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก
CUPRA DARKREBEL
ค่าย CUPRA (คูปรา) จากเมืองกระทิงดุ เรียกความสนใจของผู้คนได้มากมายด้วยรถ 2 คัน คันแรก คือ CUPRA DARKREBEL (คูปรา ดาร์คเรเบล) เป็น SHOW CAR หรือรถทำเพื่ออวดไม่ใช่เพื่อขาย ซึ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้ ในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ท “ซูเพอร์คาร์” พลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งมีตัวถังขนาด 4.50x2.20x1.30 ม. เป็นตัวถังที่มีช่วงหน้าหม้อยาว มีห้องโดยสารเตี้ย และส่วนท้ายมีรูปลักษณ์เหมือนรถเก๋งตรวจการณ์ที่บางค่ายเรียกว่า SHOOTING BRAKE (ชูทิง เบรค) เป็นรถที่ผู้ผลิตรถยนต์ของสเปนกล่าวอ้างว่า ผลักดันขอบเขตของการออกแบบ และสมรรถนะให้กว้างไกลออกไป รวมทั้งตั้งคำถามว่า การสร้างจินตภาพ และรังสรรค์รถยนต์สำหรับอนาคตจะทำได้อย่างไร ? ภายในห้องโดยสาร 2 ที่นั่ง มีการออกแบบที่น่าสนใจอยู่หลายจุด เช่น เก้าอี้ที่นั่งแบบรถแข่ง SUPERSPORT BUCKET SEATS ที่ออกแบบเป็นพิเศษ และพวงมาลัยที่ผสมผสานพวงมาลัยรถแข่งเข้ากับพวงมาลัยในการเล่นเกม
CUPRA RAVAL
ผลงานใหม่อีกชิ้นของผู้ผลิตรถยนต์เมืองกระทิงซึ่งเรียกความสนใจได้อย่างดี คือ รถติดป้ายชื่อ CUPRA RAVAL (คูปรา ราบัล) ซึ่งเป็นแม่แบบของรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่โชว์รูมในปี 2025 โดยใช้โรงงานที่เมือง MARTORELL (มาร์โตเรลล์) เป็นที่ผลิต เป็นรถเก๋ง 5 ประตูแฮทช์แบค 4 ที่นั่ง ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ที่ออกแบบโดยใช้พแลทฟอร์มที่กลุ่ม VOLKSWAGEN GROUP (โฟล์คสวาเกน กรุพ) พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถพลังไฟฟ้า และตั้งชื่อว่า MEB PLATFORM ติดตั้งระบบขับซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า ที่สามารถบูสต์กำลังในช่วงสั้นๆ เป็น 320 กิโลวัตต์/440 แรงม้า แต่รายละเอียดอื่นๆ รวมทั้งขนาดความจุของแบทเตอรี สมรรถนะความเร็ว อัตราสิ้นเปลืองพลังไฟฟ้า ระยะทางที่วิ่งได้ ฯลฯ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลข ผู้ผลิตเรียกรถเล็กแต่ร้อนแรงแบบนี้ว่า THE CAR FOR THE NEW GENERATION หรือรถยนต์สำหรับผู้คนในยุคสมัยใหม่
AUDI Q6 E-TRON PROTOTYPE
เปิดตัวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมของปีกระต่าย แต่ก็ยังเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดีเมื่อปรากฏตัวในงานนี้ คือ AUDI Q6 E-TRON PROTOTYPE (เอาดี คิว 6 อี-ทรอน พโรโทไทพ์) ต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์อนุกรมใหม่ คือ AUDI Q6 E-TRON (เอาดี คิว 6 อี-ทรอน) ที่ค่าย “สี่ห่วง” จะเปิดตัวก่อนสิ้นปี 2023 และเดือนกุมภาพันธ์ 2024 จะเริ่มการจำหน่าย ทั้งในเมืองเบียร์ และอีกหลายประเทศของยุโรป เป็นรถขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ และเป็นรถแบบแรกซึ่งใช้พแลทฟอร์มที่ค่ายนี้พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ และตั้งชื่อในภาษาอังกฤษว่า PREMIUM PLATFORM ELECTRIC หรือ PPE ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับระบบขับที่จะใช้ ทราบกันแต่เพียงว่า จะวิ่งได้ไกลถึง 600 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTP จะมีให้เลือกใช้ทั้งรถ AUDI Q6 และรถ AUDI Q6 SPORTBACK รถโมเดลหัวกะทิอย่าง AUDI SQ6 และ AUDI RS Q6 ก็จะมีด้วยเช่นกัน
XEV YOYO PRO
รถพลังไฟฟ้าของผู้ผลิตรายย่อยก็อวดตัวในงานนี้มากมายหลายรุ่นหลายแบบ เลือกที่น่าสนใจมา 3 แบบ แบบแรกในภาพใหญ่หน้าซ้ายมือ และภาพบนด้านซ้ายซึ่งติดป้ายชื่อ XEV YOYO PRO (เอกซ์อีวี โยโย พโร) เป็นผลงานของค่าย XEV บริษัทสตาร์ทอัพทวิสัญชาติ (อิตาลี-ฮ่องกง) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งกิจการที่เมือง TURIN (ตูริน) ในอิตาลีเมื่อปี 2018 เป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ขนาดกระจิริดกระจิ๋วหลิว ในตัวถังขนาด 2.530x1.500x1.570 ม. ที่นั่งได้เพียง 2 คน เป็นรถออกแบบในยุโรป แต่ใช้โรงงานซึ่งอยู่ในนครเซี่ยงไฮ้ของจีนเป็นที่ผลิต ระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนซึ่งติดตั้งในรถที่มีน้ำหนักตัวพร้อมขับ 400 กก. และวิ่งได้เร็ว 69 กม./ชม. นี้ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์/20 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรี 10.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็มรถจะวิ่งได้ไกล 150 กม. เป็นรถที่ตอนต้นปี มีข่าวเล่าลือว่าจะมีผู้นำเข้ามาขายในเมืองไทย เพราะรถไฟฟ้าสัญชาติจีนกำลังฮิท แต่จนถึงขณะนี้เชื่อว่ายังไม่มี
FORD EXPLORER
FORD EXPLORER (ฟอร์ด เอกซ์พลอเรอร์) เป็นชื่อของเอสยูวี หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งอนุกรมเก่าแก่ ที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1991 และเปลี่ยนรุ่นมาแล้วรวม 5 ครั้ง ทั้งหมดล้วนเป็นรถที่ขับด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่รถที่ค่าย FORD ของยุโรปนำออกอวดตัวในงานนี้ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใดๆ เพราะเป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมปีกระต่าย แต่ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 2024 จึงจะเริ่มเปิดรับการสั่งจอง เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลางผลิตในเยอรมนี ซึ่งมีให้เลือกทั้งรถขับเคลื่อนล้อหลัง และรถขับเคลื่อนทุกล้อ ห้องโดยสารก็มีทั้งแบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้ 5 คน และแบบเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้ 6 หรือ 7 คน ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนของระบบขับ ทราบกันแต่เพียงว่า ใช้แบทเตอรี LITHIUM-ION (ลิเธียม-ไอออน) ขนาดความจุ 55 หรือ 82 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งได้ไกล 346-522 กม.
VDL SCHAEFFLER
รถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่น่าสนใจอีกแบบ คือ รถติดป้ายชื่อ VDL SCHAEFFLER (เวเดเอล เชฟฟเลอร์) ซึ่งเพิ่งเปิดเผยตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็นผลงานจากความร่วมมือของบริษัทครอบครัว 2 บริษัท คือ VDL กับ SCAEFFLER และเป็นรถที่ยังไม่มีการผลิตเพื่อจำหน่าย แต่ยังอยู่ในขั้นตอนของการออกแบบ/พัฒนา และตั้งเป้าหมายว่าจะนำออกวิ่งทดสอบตามถนนสาธารณะได้ในปี 2025 ก่อนเริ่มต้นการผลิตในปี 2030 เป็นรถโดยสารขนาดเล็ก ซึ่งมีตัวถังขนาด 5.0x2.2x2.8 ม. ติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งรวม 9 ที่ มีพื้นรถต่ำ และติดตั้งประตูขนาดใหญ่ สามารถบรรทุกน้ำหนักได้รวม 1,000 กก. มีความเร็วสูงสุด 70 กม./ชม. เดินทางได้ไกล 350 กม./วัน และชาร์จไฟเต็มแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกล 100 กม. เป็นรถ LEVEL 4 SELF-DRIVING AUTONOMOUS VEHICLE หรือรถวิ่งได้ด้วยตนเองระดับ 4 ซึ่งในหลายประเทศของยุโรปรวมทั้งเยอรมนี ยอมให้วิ่งได้ตามท้องถนนโดยไม่ต้องมีผู้ขับ
HOLON MOVER
ปิดรายงาน มหกรรมยานยนต์ 2023 IAA MOBILITY ด้วย HOLON MOVER (โฮลอน มูเวอร์) รถโดยสารขนาดเล็กขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งาน CES (CUSTOMER ELECTRONICS SHOW) หรือมหกรรมสินค้าอีเลคทรอนิคเพื่อผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคม 2023 และฉายซ้ำที่งานนี้ เป็นผลงานของ HOLON GMBH บริษัทเยอรมนีซึ่งมีที่ทำการอยู่ในเมือง PADERBORN (พาแดร์บอร์น) มีขนาดตัวถัง 4.9x2.3x2.8 ม.และมีน้ำหนักรถเปล่า 2,700 กก. สามารถบรรทุกผู้โดยสาร 15 คน (นั่ง 10 คน ยืน 5 คน) ติดตั้งระบบขับซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า และแบทเตอรีขนาดความจุ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม รถสามารถเดินทางได้ไกล 290 กม. และทำความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม. เป็น LEVEL 4 SELF-DRIVING AUTONOMOUS VEHICLE หรือรถวิ่งได้ด้วยตนเอง ซึ่งหลายประเทศของยุโรปยอมให้วิ่งได้โดยไม่ต้องมีผู้ขับเช่นกัน
ประตูทางเข้าศูนย์นิทรรศการและแสดงสินค้า MESSE MUNCHEN (เมสเซ มึนเชน) หรือ MUNICH MESSE (มิวนิค เมสเซ) ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองมิวนิคกว่า 10 กม.
ค่าย BMW และ MINI สร้างอาคารแสดงสินค้าชั่วคราวตรงจตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางนครมิวนิค คือ MAX-JOSEPH-PLATZ (แมกซ์-โจเซฟ-พแลทซ์) ซึ่งได้ชื่อจาก MAXIMILIAN JOSEPH (แมกซิมิเลียน โจเซฟ) ผู้เป็นกษัตริย์ของแคว้น BAVARIA (บาวาเรีย) ในช่วงปี 1806-1825
ค่าย “ดาวสามแฉก” สร้างอาคารแสดงสินค้าชั่วคราวตรงจตุรัสขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กันกับ RESIDENZ (เรซิเดนท์) ซึ่งเป็นพระราชวังโบราณของแคว้น BAVARIA และเป็นพระราชวังในเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี ปัจจุบันเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของนครมิวนิค
ยักษ์ใหญ่ VOLKSWAGEN ปักหลักอยู่ที่ ODEONSPLATZ (โอเดียนพแลทซ์) จตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางนครมิวนิค ส่วนอนุสาวรีย์ที่เห็นในภาพ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ LUDWIG I (ลุดวิก ที่ 1) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของแคว้น BAVARIA ระหว่างปี 1825-1848